xs
xsm
sm
md
lg

“ชวน” กรีด “หมัก” นักบิดเบือน ยัน “เสนีย์” ไม่เคยรับรองแผนที่เขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมัคร สุนทรเวช
ปธ.สภาที่ปรึกษาพรรค ปชป.ตอก “หมัก” ปากไม่เนรคุณแต่พาดพิง “ม.ร.ว.เสนีย์” จนครอบครัวเสียหาย ยันทีมทนายไม่เคยรับรองแผนที่กัมพูชา ย้อนรัฐบาล “แม้ว” ละเลยพื้นที่ทับซ้อนต้นเหตุเขมรรุกล้ำ

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายชวน หลีกภัย ปราศรัย 

วันนี้(25มิ.ย.) นายชวน หลีกภัย ประธานคณะที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายในสภา เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาว่า ขอเก็บตกประเด็นในเรื่องเขาพระวิหาร เพื่อเก็บสิ่งที่ตกค้างเอาไว้ให้หมด ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายแก่ครอบครัวของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะบุตรชายของท่านก็ไม่สามารถออกมาชี้แจงได้เพราะเป็นองคมนตรี

นายชวน ยืนยันว่าคำพูดของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่กล่าวหาทีมทนายความของไทย ซึ่งมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ร่วมทีมทนาย ไปยอมรับแผนที่ของกัมพูชาจนเป็นเหตุให้ไทยเสียดินแดนนั้น เป็นการพูดกลับขาวให้เป็นดำ เพราะตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทนายฝ่ายไทยได้ทำ นั่นคือไม่เคยยอมรับแผนที่ของกัมพูชา

นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่มีคนกล่าวพาดพิงว่าท่านอาจจะไม่รับเป็นเงินบาทแต่รับเป็นเงินฟรังก์ คนดีๆ อย่างท่านไม่น่าจะตกมาเป็นเหยื่อของคนที่ไม่รู้จริง เหตุการณ์ตอนนั้นตนยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งท่านก็สอนอยู่ และท่านก็เล่าให้ฟังอยู่เสมอว่าไม่สมัครใจที่จะว่าความในคดีนี้ แต่ก็ถูกขอร้องจากรัฐบาล ขณะนั้นท่านก็ทำอาชีพทนาย ซึ่งทำคุณให้แก่บ้านเมือง ท่านก็เป็นดีเพราะรัฐบาลขอร้อง ก็ยอมรับทำเพื่อชาติโดยไม่คิดค่าทนายแต่พวกท่านจะไม่ยกย่องคนที่ทำดีเพื่อชาติก็ไม่เป็นไร

นายชวน กล่าวต่อว่า กรณีที่นายสมัคร ยืนยันว่าไม่คิดเนรคุณ ม.ร.ว.เสนีย์นั้น คำว่าเนรคุณไม่ได้หมายความเฉพาะการทรยศหักหลัง แต่นายกฯ ไม่ควรไปกล่าวหา ถึงจะไม่เอ่ยชื่อ แต่ทุกคนก็รู้ว่าเป็น ม.ร.ว.เสนีย์ เรื่องนี้ถ้าท่านพูดเพราะไม่รู้คงไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้แล้วยังพูดก็เป็นการพูดให้ขาวเป็นดำ จึงอยากให้แก้ไขข้อเท็จจริงด้วยเพื่อความกระจ่างชัด และสิ่งที่ตนพูดก็ไม่ได้พูดยกย่องคนที่เสียชีวิต แต่พูดยกย่องคนดี ดังที่ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี เคยกล่าวยกย่องท่านไว้ว่าเป็นนักการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริตสะอาด รู้แพ้รู้ชนะ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของนักการเมืองที่ควรยึดถือเอาไว้ ที่พูดวันนี้รู้สึกสบายใจ แม้จะได้ตอบแทนคุณท่านนิดหน่อยก็ตาม นายกฯ พูดในห้องกับนอกห้องไม่ตรงกัน แถมยังพูดยั่วยุท้าทาย ตนจึงต้องบอกให้ประชาชนรู้ว่าความจริงคืออะไร และควรตำหนิรัฐบาลไหน ท่านพูดกระทบแค่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ให้ถามคนอายุมากๆ ในพรรค เรื่องอะไรต้องมาพาดพิงคนอื่น จึงอยากชี้แจงว่าคนในพรรคหลายคนอาจเกิดไม่ทัน แต่ทุกคนรู้สถานการณ์ในการสู้คดีว่าไม่เป็นไปอย่างที่ท่านชี้แจง รวมถึงกรณีที่ท่านบอกว่าได้มีชาวเขมรลุกล้ำเข้ามาตั้งบ้านเรือน ร้านค้าในพื้นที่ทับซ้อนตั้งแต่ปี 2543

