"หมอวัลลภ"ย้ำเหตุงดออกเสียงหนุน"นพดล"เพราะชี้แจงเขาพระวิหารไม่ชัด ขณะ รอง หน.ประชาธิปัตย์ชี้บล็อกโหวตทำข้อมูลฝ่ายค้านไร้ความหมาย - “วรวัจน์” โยนบาปฝ่ายค้านนำ"เขาพระวิหาร"มาโจมตีในสภา เสี่ยงเกิดปัญหาระหว่างประเทศ แถมเหน็บฝ่ายค้านโยงการเมืองนอกสภา ด้าน“ดร.ปณิธาน” เชื่อ ศึกอภิปราย ทำให้สังคมมีข้อมูล รู้จักตัวตนของ ส.ส.มากขึ้น ชี้ ผิดหวังนายกฯ ตอบคำถามไม่ได้เอาแต่นั่งพับนก
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการคมชัดลึก
วานนี้ (27 มิ.ย.) นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ในรายการคมชัดลึก ถึงกรณีที่ตนงดออกเสียงโหวตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ และ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงพาณิชย์ว่าสาเหตุที่ตนงดอกเสียงให้กับรัฐมนตรีทั้งสอง เนื่องจากเมื่อตนได้ฟังการตอบคำถามของทั้งคู่แล้วรู้สึกว่าตอบข้อซักถามของฝ่ายค้านได้ไม่ชัดเจน จึงตัดสินใจงดออกเสียง
ผู้ดำเนินรายการถามว่าหากเห็นว่าตอบคำถามได้ไม่ชัดเจนแล้วทำไมไม่โหวตไม่ไว้วางใจไปเลย นพ.วัลลภ กล่าวว่า เพราะตนคิดว่า บางทีความคิดของตนอาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว บางทีรัฐมนตรีทั้งสองอาจจะตอบคำถามได้ดีแล้วก็ได้แต่ แค่ยังไม่ตรงกับความคิดของตน จึงคิดว่าอย่าให้ไปถึงขั้นไม่ไว้วางใจเลย เอาแค่พอกระตุก ๆ กันไปก่อนก็น่าจะพอ
ต่อคำถามว่า การกระทำดังกล่าวถือว่าฝืนต่อมติพรรคหรือไม่นั้น นพ.วัลลภ กล่าวว่า การที่มีความเห็นต่างกันบ้างน่าจะเป็นเรื่องดี ที่รัฐบาลจะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วใครมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง แทนที่จะไหลตามกันไปหมด ซึ่งหากรัฐบาลเปิดให้ใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างไปแล้ว นำไปปรับปรุงการทำงานแล้ว ตนหวังว่าการทำงานของรัฐบาลดีขึ้น ตนจึงตัดสินใจอย่างนี้ ซึ่งหลังจากจบการลงมติแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครในพรรคติดต่อมาพูดคุยในเรื่องดังกล่าว จึงเชื่อว่าเรื่องที่ตนมีความคิดเห็นต่างในครั้งนี้คงไม่มีปัญหาอะไร
ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้ เป็นไปตามความคาดหมาย แต่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เพราะรัฐบาลก็ยังมีการบล็อกโหวต ให้เป็นไปตามมติพรรคโดยไม่สนใจว่าข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำเสนอจะเป็นอย่างไร เรียกได้ว่าหาข้อมูลมามากเท่าไหร่ ก็ไม่มีประโยชน์เพราะสุดท้ายก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง แต่อย่างไรก็ตามการยื่นอภิปรายในครั้งนี้ ฝ่ายค้านก็คาดหวังว่าหลังจากที่เราได้อภิปราย ถึงสิ่งที่บกพร่องของรัฐบาลแล้ว ก็น่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในการบริหาร หรือการปรับคณะรัฐมนตรีบ้างเพื่อให้บริหารประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งโดยภาพรวมแล้วตนค่อนข้างผิดหวังที่รัฐบาลไม่สามารถชี้แจงเรื่องที่ยื่นอภิปรายได้ได้ ตอบคำถามไม่ชัดเจน อีกทั้งยังมีประท้วงอย่างไร้เหตุผลอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เสียเวลาไปมากอีกด้วย
ด้านนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า การอภิปรายของฝ่ายค้านในครั้งนี้ ตนสบายใจอยู่ตลอด เนื่องจากเรื่องที่นำมาอภิปรายไม่มีเรื่องการทุจริตเลย เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่บอกกับประชาชนได้ว่า รัฐบาลยังมีความชอบธรรมในการบริหารงานอยู่ส่วนทุกเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น ตนมองว่าไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะนำมาเป็นประเด็นไม่ไว้วางใจ เพราะรัฐบาลเพิ่งทำงานมาได้เพียง 4 เดือนการแก้ปัญหาก็ยังทำได้ไม่มากนัก ด้วยข้อจำกัดของเวลา ซึ่งเรื่องนี้ก็สมควรที่ต้องให้เวลารัฐบาลมากกว่านี้ ส่วนเรื่องของเขาพระวิหารที่ถูกฝ่ายค้านนำมาเป็นประเด็นในสภานั้น ตนมองว่าฝ่ายค้านไม่ควรหยิบมาเป็นประเด็นดังกล่าวมาใช้ในทางการเมือง
