xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละ 2 กกต.ทาสแม้ว ฟ้อง"เหลิม"สั่งปิด ASTV วันนี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - พันธมิตรฯหลายหมื่นบุก กกต.ยื่น 4 ข้อเรียกร้อง พร้อมมอบดอกกุหลาบให้กำลังใจ “อภิชาต-ประพันธ์-สุเมธ” แจกพวงหรีด ดอกไม้จันทน์ไล่ “สมชัย-สดศรี” ด้าน กกต.รู้แกวแว่บเดินสายต่างจังหวัด “สุทธิพล” ระบุตั้ง กก.รื้อ 700 สำนวนคัดค้านเลือกตั้ง ส.ส.ยาก ด้าน “กำนันชัยวัฒน์” ขึ้นเวทีพันธมิตรฯประกาศสู้ตายเพื่อชาติ สมาคมสื่อออกแถลงการณ์จี้ตำรวจเร่งหาตัวมือปาระเบิดผู้จัดการ “ทนายกู้ชาติ” ยื่นฟ้องศาลปกครอง “เฉลิม” ออกคำสั่งข่มขู่เคเบิลทีวีไม่ให้ ถ่ายทอดสด ASTVมิชอบ “มท.1”ยันไม่ถอยสั่งผู้ว่าฯ ฟันต่อ ระบุละเมิดอำนาจรัฐ ปราศรัยผิดกม.ต้องดำเนินคดี

วานนี้ ( 16 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เดินทางพร้อมผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนมายังสำนักงาน คคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยได้นัดรวมตัวบริเวณหน้า สนามศุภชลาศัย และเคลื่อนขบวนผ่านถ.พระราม 1 ทำให้ต้องมีการปิดช่องจราจรตั้งแต่แยก ห้างสรรพสินค้ามาบุญครองถึงสะพานยศเส1 ช่องจราจร โดยเมื่อเดินทาง ถึงบริเวณ หน้าสำนักงาน กกต. ด้วยจำนวนของผู้ชุมนุมทำให้ต้องมีการปิดถนนบริเวณหน้าสำนักงาน กกต.ทั้งหมดตั้งแต่แยกเจริญผล ถึงหน้าสะพานยศเส ซึ่งทางตำรวจนครบาล นำโดย พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 300 นายมาคอยรักษาความเรียบร้อย พร้อมกับจัดตั้งแผงเหล็กกั้นบริเวณโดยรอบสำนักงาน กกต.ทั้งหมด

ทั้งนี้แกนนำพันธมิตร ฯได้ใช้รถบรรทุกหกล้อที่ดัดแปลงเป็นเวทีปราศรัย พร้อมติดตั้งเครื่องขยายเสียงในการสลับสับเปลี่ยนกันปราศรัยทั้งให้กำลังใจ กกต. 3 คน คือ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. นายสุเมธ อุปนิสากร และนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. โดยผู้ชุมนุมได้มีการนำดอกกุหลาบสีแดงและสีเหลืองมามอบขณะเดียวกันก็โจมตีการทำงานของ 2 กกต. คือ นายสมชัย จึงประเสริฐ และนางสดศรี สัตยธรรม โดยนำพวงหรีดและดอกไม้จันทน์มามอบให้ ทั้งนี้ตลอดการชุมนุม เมื่อแกนนำฯปราศรัยชื่นชมการทำหน้าที่ของกกต. 3 คน ก็จะมีเสียงปราบมือจากผู้ชุมนุม และเมื่อมีการพูดโจมตีการทำหน้าที่ของนายสมชัยและนางสดศรีก็จะมีเสียงโห่ร้อง ขับไล่ จากผู้ชุมนุมเช่นเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปราศรัยฯของแกนนำพันธมิตรนั้น ได้มุ่งเน้นประเด็นให้ กกต.ตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นตรวจสอบสำนวนร้องคัดค้านการทุจริตเลือกตั้งกว่า 700 สำนวนที่กกต.มีมติยกคำร้องไป โดยเชื่อว่าหากมีการดำเนินการจะทำให้พรรคพลังประชาชนมี ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งไม่ถึง 150 คน และตรวจสอบกรณี การปลอมแปลงเอกสารที่แสดงต่อศาลฎีกาฯ ถึงการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ของนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานปากคำสำคัญในคดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน

**แฉเครื่องเพชรบรรณาการกกต.บางคน
นายสนธิปราศรัยตอนหนึ่งว่า การเดินทางมาชุมนุมวันนี้ได้แสดงให้เห็น เจตนารมณ์ของเราต่อการทำงานของ กกต. เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเมืองภาคประชาชนที่ไม่ใช่แค่การยกมือในสภา เพราะการเมืองในสภาได้มาจากการซื้อเสียง และก็มาซื้อ กกต. ซึ่งมีข้อมูลว่าก่อนหน้านี้มีการนัดพบ กกต.บางคนที่รร.เรดิสัน จากนั้นก็มีการส่งเครื่องเพชร ไปบรรณาการให้กับ กกต.บางคนถึงที่บ้าน