“ผมยอมรับว่าเป็นในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จริง ซึ่งผมได้นำคณะไปเจรจาประกอบด้วย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศสมัยนั้น ซึ่งก็มีนายนพดล ปัทมะ เลขานุการ รมว.ต่างประเทศไปร่วมเจรจาด้วย นายนพดลซึ่งมีการทำบันทึกช่วยจำทั้งสองฝ่ายห้ามลุกล้ำหรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อน นายนพดลน่าจะนำข้อมูลนี้ให้นายกฯ ดู ว่าเราได้เตรียมป้องกันปัญหาไว้อย่างรอบคอบ แต่พอถึงปี 2544-49 ได้มีการลุกล้ำเข้ามามาก แต่รัฐบาลช่วงนั้นกลับไม่ยอมดำเนินการอะไรเลย พอทางกองกำลังสุรนารีจะผลักดันออกไปก็ถูกฝ่ายการเมืองห้าม อาจจะมองในแง่ดีว่ารัฐบาลคงเป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตรงนี้ทำไมนายกฯไม่พูด หรือว่าขาดอายุความไปแล้ว อยากให้ท่านพูดตรงไปตรงมาด้วย ตนไม่ได้กล่าวหาคนที่พยายามจะแก้ปัญหาให้บ้านเมือง แต่ท่านอาจจะมองสั้นเกินไป”

นายชวนกล่าวต่อว่า กรณีที่นายสมัครพูดถึงการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านว่าเป้ฯความกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเป้นนายกฯ นั้น ความจริวไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือ ถ้าเราเชื่อในกฎเกณฑ์และปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงวิกฤตบ้านเมืองจะไม่เกิด แต่ถ้าไม่เคารพแล้วออกนอกลู่นอกทาง ในที่สุดก็จะสะดุดแล้วมีปัญหาตามอย่างนึกไม่ถึง ในเมื่อท่านเชื่อกระบวนการได้มาของอำนาจก็ต้องเชื่อกระบวนการตรวจสอบด้วย ไม่ใช่รับแค่กระบวนการที่มาของอำนาจเท่านั้น ไม่เช่นนั้นองคาพยพของระบอบประชาธิปไตยก็จะมีการอันเป็นไป

ต่อมา นายสมัคร ลุกขึ้นชี้แจงทันทีว่า โดยยืนยันว่าไม่เคยเนรคุณ แต่เป็นการดัดแปลงคำตอบของหนังสือพิมพ์ ตนไม่มีวันไปตำหนิ ม.ร.ว.เสนีย์ หรอก แต่จะพูดว่าในกรณีเรื่องเขาพระวิหารนั้นเท็จจริงที่รู้คือเราแพ้เขาเรื่องแผนที่ ถ้าตนจะผิดพลาดเพียงแต่ว่าเราแพ้เพียงแต่ว่าเราไปยอมรับแผนที่เท่านั้น แต่ในหนังสือพิมพ์ไปออกมาว่ากล่าวทนายในสมัยนั้น ตนจะไปว่ากล่าวที่เป็นครูบาอาจารย์ได้ไง เพราะตนกับนายชวนเรียนสำนักเดียวกันมา รู้จักมาเหมือนกัน ไม่มีอะไรจะตำหนิติเตียนท่านได้เลย แต่ว่าเวลาโดนตำหนิติเตียนตนต้องเถียง เพราะไปเขียนว่าตนเนรคุณ ที่มีหลายอย่างที่สัมภาษณ์ออกไปแล้วไม่ได้เป็นไปตามที่ชี้แจง พูดสลึงลงบาทครบถ้วนหมด ตบแต่งใส่ข้อความให้เสร็จหมด ถ้าเราไม่อ่านก็ไม่เป็นไรแต่คนอื่นอ่านก็กลายเป็นว่าอย่างที่เป็นข่าว

