“จตุพร” อ้างเอเอสทีวีให้ข้อมูลด้านเดียว หารือ “วีระ-ณัฐวุฒิ-จักรภพ” ฟื้น “พีทีวี” ถ่ายทอดผ่านดาวเทียม เอ็มวี 5 ตอบโต้ แย้มไต๋รอประเมินสถานการณ์ตั้งเวที นปก.ชนพันธมิตรฯ อ้างบ้านเมืองมีภัยอันตรายหากปล่อยพันธมิตรฯ โจมตีรัฐบาล โต้ข่าวลอยแพพนักงาน หลังปิดกิจการพีทีวีภาคแรก
วันนี้ (4 ก.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะอดีตผู้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ PTV ให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า ตนและผู้ร่วมก่อตั้งประกอบด้วย นายวีระ มุสิกะพงษ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้หารือกันว่าในสถานการณ์บิดเบือนข้อมูลข่าวสารผ่านทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ทำให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลเพียงด้านเดียว จึงเห็นว่าเตรียมจะฟื้น การดำเนินการของสถานีโทรทัศน์ PTV อีกครั้ง หลังประกาศปิดตัว โดยการฟื้นสถานีโทรทัศน์พีทีวีในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลทั้ง 2 ด้าน และการดำเนินการจะเป็นไปในลักษณะการต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านดาวเทียม ผ่านเอ็มวี 5 โดยใช้ทีมงานเดิม สถานที่เดิม ซึ่งจะมีการหารือถึงความชัดเจนภายในตลอดสัปดาห์นี้ว่า จะสามารถดำเนินการแพร่ภาพได้ในวันและเวลาใด
“เราไม่ได้เป็นพวกนอนรอวันตาย ฉะนั้นเมื่อเห็นภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับประชาธิปไตยโดยเฉพาะการที่กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวหารัฐบาล กำลังสร้างความเสียหายให้กับประเทศ โดยเฉพาะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มีกระบวนการขับเคลื่อนเป็นบรรยากาศเดียวกับก่อน 19 กันยายน 2549 ที่หากปล่อยไว้ก็จะยิ่งปล่อยไว้ก็จะยิ่งทำลายบ้านเมืองและรัฐบาล ซึ่งวันนี้เราก็มีข้อมูลข้อเท็จจริงที่สามารถออกมาพูดรายวันให้ประชาชนรับทราบ ไม่ต่างกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ถือเป็นการใช้วิธีแสดงความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตย” นายจตุพรกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการตั้งเวทีชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ออกมาเคลื่อนไหวพร้อมกันเลยหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ยังไม่คิด ยังไม่ถึงเวลา แต่จะมองถึงสถานการณ์ของประเทศจะเป็นตัวกำหนด ระบอบประชาธิปไตยไม่ปลอดภัยเราจะออกมาสู้เต็มรูปแบบ
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีการมองกันว่าการก่อตั้งสถานีพีทีวีตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองมากกว่าเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชน ซึ่งเกรงว่าในอนาคตหากต้องปิดสถานีอีกครั้งอาจมีการลอยแพพนักงาน นายจตุพรกล่าวว่า การปิดตัวของสถานีก่อนหน้านี้เรามีปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่บริษัทก็รับผิดชอบชดเชยรายได้ให้กับพนักงานตามกฎหมายทุกประการ แต่การฟื้นสถานีพีทีวีครั้งนี้ก็เพื่อเป็นช่องสื่อสารให้ประชาชนรับทราบอีกด้าน
อนึ่ง สำหรับพีทีวี เริ่มก่อตั้งโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ และพรรคพวก 4-5 คน เมื่อต้นปี 2550 เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยังอยู่ในต่างประเทศหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. โดยจะส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม แต่ไม่สามารถออกอากาศได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะไม่ได้ส่งสัญญาณออกไปยิงขึ้นดาวเทียมในต่างประเทศเหมือนเอเอสทีวี แต่กลุ่มพีทีวีได้นำไปเป็นประเด็นโจมตีว่ารัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เลือกปฏิบัติ พร้อมตั้งเวทีชุมนุมประท้วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ และ คมช.ที่ท้องสนามหลวง ก่อนที่จะรวมตัวกับผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณกลุ่มอื่นๆ ตั้งเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ขณะที่พีทีวีได้ลักลอบออกอากาศทางทีวีผ่านดาวเทียมเอ็มวี 1 ไปจนจนกระทั่งปิดตัวเอง เมื่อวันที่ 31 มี.ค.51 ที่ผ่านมา โดยอ้างว่ามีปัญหานี้สินและได้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว
**เหน็บพันธมิตรฯ สร้างความชิงชัง
นายจตุพร ในฐานะเป็นหนึ่งในคณะทำงานติดตามและวิเคราะห์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร แถลงข่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศห้ามรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคใต้ว่า เป็นการสร้างลัทธิความชิงชังให้เกิดขึ้น รวมทั้งเป็นความพยายามทำให้ประเทศไทยเกิดกระแสการแบ่งภาค ซึ่งถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าว ก็คือประชาชน เพราะถ้าหากรัฐมนตรีไม่สามารถลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการใช้งบประมาณได้ จะส่งผลเสียต่อการพัฒนาพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้
ส่วนกรณีที่ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตำหนิการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องถือว่ามีแนวคิดเหมือนกับพรรคพลังประชาชน ที่ไม่ต้องการให้เกิดการแบ่งภาคนิยม และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรหันมาหาทางแก้ลัทธิสร้างความชิงชังร่วมกัน เพราะหากถามกลับไปยังพรรคประชาธิปัตย์ว่าหาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วประชาชนภาคอีสาน ประกาศห้ามนายอภิสิทธิ์ลงพื้นที่ภาคอีสานบ้าง พรรคประชาธิปัตย์จะรู้สึกอย่างไร