xs
xsm
sm
md
lg

“ธีรภัทร์” สับ “นพเหล่” เซ็นแถลงการณ์อัปยศ ดึงกองทัพเป็นผ้ายันต์กันผี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์
“ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์” อัด “นพเหล่” เซ็นแถลงการณ์ร่วมอัปยศอย่างลุกลี้ลุกลน เจตนาปกปิดบิดเบือนข้อมูล ส่อเสียดินแดนอธิไตยให้เขมร แถมดึงทหารเป็นผ้ายันต์กันผีปกป้องตัวเอง

วันนี้ (26 มิ.ย.) นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ นักวิชาการกล่าวถึงกรณีปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร ว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า ทำไม นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จึงลุกลี้ลุกลนรับรองแผนที่ ที่กัมพูชาเสนอ รีบลงนามในแถลงการณ์ร่วม ทำทุกอย่างแบบปกปิด ประหนึ่งว่าไม่ต้องการให้ประชาชนรับรู้ ถึงกับขอให้ทหารปิดปาก โดนตนขอเป็น “พระเอก” แต่คนเดียว อีกทั้งไม่ยอมเอาเรื่องเข้าที่ประชุมสภาโดยพยายามตะแบงบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของชาติ ไม่ใช่เรื่องของนายนพดลคนเดียว ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลแต่ผู้เดียว แต่เป็นเรื่องของคนไทยทั้งประเทศ ที่คนไทยควรมีสิทธิได้รับรู้เรื่องใหญ่ๆ เช่นนี้ เพราะเดิมพันเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมือง เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของชาติ

ประชาชนคงไม่ผิดหากระแวง ว่า การกระทำทั้งหมดจะสนับสนุน “ข่าว” ที่ออกมาล่วงหน้านี้ที่ว่า มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างอดีตผู้นำไทยที่ยอมให้ “ซากปรักหักพังของก้อนหิน” กับเขมรไป โดยตนต้องการผลประโยชน์แผ่นดินกัมพูชาที่แปรเป็นตัวเงินจับต้องได้ กับพฤติกรรมของนายนพดลที่ทำตัวเป็น “ทนายเขมร” นายนพดลต้องชี้แจงเรื่องทั้งหมดมากยิ่งขึ้น

นายธีรภัทร์ กล่าวต่อว่า ผู้เชี่ยวชาญและผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศหลายท่านในประเทศไทย ได้ตั้งข้อสังเกตไว้บางอย่างบางประการที่น่าสนใจว่าการที่กัมพูชาขอขึ้นปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเป็นเรื่องของกัมพูชา ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่แต่เราห่วงใยว่าประเด็นที่คนไทยห่วงใยมีดังนี้

ประการแรก นายนพดลออกมายืนยันว่า ไทยไม่เสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เนื่องจากคำพูดของตัวเองไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคม จึงพยายามอ้างคำพูดของ ผบ.ทบ.และเจ้ากรมแผนที่ทหารว่าไทยไม่เสียดินแดนมาเป็น “ผ้ายันต์กันผี” เพื่อปกป้องตนเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสงสัยของสังคมต่อนายนพดลลดน้อยลง เพราะนายนพดลเตรียมรับแผนที่ ซึ่งตอนหลังมาเรียกว่าเป็นแผนผังที่กัมพูชาเสนอมาแต่แรก แต่ฝ่ายทหารคัดค้านอย่างรุนแรงว่ามีการรุกล้ำเข้ามาในเขตไทย นอกเหนือจากที่ไทยได้กำหนดไว้ตามมติ ครม.ปี 2505 จน นายนพดล ต้องติดต่อกับฝ่ายเขมรขอแก้ไขตามที่ทหารตั้งข้อสังเกตมา เอาเป็นว่า ณ วันนี้ เรายังไม่เสียดินแดน แต่เรื่องนี้อย่ามองเฉพาะหน้า แต่ต้องมองไปข้างหน้าว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้สุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนและอธิปไตยของประเทศในอนาคตหรือไม่ดังที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ได้แสดงความห่วงใยไว้

ประการที่สอง นายนพดลพยายามทำให้คนไทยสนใจเฉพาะเรื่องดินแดนเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องใหญ่กว่านั้นที่นายนภดลไม่ยอมเอ่ยถึง จะเป็นเพราะไม่รู้หรือปกปิดก็ตาม คือ อธิปไตยของชาติ กับแผนบริหารจัดการปราสาทเขาพระวิหารกัมพูชา ที่จะมีผลกระทบต่อไทยในภายหลัง