สำหรับกรณีการปลอมเอกสารที่จะใช้สู้คดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ของ พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ.เชียงใหม่ พนักงานสอบสวนของกกต.นั้น พ.ต.ท.กฤษณ์ เคยเป็นตำรวจท่องเที่ยว และเคยติดตามนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม มาก่อน โดยตนขอสาบาน ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะตามเช็คบิล พ.ต.ท.กฤษณ์ และทนายฝ่ายนายยงยุทธ ติยะไพรัช รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ไม่สุจริต จนกว่าจะตาย และเช็คบิล กกต. ที่ไม่เป็นกลาง กลั่นกรอง ให้ได้คนที่ไม่สุจริต เป็นหุ่นเชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปบริหารบ้านเมือง อย่างนายสมัคร สุนทรเวช และนายชัย ชิดชอบ

จากนั้นนายสมศักดิ์ได้ขอให้ผู้ชุมนุมยืนสงบนิ่งนานครึ่งนาที เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับ กกต.บางคนที่ไปร่วมมือกับระบบทักษิณ

**ฉะกกต.บางคนต้นเหตุก่อวิกฤติ
ต่อมานายสนธิได้อ่านแถลงการณ์เรื่อง “ประเมินผลการทำงานของ กกต.” สรุปว่า กกต.เป็นองค์กรอิสระเพื่อทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม แต่ภายหลังการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550 ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การเลือกตั้งไม่สุจริตมีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งซึ่งขยายตัวเป็นวงกว้าง โดยที่ กกต.บางคนไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะนำผู้กระทำความผิดและพรรคการเมืองที่กระทำความผิดมาลงโทษได้ทันท่วงที และหนำซ้ำกรรมการ กกต.บางคนถึงขั้นมีพฤติกรรม แอบแฝงด้วยวาระซ่อนเร้น ในการปกป้องระบอบทักษิณอย่างชัดเจน เป็นผลทำให้มีการ ยกคำร้องการทุจริตการเลือกตั้งกว่า 700 กรณีภายในระยะเวลาเพียงแค่ 10 วัน

จากการปกป้องระบอบทักษิณดังกล่าวได้เป็นผลทำให้เกิดวิกฤตของบ้านเมือง ขึ้นมาอีกครั้ง จนเกิดปรากฏการณ์ที่มีนักการเมืองที่เข้าสู่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจำนวนมากที่ ไร้ความสามารถ ไร้จริยธรรม มีประวัติด่างพร้อย มีพฤติกรรม เป็นอันธพาล มีพฤติกรรมฉ้อฉล แทรกซึม แทรกแซง และแทรกซื้อกระบวนการยุติธรรม จนถึงขั้นคิดจะล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อตัดตอนกระบวนการยุติธรรมให้ตัวเองและพวกพ้องไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองในการพิจารณาในชั้นศาล

นอกจากนี้ได้ปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ กกต.ได้บังอาจส่งเอกสาร และข้อมูลอันเป็นเท็จต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อช่วยเหลือในคดีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน โดยส่งข้อมูลอันเป็นเท็จว่านายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ ซึ่งเป็นพยานสำคัญนั้น เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียวตั้งแต่ปี 2547 ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ได้ปรากฏหลักฐานต่อมาว่านายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยตั้งแต่ปี 2548 อีกด้วย

**จี้ตั้งกก.อิสระสางคำร้อง700สำนวน
การกระทำดังกล่าวที่เหิมเกริม อุกอาจเช่นนี้ย่อมเป็นการพิสูจน์แสดงให้เห็นว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาทั้งหมดไม่สามารถเป็นที่ไว้วางใจในความสุจริตเที่ยงธรรมได้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงขอประกาศจุดยืนต่อ กกต. ดังนี้

1.พันธมิตรฯขอให้กำลังใจและยกย่อง กกต. 3 คน ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ยอมสยบต่ออำนาจอธรรม ไม่ยอมถูกซื้อด้วยอามิสสินจ้างใดๆ

2. ขอเรียกร้องให้ นายสมชัย ในฐานะเป็น กกต.ผู้มีพฤติกรรมเป็นอคติ แสดงออกเข้าข้างพรรคพลังประชาชนในทุกกรณี แต่อยู่ในฐานะที่กำกับดูแลเรื่อง ฝ่ายสืบสวนสอบสวนที่บังอาจนำเสนอหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาลฎีกานั้น ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทันที


3.ขอเรียกร้องต่อนายอภิชาต ชำระสะสางปัญหาในฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต. ที่ได้นำเสนอหลักฐานและเอกสารอันเป็นเท็จ ได้สร้างมลทินให้กับ กกต.จนประชาชนไม่สามารถไว้วางใจการยกคำร้องกว่า 700 กรณีก่อนหน้านี้ได้ จึงขอให้ กกต. ได้แต่งตั้งบุคคลภายนอกที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนให้มาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบอิสระในการยกคำร้องการทุจริตการเลือกตั้งกว่า 700 กรณีโดยเร็ว

4.เนื่องจากผู้แทนของ กกต.ที่ฟ้องร้องต่อศาลฎีกาในคดีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ไม่ได้แสดงออกในการต่อสู้คดีดังกล่าวอย่างสุดความสามารถจนทำให้เกิดความสงสัยว่าจะเป็นการสมยอม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพรรคพลังประชาชนหรือไม่

**”ชัยวัฒน์”ย้ำไม่เคยเป็นสมาชิกปชป.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าขณะที่มีการชุมนุมนั้น นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานปากสำคัญในคดีถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ ได้เดินทางมาที่กกต. พร้อม พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ เพื่อติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบ การเป็นสมาชิก พรรคการเมืองตามที่ได้ยื่นหนังสือไว้ก่อนหน้านี้

โดยภายหลังการเข้าพบ ร.ต.มนูญ วิเชียรนิตย์ ผอ.ฝ่ายวินัย นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ได้รับหนังสือแจ้งให้มาให้ข้อมูลกับคณะกรรมการตรวจสอบที่กกต.ตั้งขึ้นในวันที่ 18 มิ.ย. เวลา 10.00 น. แต่ขอยืนยันว่าที่ผ่านมาตนไม่เคยสมัครเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ เพราะคนทางภาคเหนือไม่มีใครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว ที่มีระบุว่าตนเป็นสมาชิกพรรค ตั้งแต่ปี 47 นั้นช่วงปีดังกล่าวตนก็เป็น สมาชิกพรรคไทยรักไทยแล้ว และที่มีเอกสารระบุว่าภรรยาและบุตรก็เป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์นั้น มีข้อน่าสังเกตว่า ครอบครัวตนมี 4 คน แต่กลับมีคนในครอบครัวแค่ 3 คนที่ถูกระบุว่าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยลูกสะใภ้กลับไปมีชื่อเป็น สมาชิกพรรคไทยรักไทย และขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการยื่นหนังสือถึงพรรคประชาธิปัตย์ขอให้แสดงหลักฐานการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของตน

**ตั้งคนถูกร้องแก้ฐานข้อมูลเป็นปธ.สอบ
ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนชุดดังกล่าวมีนายปกครอง สุทธิสนธิ ผู้ตรวจการ กกต.เป็นประธาน มีนายสุเทพ พรหมวาศ เป็นกรรมการ ร.ต.มนูณ วิเชียรนิตย์ เป็นกรรมการและเลขานุการฯ ซึ่งจะทำการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมด ทั้งเรื่องที่มีการกล่าวหาว่ามีการปลอมแปลงเอกสาร และการตรวจสอบการเป็นสมาชิก พรรคการเมืองของนายชัยวัฒน์

สำหรับนายปกครองนั้นเคยถูกร้องเรียนจากพรรคประชาธิปัตย์ ใน กกต. ชุดที่แล้วว่าขณะที่เป็นรองเลขาธิการ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองได้ปล่อยละเลยให้มีการแก้ไขฐานข้อมูลพรรคการเมืองเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกพรรค จนเกิดคดีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้งจนนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทยในเวลาต่อมา และเมื่อ กกต.ชุดปัจจุบันเข้ารับตำแหน่งก็ได้ย้ายนายปกครอง จากรองเลขาธิการ กกต.มาเป็นผู้ตรวจการจนถึงปัจจุบัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังออกจากสำนักงาน กกต. นายชัยวัฒน์ ยังได้ขึ้นปราศรัยกับร่วมกับพันธมิตรที่ชุมนุมหน้าสำนักงานกกต.ด้วย โดยนายชัยวัฒน์ ปราศรัยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาตนได้ต่อสู้ อย่างโดดเดี่ยวมากว่า 5 เดือน เพื่อที่จะเป็นพยานให้กับ กกต.ต้องเผชิญกับการข่มขู่ ทุกรูปแบบ แต่วันนี้มีพันธมิตรฯ เป็นกำลังใจ และขอยืนยันต่อหน้าผู้ชุมนุมว่าแม้จะตายไปก็ขอให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ท่ามกลางเสียงกลุ่มผู้ชุมนุมตะโกนให้กำลังใจ “กำนันชัยวัฒน์ สู้ๆ”

ทั้งนี้คดีใบแดงนายยงยุทธ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 8 ก.ค.นี้