ด้านนายนพดล ลุกขึ้นชี้แจงว่า ในกรณีที่มีการพูดถึงบันทึกความตกลงการปักปันเขตแดนที่มีการเซ็นระหว่างไทยกับกัมพูชาในช่วงปี 2543 นั้น เป็นความจริง เพราะตระหนักว่าไทยกับกัมพูชามีปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนที่เราใช้สั้นปันน้ำ กัมพูชาใช้แนวอื่น จึงมีปัญหาพื้นที่ทับซ้อน4.6 ตารางกิโลเมตร

ส่วนกรณีการคัดค้านเรื่องการคัดค้านการบุกรุกพื้นทีทับซ้อนของเรา ในวันที่ 10 เม.ย.ที่ไปยื่นนั้น ตนเป็นคนสั่งการเอง เพื่อปกป้องอธิปไตยและคัดค้านการบุกรุกในพื้นที่ทับซ้อนมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศไปเร่งรีบ รวบรัดตัดความไปเซ็นเอกสารให้มีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ปกป้องอธิปไตยของไทยไม่ให้เสียดินแดน โดยขึ้นเฉพาะตัวปราสาทหรือเป็นพื้นที่บ้านเท่าที่เป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ไม่มีการรุกล้ำสนามหญ้าบ้านเรา แต่ถ้าปล่อยให้ช้าออกไปจะเสียหายได้ เพราะเราเคยขอเลื่อนมาครั้งหนึ่งแล้ว

ต่อมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ลุกขึ้นซักถามว่า ตอนนี้รมว.สับสนว่าสิ่งที่แนบไปเป็นแผนที่หรือแผนผัง เพราะที่แนบไปตรงกับแผนที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ทุกประการ ไม่มีตรงไหนเลยที่ได้เขียน แสดงให้เห็นว่ายังมีปัญหาพื้นทีทับซ้อนอยู่ ไม่ใช่เฉพาะที่ขีดรอบตัวปราสาท ยังมีขอบเขตชัดเจนว่ารุกล้ำเข้ามาสู่แผนดินไทยมากน้อยแค่ไหน แต่รุกล้ำเข้ามาแน่นอน แม้วันนี้ยังไม่ได้ตกลงกัน แต่ไปตกลงในหลักการแล้วว่ากัมพูชามีสิทธิ์ที่จะมาจับทำแผนบริหารจัดการรวมในพื้นที่ที่เป็นของเรา ดังนั้นขอให้ชี้แจงว่ามติครม.คืออะไร และถ้าความตั้งใจของ ครม.ไม่ตรงกับสิ่งที่ท่านไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมจะทำอย่างไร
ยอมรับครม.เปลี่ยนคำว่าแผนที่เป็นแผนผัง

นายนพดลชี้แจงว่า สิ่งที่เป็นเอกสารที่กัมพูชาเสนอมาจะเรียกว่าเป็นแผนที่หรือแผนผังก็แล้วแต่ ได้ส่งให้กรมแผนที่ทหารตรวจสอบแล้วว่าไม่มีส่วนใดล้ำเข้ามาในพื้นที่ไทย ถ้าล้ำเข้ามาตนคงไม่เซ็นเด็ดขาดและครม.ถึงยอม ดังนั้นการที่ผู้นำฝ่ายค้านระบุว่ากัมพูชามีพื้นที่เหนือพื้นที่ทับซ้อนจึงไม่ถูกต้อง เพราะยังยืนยันว่าเรายังมีพื้นที่ทับซ้อนและประเทศไทยยังใช้สันปันน้ำ ส่วนการทำแผนบริหารและจัดการพื้นที่ทับซ้อนร่วมกับกัมพูชานั้น มีมาก่อนที่ตนจะเป็นรมว.ต่างประเทศแล้ว ไม่ใช่ท่าทีใหม่ของกระทรวงการต่างประเทศที่ทำให้เราเสียดินแดน ส่วนกรณีถามว่าจะเรียกแผนที่หรือแผนผังนั้น เป็นการเล่นคำจะใช้อะไรก็ได้ และในครม.ก็มีรัฐมนตรีบางท่านตั้งข้อสังเกต เมื่อเรามาดูแล้วมันคือแผนผัง เพราะไม่มีเส้นเขตแดนใดๆ เพื่อความสบายใจและความถูกต้อง ครม.จึงมีมติเปลี่ยนคำว่าแผนที่เป็นแผนผัง

ข้องใจ ครม.ตัดทิ้งคำว่า “อธิปไตย”

