แก๊งไข่แม้วดำ เปิดโต๊ะแถลงปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “พีทีวี” 14.00 น. วันนี้ “ตู่ จตุพร” ยอมรับท่อน้ำเลี้ยงแห้ง ประกาศลอยแพพนักงานกว่า 100 ชีวิต หลังนั่งตบยุงมานานกว่า 2 เดือนแล้ว “ณัฐวุฒิ” ยันไม่เกี่ยวแผนแปลงสภาพช่อง 11 เป็นสถานีใหม่ “เอ็นบีที” รองรับพนักงาน ขณะที่ “เจ๊เพ็ญ” โผล่หัวร่วมโต๊ะแจง
วันนี้ (30 มี.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน (พปช.) ในฐานะอดีตผู้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม “พีทีวี” (PTV หรือ People's Television) เปิดเผยว่า ในเวลา 14.00 น.วันนี้ ตนพร้อมด้วยอดีตผู้ก่อตั้งพีทีวีทั้งหมด อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายวีระ มุสิกพงศ์ จะร่วมจัดรายการเพื่อนพ้องน้องพี่ ทางสถานีโทรทัศน์พีทีวีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะประกาศปิดตัวพีทีวีอย่างเป็นทางการที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
นายจตุพร ระบุว่า คณะผู้บริหารได้ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองแล้ว เห็นว่า พีทีวี คงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากเงินในการใช้บริหารที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอที่จะดำเนินการต่อไปได้แล้ว จึงเห็นควรว่าจะต้องยุติการดำเนินงานลง และนำเงินที่เหลือไปจ่ายชดเชยให้กับพนักงานที่มีอยู่กว่า 100 ชีวิตที่ได้ร่วมต่อสู้กันมา
นายจตุพร ยอมรับว่า ตนเองได้คิดมานานแล้วว่าจะต้องมีวันนี้ โดยรายการทางวิทยุและโทรทัศน์ของพีทีวีจะยุติลงทั้งหมดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ร่วมผลิตรายการให้กับพีทีวีนั้น คาดว่า อาจจะไปผลิตให้กับสถานีอื่น
มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ คณะผู้บริหารบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ พีทีวี นำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร พร้อมคณะบริหารบริษัท ทั้ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกรัฐบาล เข้าร่วมประชุมด้วย พร้อมพนักงานพีทีวีประมาณ 100 คน รวมถึง นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประสำนักนายกรัฐมนตรี คนสำคัญด้วย
ทั้งนี้ คณะผู้บริหารพีทีวี ได้แจ้งในที่ประชุมกับพนักงานถึงสาเหตุการปิดบริษัทลง โดยอ้างสภาพเศรษฐกิจ และเงินทุนหมด แม้ก่อนหน้านี้ จะมีการปรับลดพนักงานไปบางส่วนบางแล้ว แต่ก็ยังไม่ทำให้ยอดบัญชีดีขึ้น และหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป คาดว่า ไม่เกิน 3-5 เดือน น่าจะพบภาวะที่ลำบากกว่านี้แน่นอน ดังนั้น ผู้บริหารจึงตัดสินใจปิดกิจการและยุติการออกอากาศโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม
สำหรับในส่วนของพนักงานพีทีวี ที่ต้องถูกเลิกจ้างนั้น ทางบริษัทจะชดเชยให้ตามกฎหมาย โดยพนักงานที่ทำงานมากกว่า 1 ปี ได้รับเงินชดเชย 6 เดือน พนักงานทำงานมากกว่า 6 เดือน แต่ไม่ถึง 1 ปี ได้รับเงินชดเชย 4 เดือน ส่วนพนักงานที่อายุงานไม่ถึง 3 เดือนได้รับเงินชดเชย 2 เดือน
สำหรับในส่วนของพนักงาน และทีมข่าวบางคนได้ตั้งข้อสังเกตถึงคณะผู้บริหารระดับสูงบางคนว่า อาจมีข้อตกลงกับช่อง 11 หรือไม่ แต่สำหรับพนักงานระดับล่างนั้น ยังไม่มีการส่งสัญญาณว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร เพราะเบื้องต้นส่วนใหญ่ยอมรับว่าตกใจกับการปิดกิจการและยังรู้สึกเคว้งคว้างยังไม่มีที่ไป และไม่รู้ว่าหากไปสมัครที่ใหม่ เขาจะรับหรือไม่
**“ณัฐวุฒิ” น้อยใจ “พีทีวี” ถูกแปลงเพศ
ด้าน นายณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า เท่าที่ทราบ ทางผู้บริหารพีทีวี เห็นว่า ดำเนินธุรกิจไปไม่ได้ติดปัญหาเรื่องเงินทุน จึงต้องยุติการดำเนินการ เพราะเดิม พีทีวีมีวัตถุประสงค์เป็นทีวีดาวเทียม เพื่อเงินทุนหมด และค่าใช้จ่ายสูง ถ้าจะเดินหน้าต่อไปเงินทุนอาจไม่เหลือ จึงต้องตัดสินใจยุติเพื่อนำเงินที่เหลือมีชดเชยให้พนักงาน
นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปิดสถานีครั้งนี้ และยุติการจ้างงานดังกล่าว ไม่เกี่ยวพันกับการเตรียมเปิดสถานีอย่างเป็นทางการของ NBT (ช่อง 11 เดิม) ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ในส่วนพนักงานเดิมของพีทีวี ก็เป็นสิทธิของเขาในการสมัครงานด้านนี้ หรือไปประกอบอาชีพอื่น แต่ว่าหากมีบางบุคคลไปสมัครงานกับ NBT จริง ก็จะไม่ได้รับสิทธิพิเศษแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า พีทีวีเกิดขึ้นมาทางการเมืองแบบเฉพาะกิจ เพื่อเป็นกระบอกเสียงในการต่อสู้กับเผด็จการในยุคที่แล้วเท่านั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน ไม่ใช่เรื่องการเมือง ถ้าหากมองในเรื่องของการต่อสู้ทางการเมืองปัจจุบัน ยังต้องต่อสู้กันต่อไปเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพิ่งรวมตัว เรายิ่งต้องมีพีทีวี
**แปลงช่อง 11 ใช้ภาษี ปชช.อุ้มแทนนายทุนใหญ่
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเงา ไม่ขอให้ความเห็นกรณีการปิดตัวของสถานีโทรทัศน์พีทีวี ว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร แต่มองว่ารัฐบาลอาจมีสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นเข้าไปดำเนินการแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้สถานีโทรทัศน์พีทีวีต่อไป ขณะเดียวกัน เห็นว่า ต้องติดตามการทำงานของสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ภายหลังการปรับปรุงใหม่ โดยเฉพาะเนื้อหาและสาระ
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเงา (ครม.เงา) ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยพฤติกรรมของนายจักรภพ ที่พยายามแทรกแซงช่อง 11 และช่อง 9 อสมท โดยล่าสุด ครม.เงา ได้มีมติตั้งคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคเป็นประธานและตนเป็นรองประธาน ทั้งนี้ เพื่อติดตามรับตัวรัฐบาลในการเข้าไปแทรกแซงสื่อของรัฐ รวมทั้งผลประโยชน์ทับซ้อน โดยพบว่า นายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งกำกับดูแลด้านสื่อมีพฤติกรรมเข้าข่ายแทรกแซงสื่อของภาครัฐในหลายรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อม