นายนพดล พูดหลายครั้งเรื่อง “พื้นที่ทับซ้อน” หลายคนฟังแล้วอาจผ่านไป เพราะไม่ทราบว่ามีความหมายอะไร คงคิดถึงพื้นที่ที่ไทยอ้างว่าเป็นของไทยและเขมรอ้างว่าเป็นของเขมรที่ยังตกลงกันไม่ได้เท่านั้น แต่ความจริงมีความหมายลึกซึ้งมากกว่านี้ เพราะในความเป็นจริงและตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะไม่มีพื้นที่ทับซ้อนในประเทศไทยเป็นอันขาด กล่าวคือ ศาลโลกตัดสินเมื่อปี 2505 ให้กัมพูชาได้ไปเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น โดยกล่าวว่า ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในดินแดนเขมรตามที่กัมพูชาขอ โดยศาลจะตัดสินให้มากไปกว่านั้นไม่ได้ ครม.ขณะนั้นได้ให้ตัวปราสาทหลักของเราพระวิหารและพื้นที่ติดกับปราสาทห่างมากไม่เกิน 20 เมตรไปด้วยและแจ้งผลการดำเนินงานให้กับสหประชาชาติเรียบร้อย

นายธีรภัทร์ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น พื้นที่ที่เหลือจึงเป็นของประเทศไทย และเราต้องยืนยันในอธิปไตยของชาติเหนือดินแดนเหล่านี้ แม้ว่าต่อมากัมพูชาได้ขอให้ฝรั่งเศสเขียนแผนที่คร่าวๆลากเส้นเขตแดนเข้ามาในเขตไทยในภายหลังก็ตาม ไทยต้องไม่ยอมรับเขตแดนที่ฝรั่งเศสร่างให้กัมพูชา แต่ต้องยืนยันอธิปไตยเหนือดินแดนของเรา ดังนั้น จึงต้องไม่มี “พื้นที่ทับซ้อน” ตามที่ นายนพดล และหลายคนพูดถึงโดยไม่รู้ว่ามันมีความหมายทางการเมืองและกฎหมายระหว่างประเทศขนาดไหน

การที่ นายนพดล ได้พูดย้ำเรื่องพื้นที่ทับซ้อนบ่อยครั้งโดยตั้งใจหรือไม่หรือจะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่อย่างไร แต่ได้เกิดผลทางกฎหมายขึ้นแล้วว่ารัฐบาลไทยยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็น “พื้นที่ทับซ้อนของอำนาจอธิปไตย” ทั้งที่ไทยมีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่นั้น 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม การพูดเช่นนั้นเท่ากับนายนพดลไปลดอธิปไตยของไทยให้เกลือเพียง 50 เปอร์เซ็นต์และยอมรับอธิปไตยของกัมพูชาอีก 50 เปอร์เซ็นต์ เหนือแผ่นดินไทย ซึ่งไม่มีที่ไหนทำกัน

สิ่งที่ฝ่ายไทยต้องทำ คือ ไทยต้องยืนยันว่าพื้นที่ทั้งหมดนอกจากตัวปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่เล็กน้อยติดกับตัวปราสาทเป็นอธิปไตยของไทยไม่มีการทับซ้อนของอำนาจอธิปไตยแต่อย่างใดพื้นที่ตรงนั้นถ้าไม่ใช่ของเขาก็เป็นของเรา ถ้าเป็นของเราก็ไม่ใช่ของเขา ไม่ใช่เป็นของทั้งสอง

นายธีรภัทร์ กล่าวด้วยว่า นายนพดล ซึ่งเรียนกฎหมายและเรียนเนติฯจากอังกฤษ รู้กฎหมายเพียงแค่จะมาประกอบอาชีพทนายความเท่านั้น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ นายนพดลแยกไม่ออกระหว่าง “อำนาจอธิปไตย” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sovereignty กับ “การใช้อำนาจรัฐ” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Jurisdiction เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นสิ่งเด็ดขาด ครอบคลุมทุกด้านทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่ไม่สามารถสละอธิปไตยได้หรือสละบางส่วนเพื่อให้คนอื่นเข้ามาผสมได้นอกจากถูกบังคับ ซึ่งหมายถึงการสูญเสียอธิปไตยเท่านั้น ยกเว้นที่มายอมให้สถานทูตต่างประเทศมีอำนาจจัดการภายในเขตสถานทูตได้ ซึ่งถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสากลที่ยอมรับกันมา