นายอภิสิทธิ์ ได้ลุกขึ้นซักต่ออีกว่า ขอให้นำเอกสารที่ท่านอ่านเมื่อสักครู่วันที่ เอกสารฉบับวันที่17 มิ.ย.ที่ผ่านมาที่เป็นเอกสารก่อนนำเข้า ครม. กรุณาอ่านย่อหน้าแรก บรรทัดแรกแล้วจะพบว่าได้ตัดคำว่า “เรื่องอธิปไตย”ออกไป เหลือเพียงแค่ว่า “รองรับคำพิพากษาศาลโลก” เนื่องจากคำพิพากษาศาลโลกพูดถึงเรื่องอธิปไตยเฉพาะตัวประสาท แต่บริเวณปราสาทเพิ่มเติมมาเป็นคำพิพากษาเกี่ยวกับการคืนโบราณวัตถุ

ขณะที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า ตามที่ได้เสนอกำหนดเขตบริเวณปราสาทเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกไปเพื่อให้นายกฯพิจารณารวม 2 วิธี เมื่อพิจารณาแล้วได้มีคำสั่งเสนอให้ครม.พิจารณา มันแปลกตรงไหน

นายอภิสิทธิ์ลุกขึ้นซักต่อว่า ขอเสนอบอกว่าให้กำหนดเขตบริเวณจะได้ทราบ “อธิปไตยของกัมพูชา” แต่มติตัดคำนี้ออกไป ตัดเป็น “บริเวณปราสาทเพื่อรองรับคำพิพากษาโลก”เท่านั้น ซึ่งรมว.ต่างประเทศชี้แจงว่าอันนี้อาจสร้างความสับสนแก่ประชาชน เรื่องนี้ประเด็นอยู่ที่ว่าประเทศไทยคืนเฉพาะตัวปราสาท ไม่คืนดินแดนใต้ตัวประสาทด้วย ทั้งหมดเราได้จากกรมแผนที่ทหาร ไม่ได้มาจากการให้กระทรวงการต่างประเทศทำขึ้นมาใหม่ มันเป็นแผนที่อันเดียวที่กรมแผนที่ทหารและกระทรวงการต่างประเทศใช้ในการปกป้องอธิปไตย ดังนั้นข้อโต้แย้งที่ระบุว่าเราคืนเฉพาะซากปราสาท มันไม่จริง

แต่นายอภิสิทธิ์ ได้ซักต่อว่า แนวเขตที่รมว.พูดคือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ ที่แปลกใจคือพูดถึงมติครม.จะอ่านหนังสือที่เสนอเข้าครม. จะใช้ถ้อยคำว่า การที่จะกำหนดบริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อที่กัมพูชาจักได้มีอำนาจอธิปไตยตามคำพิพากษาของศาลโลก ถ้ายึดตามนี้แปลว่าถ้าขีดเส้นแล้วเราพูดถึงอธิปไตยกันเลย แต่มติครม.ที่ออกวันที่ 17 มิ.ย.ได้ตัดคำนั้นออกไป จึงได้ขอให้ท่านอ่านใหม่ เมื่อตัดออกไปแล้วเขาจะเขียนว่าเป็นการกำหนดเขตบริเวณปราสาทเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก ความต่างคือคำพิพากษาของศาลโลกพูดเรื่องอธิปไตยเฉพาะปราสาท แต่เขตบริเวณปราสาทเป็นคำพิพากษาในข้อที่3 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอธิปไตย แผนที่ที่ใช้ แนวเขตที่ขีดเป็นเพื่อแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการรักษากลาง เพื่อรักษาอธิปไตยแต่ไม่ไปละเมิดศาลโลก แต่เขตแดนของเราก็ต้องนับสันปันน้ำ มีข้อยกเว้นเพียงแค่ว่าปราสาทเป็นของกัมพูชา หวังว่าท่านจะเข้าใจในเรื่องนี้ จึงขอย้ำว่าสิ่งที่ท่านดำเนินการเกิดความเสียหาย ส่วนสิ่งที่แนวไปกับแถลงการณ์ร่วมไม่ได้แนบเฉพาะแผนผังที่กำหนดบริเวณปราสาท แต่แนบไปหมดแล้วโซน 2 โซน 3 รัฐมนตรีถามว่าทำไมไม่มีเขตแดน เพราะเป็นแผนที่ที่กัมพูชายึดถือ เขตแดนตรงนี้จึงไม่มี เพราะกัมพูชาถือเป็นของเขาทั้งหมด

