พันธมิตรฯมอบหมายทนายยื่นฟ้อง สตช.ต่อศาลปกครอง หยุดใช้เครื่องขยายเสียงเปิดเพลงก่อกวน การใช้สิทธิของ ปชช.ตาม รธน.พร้อมขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวด้วย ย้ำ ตร.ส่อเจตนาต้องการยั่วยุกลุ่มผู้ชุมนุม อาจนำไปสู่ความรุนแรง และอาจเป็นข้ออ้างใช้กำลังในการสลายการชุมชุมได้
วันนี้ (19 มิ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวก รวม 5 คน ได้มอบหมายให้ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ต่อศาลปกครองกลางขอให้มีคำสั่ง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ผบ.ตร.หยุดกระทำการเปิดเพลงหรืออื่นใดผ่านเครื่องขยายเสียง ณ บริเวณการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นการรบกวนการใช้สิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ เหตุผลที่ขอให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าว ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้อำนาจหน้าที่เกินสมควร กระทำการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ใช้ดุลพินิจไม่เหมาะสมถูกต้องตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ไม่ยึดถือปฏิบัติตาม พ.ร.ฎ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริการ กิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ทั้งยังขัดต่อบทบัญญัติต่อรัฐธรรมนูญ 50 ส่งผลให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ได้รับผลกระทบโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จากการกระทำดังกล่าว เพราะประชาชนทั่วไปใช้สิทธิการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เพื่อเรียกร้องการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้ารัฐ
หลังปรากฏข้อเท็จจริง ว่า ส.ส.พรรคพลังประชาชน ส่วนใหญ่มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ผ่านการลงประชามติของประชาชนเกินกว่า 14 ล้านเสียง จนนำมาสู่การถกเถียงของประชาชน ว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ ประกอบกับการแก้ไขดังกล่าวยังอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม หน่วยงาน องค์กรที่กำลังตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ
อีกทั้งการบริหารบ้านเมืองของ ครม.ยังเป็นที่น่าสงสัยในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศ ไม่สนใจการแก้ไขปัญหาข้าวยากหมากแพง จึงเป็นที่มาของการใช้สิทธิในการชุมนุมอย่างสงบเรื่อยมา ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไร
แต่ปรากฏว่า ช่วงค่ำระหว่างวันที่ 17-18 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มารักษาการบริเวณสะพานมัฆวาน และตั้งกองกำลังอยู่ห่างจากเวทีของผู้ชุมนุมประมาณ 10 เมตร ได้กระทำการละเมิดโดยนำรถยนต์ติดเครื่องขยายเสียง หันลำโพงมายังด้านเวที แล้วเปิดเพลงปลุกใจผ่านเครื่องขยายเสียงด้วยเสียงที่ดังมาก แม้ผู้ชุมนุมบางคนได้พยายามเจรจาขอให้ยุติแต่ก็ไม่เป็นผล
จึงเห็นว่า การกระทำดังกล่าวทั้งหมดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยการบังคับบัญชาของ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อภารหน้าที่ของตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและอำนวยความสะดกวกประชาชน เพราะสิ่งที่จะทำกลับกลายเป็นสร้างเหตุและขัดขวาง ก่อกวนการใช้สิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และยังแสดงให้เห็นถึงเจตนาต้องการยั่วยุกลุ่มผู้ชุมนุมให้เกิดความกดดัน ไม่พอใจการทำหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งเล็งผลอย่างชัดแจ้งว่าการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ ทั้งอาจหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการใช้กำลังในการสลายการชุมชุมได้ จึงถือได้ว่าจงใจเจตนากระทำการให้เกิดความรุนแรง ขัดขวางการใช้สิทธิของประชาชน
ถือเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการทำละเมิด หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ อันเกิดจาการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามมาตรา 9(3) พ.ร.บ.จัดตั้ง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 จึงขอให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม คำฟ้องยังขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ผบ.ตร.หยุดกระทำการเปิดเพลง หรืออื่นใดผ่านเครื่องขยายเสียง ณ บริเวณการชุมนุมไว้ก่อน จนกว่าศาลมีจะคำพิพากษา หรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น