ในทำนองเดียวกันบางคนเสนอให้พื้นที่ดังกล่าวเป็น No man s Land ไทยยอมไม่ได้

อธิปไตยเหนือดินแดน หรือ Territorial Soverignty หมายถึงดินแดนบนบกทั้งหมด ดินแดนทางน้ำที่เรียกว่า Inland Waters และทะเลอาณาเขต แต่มีข้อยกเว้นที่อาจให้คนอื่นเดินเรือผ่านโดยสุจริตที่ไม่ก่อให้ เกิดความเสียหายเป็นต้น

ส่วน Jurisdiction นั้นคือขอบเขตการใช้อำนาจรัฐว่าเขตอำนาจรัฐของไทยใช้ไปถึงไหน เช่น ไหล่ทวีป ซึ่งประเทศต่างๆ อาจขยายขอบเขตการใช้อำนาจรัฐของตนจนเกิดกับเกยกันหรือมาทับซ้อนกันได้ แต่ไม่ใช่การทับซ้อนของอำนาจอธิปไตย เพราะฉะนั้นต้องแยกให้ออกกัมพูชาพยายามขยายอำนาจอธิปไตยมาเหนืออธิปไตยเหนือดินแดนของไทย ซึ่งไทยยอมไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีการทับซ้อนอำนาจอธิปไตย แต่นายนภดลพยายามทำให้เกิดการทับซ้อนของอำนาจอธิปไตย

คนไทยต้องไม่สนใจเฉพาะเรื่อง “ดินแดน” หรือ Terriroty เท่านั้น แต่ต้องให้ความสำคัญ “อำนาจอธิปไตยหรือดินแดน” มากว่า เราอาจไม่เสียพื้นที่ตรงปราสาทเขาพระวิหาร แต่เราจะเสียอำนาจอธิปไตย เพราะนายนพดลให้พื้นที่บริเวณนั้นเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” ของอำนาจอธิปไตย

ประการที่ 3 ดินแดนของประเทศไทยซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วไปที่ต่อจากตัวปราสาท การที่รัฐบาลกัมพูชาสนับสนุนให้คนเขมรมาตั้งบ้านเรือน ชุนชน วัด อยู่ในดินแดนไทยนั้น จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายเขมรในกรณีที่เกิดมีกรณีพิพาทดินแดนแลนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกหรือกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ กัมพูชาจะได้อ้างสิทธิได้ว่าฝ่ายไทยไม่คัดค้าน เช่น กรณีของเขาพระวิหาร การที่คนศรีสะเกษออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันคนเขมรดังกล่าวให้ออกไปจากพื้นที่อธิปไตยของไทยเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่นายนพดลกลับบอกว่าจะใช้เวลาสองปีแก้ไขปัญหา แสดงว่า นายนพดล ยังต้องการให้คนเขมรอยู่ในประทศไทยต่อไป ซ้ำยังกล่าวหาทหารว่าเป็นผู้ผิดที่ปล่อยให้คนเขมรเหล่านี้เข้ามา จนทหารต้องออกมาตอบโต้ว่า กองทัพภาคที่สองเตรียมผลักดันมาแล้วแต่กระทรวงการต่างประเทศไทยยับยั้งโดยเกรงว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์กับกัมพูชา

ประการที่ 4 หากนายนพดลจะออกมาแก้ตัวว่า ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนของอำนาจอธิปไตย แต่เป็นการทับซ้อนของการใช้เขตอำนาจรัฐ ก็ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่จะพิจารณาความผิดของนายนภดลและรัฐบาลชุดนี้ได้คือ นายนภดลออกมาพูดย้ำหลายครั้งว่า เรื่องนี้ไม่จ้องนำเข้าพิจารณาในสภาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยอ้างว่า แถลงการณ์ร่วมที่ตนไปลงนามร่วมกับกัมพูชาไม่ใช่ “สนธิสัญญา” นายกฤช ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศได้ออกมายืนยันว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไม่ใช่สนธิสัญญา ซึ่งไม่มีใครไปแย้งว่าไม่ใช่สนธิสัญญา แต่สิ่งที่คนทั่วไปแย้ง คือ เป็นหนังสือสัญญา ที่ต้องเข้าพิจารณาในรัฐสภา นักนิติศาสตร์และนักกฎหมายระหว่างประเทศหลายท่านยืนยันว่า เรื่องนี้ต้องเข้าสภา จึงต้องมาดูวรรคสองของมาตรา 190 ซึ่งระบุว่า

“หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญา หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญาหรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางหรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุนหรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว

ก่อนการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศตามวรรคสอง คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้น ในการนี้ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบด้วย” นายธีรภัทร์ กล่าว

เป็นความจริงตามที่นายนพดลพูดที่ว่า แถลงการณ์ร่วมไม่ใช่สนธิสัญญา แต่แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็น “หนังสือสัญญา” แน่นอน เพราะรัฐธรรมนูญทุกฉบับตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงฉบับปัจจุบันก็ใช้คำว่า หนังสือสัญญา ซึ่งมีความหมายและขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมมากกว่าสนธิสัญญา รัฐธรรมนูญไม่ได้ใช้คำว่า สนธิสัญญาแต่อย่างใด หากนายนภดลจะอ้างว่าเอามาจากคำแปลรัฐธรรมนูญที่เป็นภาษอังกฤษ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีการแปลคำว่าหนังสือสัญญาด้วยคำว่า Treaty แต่นี่คือ รัฐธรรมนูญไทยต้องยึดภาษาไทยเป็นหลัก

นายธีรภัทร์ กล่าวต่อว่า คำว่าหนังสือสัญญา ผู้รู้ด้านนิติศาสตร์และกฎหมายระหว่างประเทศและผู้ร่างรัฐธรรมนูญอธิบายว่า สิ่งที่รัฐบาลไปทำความตกลงกับต่างประเทศไม่ว่าจะออกมาในรูปของแถลงการณ์ร่วม Joint Communique บันทึกความเข้าใจ MOU จดหมายแสดงเจตจำนง LOI พิธีสาร Protocol ประกาศ Declaration ข้อตกลงAgreement สนธิสัญญา Treaty ฯลฯ ล้วนแต่เป็น “หนังสือสัญญา” ทั้งสิ้น

การลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นหนังสือสัญญาแน่นอน ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่ามีผลกระทบอะไรหรือไม่อย่างไร แม้ไม่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยในปัจจุบันแต่หลายคนมองว่าเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเสียอาณาเขตในอนาคตหรือไม่อย่างไร แต่ที่แน่นอน ณ วันนี้ไทยได้สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียอำนาจอธิปไตยจาการแถลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไทยมีพื้นที่ทับซ้อน ดังได้อธิบายไว้แล้ว นอกจากนั้น ผลที่เกิดขึ้นกระทบต่อสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง เพราะเกิดความขัดแย้งกันในทุกระดับของสังคม ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ อย่างมีนัยสำคัญ จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาและคระรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญาดังกล่าว

ถ้า นายนพดล และนายสมัคร ยังตะแบงต่อไปว่า แถลงการณ์ไม่ใช่หนังสือสัญญา ไม่เข้าข่ายตามวรรคสองก็ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ตามมาตรา 190 วรรคสุดท้ายระบุว่า “ในกรณีที่มีปัญหาในวรรคสอง ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยชี้ขาด...” ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่า แถลงการณ์ร่วมที่นายนพดลงุบงิบไปลงนามร่วมกับกัมพูชาเป็นหนังสือสัญญาแสดงว่ารัฐบาลทำผิดรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ โดยลัดขั้นตอนตามวรรคสอง ถ้าเป็นเช่นนั้น ผลที่ตามมาคืออะไร

การที่ นายนพดลเอาข้อมูลมาชี้แจงกับสื่อมวลชนเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2551 หลังที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา ซึ่งเป็นไปตามวรรคสี่ของมาตราเดียวกัน ที่ว่า “เมื่อลงนามในหนังสือสัญญาตามวรรคสองแล้ว ก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน คณะรัฐมนตรีต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น...” เป็นที่ทราบกันดีว่า ที่นายนภดลต้องออกมาชี้แจงก็เพราะถูกสังคมกดดันอย่างหนัก แต่ก็ออกมาชี้แจงหลังจากที่เร่งรีบเซ็นข้อตกลงกับกัมพูชาให้เรียบร้อยเสียก่อน ทั้งที่สังคมเรียกร้องให้ออกมาชี้แจงก่อนหน้านี้เป็นเวลานานพอสมควร