รมว.ต่างประเทศชี้แจงว่า ตนไม่อยากเสียดินแดน แต่ตอนหลังเมื่อจำกัดเฉพาะครึ่งหนึ่งของสามเหลี่ยมในแผนที่ ท่านจะคืนเฉพาะตัวปราสาทได้อย่างไร การตีความตามคำวินิจฉัยของศาลโลกสามารถทำได้ แต่ประเทศไทยเคยขอความชัดเจนเรื่องนี้หรือไม่ เราไม่อยากยกปราสาทให้เขา เราไม่เต็มใจ แต่หน่วยงานของรัฐในปี 2505 ได้ตัดสินคืนปราสาทและพื้นที่บริเวณนี้โดยกำหนดแนวเขตใหม่ ตรงนี้เป็นที่มาที่ทำไมแผนที่แอล 7017เราจึงตัดหรือเฉือนพื้นที่บริเวณปราสาทไปให้กัมพูชา มันเกิดเหตุการณ์นี้เมื่อปี 2505 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการไปยกพื้นดินและปราสาทให้กัมพูชา แต่ถ้าเราสงสัยถือเป็นโอกาสดีที่จะยื่นเรื่องให้ศาลโลกได้วินิจฉัยขอบเขตของคำวินิจฉัยของศาลโลก

“ศิริโชค”จับโกหก"นพดล” แจงกรณีเขาวิหารบิดเบือน 7 ประเด็น

สำหรับการอภิปรายในประเด็นเขาพระวิหารในช่วงกลางคืนวันที่ 24 มิ.ย. นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการชี้แจงกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของนายนพดล ว่า พบข้อเท็จจริงที่มีการบิดเบือนใน 7 ประเด็น คือ 1.นายนพดล พยายามชี้แจงว่ามติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ปี 2505 ถือว่าเป็นการยกดินแดนปราสาทและบริเวณโดยรอบให้กัมพูชาไปแล้วโดยอ้างเอกสารที่กระทรวงมหาดไทยได้ทำถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2505 ว่า “การที่จะกำหนดบริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อกัมพูชาจักได้มีอำนาจอธิปไตยตามคำพิพากษาของศาลโลกนั้น อาจทำได้ 2 วิธีคือ...” ซึ่งนายนพดลอ้างว่ากระทรวงมหาดไทยใช้คำว่า "อำนาจอธิปไตย" แสดงให้เห็นว่าเป็นการกำหนดเขตแดนให้กัมพูชานั้น ความเป็นจริง นายนพดลจงใจอ้างเอกสารข้อเสนอเข้าสู่ครม. ทั้งที่มติครม.ไม่ได้ออกมาแบบนั้น แต่กลับตัดคำว่า"อำนาจอธิปไตย"ออกและเปลี่ยนเป็น“การกำหนดเขตบริเวณปราสาทพระวิหาร" เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก จึงเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดว่าจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของการออกมติ ครม.ปี 2505 เพื่อต้องการให้เป็นแนวปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายไทย ไม่ใช่เป็นแนวเขตแดนไทย ยิ่งไปกว่านั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ามติครม.ไม่สามารถกำหนดเขตแดนได้ ดังนั้น การขึ้นทะเบียนปราสาทตามที่กัมพูชาเสนอจึงเป็นการสูญเสียพื้นที่ แม้จะอยู่ในแนวเขตตามมติ ค.ร.ม. ปี 2505

ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า 2.นายนพดลพยายามอ้างถึงหน่วยราชการต่างๆรวมถึงกรมแผนที่ทหารว่าใช้แนวเขตตามมติ ครม.ปี 2505 มาตลอด แต่ในข้อเท็จจริง ไทยยังยึดตามแนวสันปันน้ำที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อปี 2447 ยกเว้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกมีคำตัดสินยกให้แก่กัมพูชาด้วยเหตุผลทางภูมิประเทศ โดยคำตัดสินของศาลโลกไม่ได้ชี้แนวเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ แต่บอกให้ถอนกำลังฝ่ายไทยออกจากปราสาทพระวิหาร ซึ่งไม่บอกว่าให้ถอนกำลังไปยังจุดใด ครม.ปี 2505 จึงออกมติเพื่อกำหนดจุดรักษาการณ์สำหรับกำลังฝ่ายไทยและเหตุที่ไม่สามารถลากเส้นแนวปฏิบัติหน้าที่ไปตามตัวปราสาทพระวิหาร แต่ต้องกำหนดจุดรักษาการณ์ที่กินเนื้อที่มากไปกว่าคำพิพากษาของศาลโลก เพราะในทิศตะวันออก มีทางขึ้นจากฝั่งกัมพูชา ที่เรียกว่า “บรรไดหัก” จึงต้องลากแนวเส้นปฏิบัติหน้าที่“ไปจาก ปีกขวาของตัวปราสาทพระวิหารตั้งแต่ช่องบรรไดหัก ลากเส้นตรงผ่านชิดบรรไดนาคตรงไปจนถึงตัวปราสาทพระวิหาร”

นายศิริโชค กล่าวว่า 3.การที่นายนพดลอ้างว่าไม่มีส่วนใดที่กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้วรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยนั้นไม่เป็นความจริง เพราะมติครม.ปี 2505 หมายถึงเส้นแนวปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายไทย 4.นายนพดลอ้างว่าแถลงการณ์ร่วมที่ไปลงนามกับกัมพูชาไม่มีข้อความใดที่กล่าวถึงการสละสิทธิที่ไทยได้สงวนไว้หรือการกล่าวอ้างถึงธรรมนูญของมรดกโลกนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผลเป็นการสละสิทธิ 5.นายนพดลอ้างว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่กำจัดเฉพาะตัวปราสาทไม่กระทบต่ออธิปไตยนั้น เป็นการจงใจไม่พูดถึงพื้นที่อนุรักษ์(บัฟเฟอร์โซน) ซึ่งตามแผนที่แนบท้ายแถลงการณ์ร่วมไม่ได้ระบุขอบเขต แต่ก้าวล่วงเข้ามาในเขตแดนไทยที่กำหนดโดยสันปันน้ำอย่างชัดเจน และยังระบุให้อำนาจการจัดทำแผนการบริหารจัดการในพื้นที่นี้เป็นของกัมพูชาส่วนหนึ่งด้วย 6.การที่นายนพดลอ้างว่าถ้าไม่ดำเนินการอย่างเร่งรีบ กัมพูชาจะสามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้สำเร็จ โดยอาจมีการแนบแผนที่ที่ล้ำเขตแดนไทย แต่ที่จริง ถ้าฝ่ายไทยไม่สนับสนุนการดำเนินการของกัมพูชาอย่างชัดแจ้ง มีโอกาสสูงที่กัมพูชาจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะจะขัดต่อเจตนารมณ์ของมติการประชุมกรรมการมรดกโลกที่ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อปี 2550 และถ้ากัมพูชาดำเนินการได้สำเร็จ ไทยก็สามารถประท้วงได้ เพราะไม่เคยยอมรับการกระทำของกัมพูชา

7.การที่ครม.มีการปรึกษาเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมาในการเปลี่ยนคำว่า"แผนที่"เป็น"แผนผัง" ชี้ชัดเจนว่าครม.เห็นความผิดพลาดในการดำเนินการทั้งหมด เพราะแผนที่หรือแผนผังที่แนบท้ายแถลงการณ์ร่วมไทยกับกัมพูชา ทำให้ผู้เห็นเข้าใจว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นของกัมพูชา เนื่องจาก แผนที่หรือแผนผังนี้สอดคล้องกับแผนที่ที่กัมพูชาใช้อ้างเขตแดนมาตลอด อีกทั้ง การทบทวนถ้อยคำดังกล่าวในมติ ครม.ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำว่า "map"ในแถลงการณ์ร่วมได้ และเอกสารแนบในแถลงการณ์ร่วมมีเลขพิกัด เส้นรุ้งเส้นแวง เส้นความลาดชัน ทิศ และมาตราส่วน ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่าเอกสารนี้เป็นแผนที่ ไม่ใช่แผนผัง ดังนั้นเห็นได้ว่าครม.เป็นห่วงเรื่องดังกล่าว จึงเปลี่ยนถ้อยคำจาก"แผนที่"มาเป็น"แผนผัง" แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะมีอยู่ทางเดียวคือรัฐบาลยกเลิกสนับสนุนให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก






ชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์


กำลังโหลดความคิดเห็น