3 อดีตแกนนำ “ม็อบไข่แม้ว” โอดครวญ ผ่าน PTV วันนี้คือวันโลกาวินาศ ถูกมรสุมทั้ง ศาลฎีกา ให้ใบแดง “ยงยุทธ” และ ศาล รธน.ฟัน “นพเหล่” เซ็นแถลงการณ์พระวิหาร ขัดมาตรา 190 อ้างสาเหตุทั้งหมดมาจาก รธน.50 ที่เป็นกับดักวางไว้ทำลายพรรคการเมือง – ป้ายสีพันธมิตรฯ ต้องการล้มล้างระบอบการปกครอง ให้ “สนธิ” เป็นผู้นำประเทศ แถมเหน็บแนมศาลรัฐธรรมนูญอาจทำให้ไทยต้องปิดประเทศ
วันนี้ (8 ก.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศเป็นผ่านทางโทรทัศน์ดาวเทียม เอ็มวีทีวี ดำเนินรายการโดย 3 อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ส่วน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในผู้ดำเนินรายการ ในวันนี้ไม่ได้มาร่วมดำเนินรายการ เนื่องจากติดภารกิจ แถลงข่าวให้กับรัฐบาล
โดยช่วงต้นรายการ ผู้ดำเนินรายการทั้งสาม กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันโลกาวินาศ เพราะมีเรื่องราวไม่ดีหลายอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ เรื่องแรกคือ เรื่องที่ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง พิพากษาให้ใบแดง พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี แก่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งหลังจากนี้เรื่องจะมีกระบวนการต่อไปจนอาจทำให้เกิดการยุบพรรคพลังประชาชนได้
อดีตแกนนำ นปก.กล่าวว่า การตัดสินที่ออกมานั้นเป็นไปตามแผนบันได 4 ขั้น ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.ที่วางแผนล้มล้างพรรคไทยรักไทยเอาไว้ โดยการวางหลุมพรางและกับดักไว้ในรัฐธรรมนูญปี 50 ที่ต้องการจะยุบพรรคให้ได้ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพียงแค่คณะกรรมการบริหารพรรคทำความผิดคนเดียวก็เอามาเป็นเหตุให้ยุบพรรคได้แล้ว แต่ความจริงที่ลึกกว่านั้น ก็คือ หลุมพรางดังกล่าวไม่ได้วางเอาไว้ให้แค่พรรคไทยรักไทยเท่านั้น แต่ส่งผลไปถึงทุกพรรคการเมืองในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย หรือพรรคมัฌชิมา ด้วย ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นสาเหตุที่พรรคพลังประชาชนจึงประกาศมาแต่แรก ว่าควรจะรีบแก้ไข รธน.
เราเห็นว่า รธน.ฉบับปี 2550 นั้น เป็นกับดักที่ถูกวางเอาไว้ เพื่อให้พรรคการเมืองไม่มีเสถียรภาพ ทำให้พรรคการเมืองถูกยุบได้ง่ายๆ รวมไปถึงสร้างความไม่เชื่อมั่นทางการเมืองให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อนำไปสู้การเมืองใหม่อย่างที่พันธมิตรฯ เสนอ เพราะพวกตนก็เชื่อแน่ว่า อยู่ๆ พันธมิตรฯ คงไม่ออกมาเสนอแนวคิดแบบลอยๆ ทุกอย่างคงมีการเตรียมการมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว ซึ่งคาดได้เลยว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ นั้นต้องการเป็นผู้นำในการบริหารประเทศเสียเอง จึงได้ตั้งนโยบายใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่เรากำลังใช้อยู่ จึงต้องฝากไปถึงประชาชนที่กำลังหลงเชื่อฝ่ายพันธมิตรฯ ด้วยว่าให้ใช้เหตุและผล คิดดีๆ แล้วจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว นายสนธิ และพวก กำลังจะนำประเทศไปสู่สงครามกลางเมือง เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นการเมืองใหม่ตามความต้องการของเขา
ส่วนอีกเรื่องที่ทำให้วันนี้เป็นวันโลกาวินาศ ก็คือ เรื่องที่ ศาล รธน.มีมติ 8 ต่อ 1 ตัดสินว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่ นายนพดล ปัทมะ ลงนามไว้นั้น ขัด รธน.มาตรา 190 ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ขณะเดียวกัน มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่า แถลงการณ์ร่วม ไทย-กัมพูชา ถือเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ซึ่งการตัดสินในวันนี้ก็มาจาก รธน.ปี 50 เช่นกัน ซึ่งศาล รธน.ท่านก็ตัดสินไปตาม รธน.50 เราก็ไม่อาจจะไปก้าวล่วงได้ ทำได้เพียงให้เหตุการณ์ในวันนี้เป็นบทเรียนอันสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายบริหารทุกคนว่า วันนี้ศาลท่านได้ตั้งหลักการใหม่ให้ปฏิบัติแล้ว จากอดีตที่การทำความตกลงหรือแถลงการณ์ความร่วมมือระหว่างประเทศจะเป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่สามารถตัดสินใจทำได้ เป็นเรื่องของรัฐต่อรัฐ แต่ตอนนี้มีหลักเกณฑ์ใหม่มาแล้วว่าเรื่องเช่นนี้ต้องผ่านความเห็นชอบของสภา ทั้งที่หากมองกันจริงๆ แล้ว จะพบว่าการทำแถลงการณ์ร่วมในครั้งนี้ไทยไม่ได้เสียดินแดนไปเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องปักปันเขตแดนในพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชาด้วย ดังนั้น จึงต้องมาดูกันว่าเมื่อแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไม่ได้ทำให้ไทยเสียประโยชน์อะไรเลย คงต้องย้อนไปถามคำตัดสินของตุลาการ รธน. ว่าใช้เหตุผลอะไร เพราะเรื่องดังกล่าวไม่ได้ทำให้ไทยเสียประโยชน์เลย
ดังนั้น จากเรื่องที่เกิดในวันนี้ ต่อไปเราคงต้องกลับมาดูกันว่าตกลงแล้วฝ่ายไหนกันแน่ที่มีอำนาจในการทำความตกลงระหว่างประเทศ อีกหน่อยเมื่อรัฐมนตรีไปทำสัญญาระหว่างประเทศคงต้องพกปี๊บไปด้วย เพราะต่างชาติคงไม่เชื่อถือรัฐมนตรีของไทยอีก เพราะเมื่อต่างชาติถามกันว่าตกลงแล้วคุณเป็นรัฐมนตรีที่มีอำนาจในการตัดสินใจหรือไม่ เมื่อนั้นรัฐมนตรีของเราคงอาย แล้วก็เอาปี๊บขึ้นมาคลุมหัวเป็นแน่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ถ้ารัฐบาลไม่สามารถดำเนินการใดๆ ระหว่างประเทศได้ ไทยก็น่าจะปิดประเทศไป ไม่ต้องติดต่อกับต่างชาติเลยน่าจะดีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม พวกตนต้องออกตัวไว้ก่อนว่าสิ่งที่รายการนำมาพูดในวันนี้ พวกตนไม่ได้ต้องการวิจารณ์สิ่งที่ศาลตัดสิน แต่ที่ต้องนำมาพูดคุยก็เพื่อให้ช่วยประชาชนช่วยกันคิดเท่านั้น