การที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเพิ่มเติมมาตรา 190 ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่มี ก็เพื่อไม่ให้รัฐบาลไปทำข้อตกลงใดๆ กับต่างประเทศโดยที่ประชาชนไม่มีสิทธิรับรู้ดังเช่นรัฐบาลทักษิณ โดยไม่ให้ผลประโยชน์ของชาติยุติลงที่รัฐบาลเท่านั้น สภาซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนจะต้องมีส่วนรับรู้ด้วย แต่ก็มีความพยายามหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว

นายธีรภัทร์ กล่าวว่า ถ้า นายนพดล อ้างว่า ยังไม่มีกฎหมายลูกว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาตามวรรคสอง แต่ถ้ารัฐบาลมีความจริงใจต่อประชาชน ก็ควรให้ประชาชนได้มีส่วนรับรู้ในกรณีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และกระทบต่อคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ยังติดนิสัยจากรัฐบาลทักษิณรวบรัดไปแอบทำข้อตกลงกับต่างประเทศต่างๆ โดยประชาชนไม่มีส่วนรับรู้

การกระทำที่ลุกลี้ลุกลน รวบรัด ปกปิดเพื่อลงนามในแถลงการณ์ร่วม เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยมีความรู้สุกว่า นายนพดล เองใจเขมรเกินเหตุ เอกสารทุกอย่างก็ใช้ของเขมรเป็นหลัก และอ้างว่าเกรงจะกระทบต่อความสัมพันธ์กับกัมพูชา ทั้งที่ประชาชนไทยไม่ได้วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชา แต่วิจารณ์รัฐบาลไทยเป็นสำคัญ

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาตราสามระบุว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ดังนั้นประชาชนชาวไทยต้องมีส่วนรับรู้การกระทำใดๆของรัฐบาลและนายนพดลที่อาจส่งผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติ ซึ่งคนไทยเป็นเจ้าของและทุกท้วงเพื่อไม่ให้ชาติต้องสุ่มเสี่ยงมากเกินไปในขณะที่ไทยยังไม่รู้จริงในหลายเรื่อง ประชาชนต้องการให้ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความรอบคอบอีกสักนิดซึ่งคงไม่เสียเวลามากเกินไป แต่สิ่งที่ทำมาดูลุกลี้ลุกลนจนทำให้ประชาชนไทยอดระแวงไม่ได้ว่าเหมือนกับนายนภดลไปตกลงบางอย่างไว้กับกัมพูชา

เมื่อมีคนและกลุ่มคนทักท้วง นายนพดล แสดงโวหารดูหมิ่นดูแคลนบุคคลดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นศาสตราจารย์ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ นายปองพล อดิเรกสาร ที่รู้เรื่องนี้ดีก่อนนายนพดลด้วยซ้ำ ดูถูกวุฒิสมาชิกและผู้อำนวยการไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่ามีมาตรฐานทางวิชาการต่ำ

คนไทยไม่ต้องการเห็นการสุญเสียอธิปไตยของชาติเหนือดินแดนหรือเสียดินแดนส่วยใดส่วนหนึ่งอีกในอนาคต ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายดำเนินการดังนี้

หนึ่ง ทำเรื่องขอความคุ้มครองจากศาลปกครองไว้ก่อน เพื่อไม่ให้แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมีผลบังคับใช้โดยทันที

สอง ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะเป็นข้อขัดแย้งระหว่างองค์กร เช่น วุฒิสภา กับรัฐบาล

ที่เสนอข้อมูลมาทั้งหมด เป็นการให้ “ความรู้” ทางวิชาการแก่ประชาชนอีกด้านหนึ่งนอกเหนือจากมุมมองที่รัฐบาลได้ชี้แจงต่อประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาว่า ข้อมูลของใครจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน ไม่ใช่เป็นการปลุกระดมแต่อย่างใด

กฎหมายอาญามาตรา 119 ระบุไว้ให้เข้าใจได้ว่า “บุคคลใดที่ทำให้เอกราช อธิปไตยของชาติเสื่อมเสีย ตกไปเป็นของคนอื่น บุคคลนั้นต้องโดนประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต” แต่ชีวิตของคนคนหนึ่งไม่คุ้มกับการแลกกับอธิปไตยของชาติ




กำลังโหลดความคิดเห็น