“ผมมองไม่เห็นว่ารัฐบาลจะเสียหายอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์พูด ผมยังคิดว่าเขาตั้งใจทำงาน ส่วนเรื่องเขาพระวิหาร ผมไม่อยากให้หยิบยกมาเล่นกันอย่างนี้ 40 กว่าปีที่ผ่านมามันนิ่งแล้ว การเจรจาที่ต้องเกิดคือจะทำอย่างไรให้ปราสาทเขาพระวิหารก่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งสองประเทศ ดังนั้นฝ่ายค้านจึงไม่ควรหยิบประเด็นดังกล่าวขึ้นมาเล่นในแง่ของการเมือง เพราะมันจะก่อให้เกิดภาวะกระทบกระทั่ง จนนำมาซึ่งปัญหาระหว่างประเทศในอนาคต"
นายวรวัจน์ กล่าวด้วยว่า อยากชวนให้พรรคประชาธิปัตย์มาร่วมสร้างการเมืองใหม่ให้กับประเทศโดยยุติการเมืองที่มุ่งทำลายล้างกัน และยอมรับเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนว่าในเมื่อประชาชนเลือก ส.ส.มาแล้วก็ควรให้อำนาจเขาบริหารบ้านเมืองไป และหยุดการเมืองนอกสภาเสีย เพื่อที่จะได้บริหารงานได้ดีขึ้น
ส่วนภาพรวมการอภิปรายในครั้งนี้ ตนมองว่าทางฝ่ายค้านยังใช้คำพูดเสียดสีฝ่ายรัฐบาลอยู่มาก อีกทั้งยังมีการโยงเรื่องที่อภิปรายไปมาเพื่อให้เกี่ยวกับคนนอกสภาอยู่มาก เหมือนการแต่งนิยาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ส่วนคำถามที่ว่าทำไมฝ่ายรัฐบาลจึงประท้วงฝ่ายค้านอยู่บ่อยครั้งนั้น อาจเป็นเพราะมีการพูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตนได้ตั้งข้อสังเกตว่า คนที่พูดโกหกหรือพูดไม่เป็นความจริง มักจะถูกประท้วงเสมอ อย่างเช่น เมื่อนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ลุกขึ้นพูดเมื่อไหร่ก็ต้องถูกประท้วงเสมอ เพราะคนที่ฟังรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาจะพูดคือเรื่องไม่จริง แต่ฝ่ายค้านบางคนก็พูดไปจนจบก็ไม่มีใครประท้วง ดังนั้นประเด็นในการประท้วงส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการพูดเรื่องไม่จริงที่ฝ่ายรัฐบาลรับไม่ได้มากกว่า
ขณะที่ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ภาพรวมการอภิปรายในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้แรงกดดันจากภายนอกลดลง เพราะการเมืองนอกสภาก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่สิ่งที่เกิดประโยชน์ในครั้งนี้ก็คือทำให้สังคมมีข้อมูลมากขึ้น และเชื่อว่าต่อจากนี้เมื่อมีการชี้แจงข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ฝ่ายค้านตั้งเอาไว้มาอธิบายต่อประชาชนมากขึ้น
นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าดีมากก็คือ ทำให้ประชาชนได้รู้จัก ส.ส.มากขึ้น ว่า ส.ส.คนไหนเป็นอย่างไรมีวุฒิภาวะอย่างไรบ้าง เห็นได้จากการที่ ส.ส.บางคนพอพูดในสภาแล้วก็ทำให้รู้ได้เลยว่า ส.ส.คนนั้นมีความรู้และวุฒิภาวะที่สูงมาก เนื้อหาบางอย่างลึกมาก ซึ่งบางอย่างในตำรายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ แต่ตรงข้ามกับ ส.ส. บางคนที่ไร้วุฒิภาวะถึงขนาดที่ว่า ถ้าต้องเลือกตั้งใหม่ วันนี้พรุ่งนี้คงไม่ได้กลับมาเป็น ส.ส. แน่เพราะพฤติกรรมและวุฒิภาวะต่ำมาก ต่อหน้าประชาชนหลายสิบล้านคนที่จ้องมองอยู่แต่ก็กลับทำพฤติกรรมไม่ที่แย่ ๆ ออกมา
ต่อคำถามว่า โดยภาพรวมแล้วรัฐบาลสอบผ่านหรือไม่ ดร.ปณิธาน กล่าวว่าก็ต้องขึ้นอยู่ว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้ารัฐบาลจะดำเนินการปรับปรุงปัญหาที่ได้รับรู้แล้วอย่างไรบ้าง แต่หากถามความรู้สึกในตอนนี้ตนก็ประเมินว่าบางอย่างรัฐบาลก็น่าจะตอบคำถามต่าง ๆ ได้ดีกว่านี้โดยเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีเอง ที่น่าจะให้ความสนใจและตอบคำถามให้ตรงประเด็นมากขึ้น เพื่อที่ประชาชนจะได้เชื่อมั่นในตัวผู้นำได้
“ท่านนายกในฐานะที่เป็นผู้บริหาร เราก็ไม่อยากเห็นท่านพับนกเวลามีการอภิปราย พวกเรายังฟังยังไม่นั่งพับเลย เรายังฟังเรายังจด แต่พวกเราเป็นนักวิชาการอาจจะไม่นับ แต่ว่าท่านนายกอาจจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แล้วตอบคำถามได้ตรงประเด็นมากกว่าขึ้น เพื่อให้เรามั่นใจในตัวผู้นำของเราได้มากกว่านี้” ดร.ปณิธานกล่าว