**5 กกต.ออกต่างจังหวัดหนีพันธมิตรฯ
สำหรับบรรยากาศภายในสำนักงานกกต.นั้น ปรากฏว่า ไม่มีกกต.คนใด เดินทาง เข้ามาทำงานในสำนักงานฯ โดยนายอภิชาต แจ้งว่ามีภารกิจเดินทางไป ป็นประธานเปิดหมู่บ้านปลอดการซื้อสิทธิขายเสียง ที่บ้านเนินพยอม ต.หนองตางู อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ นางสดศรี สัตยธรรม เดินทางไปเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ในหัวข้อ “การจัดทำฐานข้อมูลพรรคการเมือง” ที่วิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

ส่วนนายสมชัย จึงประเสริฐ เดินทางไปตรวจเยี่ยมและบรรยายสรุปเรื่อง การเตรียมพร้อมการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ สำนักงานกกต.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ขณะที่กกต.อีก 2 คน คือ นายประพันธ์ นัยโกวิท และนายสุเมธ อุปนิสากร แม้จะมีการแจ้งว่า จะเดินทางเข้าสำนักงานในช่วงบ่าย แต่สุดท้ายก็ระบุว่าติดภารกิจภายนอก ทำให้เหลือเพียง นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. ที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น

ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ได้ให้สัมภาษณ์ ทางโทรศัพท์ว่า ขอเลื่อนการชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาเดินทางไปพบกับนายจาตุรนต์ ฉายแสงที่ประเทศจีน ในเดือนเม.ย. มาเป็นวันนี้ ( 17 ) โดยจะนำหนังสือเดินทางมาแสดง เพราะวานนี้ ( 16 มิ.ย.) ตนติดภารกิจประชุมที่จ.ชลบุรี อย่างไรก็ตามนางสดศรี ยังได้แสดงความห่วงใยต่อการชุมนุมที่หน้าสำนักงานกกต. โดยสอบถามผู้สื่อข่าวว่า มีการปะทะกับกลุ่มต่อต้านพันธมิตรหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะมีม็อบชนม็อบ

**อ้างรื้อ700สำนวนป่วนแน่
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต.กล่าวถึงการชุมนุมว่าได้แจ้งให้ประธานกกต.ทราบแล้ว และบอกว่าให้หนักแน่นเข้าไว้ ซึ่งตนจะสรุปข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯ และนำเข้าที่ประชุมกกต.เพื่อทราบในวันนี้ ( 17 มิ.ย.) แต่ขอชี้แจงว่ากรณีที่ กล่าวหาว่ากกต.ยกคำร้องทุจริตเลือกตั้งส.ส.กว่า 700 สำนวนนั้นไม่เป็นความจริง คิดว่ากลุ่มพันธมิตรฯคงรวมเรื่องร้องคัดค้านท้องถิ่นเข้าไปด้วย เนื่องจากสำนวนร้องคัดค้านการเลือกตั้งส.ส.มีเพียง 600 กว่าสำนวนเท่านั้น และกกต.มีมีติไปแค่ 200 กว่าสำนวนเท่านั้น

อย่างไรก็ตามที่กลุ่มพันธมิตรฯต้องการให้ตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบสำนวนที่ยกคำร้องไปนั้นก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมกกต.ว่าจะเห็นอย่างไร

“เรื่องนี้อยู่ที่ดุลพินิจของ กกต. เพราะสำนวนต่างๆ ที่มีมติไปแล้วก็ถือว่าสิ้นสุด และการที่ยกสำนวนคำร้องคัดค้าน ก็ไม่ได้มีแค่พรรคพลังประชาชน ดังนั้น หากจะไปรื้อฟื้นให้มีการพิจารณาใหม่ อาจทำให้ฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามเรียกร้องให้รื้อสำนวน ที่มีการรับรอง ส.ส.ไปแล้วกลับขึ้นมาอีกก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนี้จะทำให้เกิดผลกระทบมาก ขณะนี้ประเทศได้มีประชาธิปไตยเต็มใบแล้ว ถ้าการทำงานของเจ้าหน้าที่ กกต. มีการทุจริตต่อหน้าที่ เราก็ต้องดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่หากเป็นความ บกพร่องเราก็ตักเตือน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าไม่มีใครมาสั่ง กกต.ได้ เพราะ กกต. ไม่ได้ทำงานตามใบสั่งของใคร แม้แต่ คมช.ก็ยังสั่งไม่ได้เลย ดังนั้น พันธมิตรณก็มาสั่ง กกต.ไม่ได้เช่นกัน”

ส่วนการมาของกลุ่มพันธมิตรฯจะกระทบภาพลักษณ์ความเป็นกลางของกกต. หรือไม่นั้น นายสุทธิพล กล่าวยืนยันว่า การทำงานของ กกต.ทำหน้าที่อย่างรอบคอบ แม้พันธมิตรฯจะมาชุมนุม และที่มาก็ไม่ใช่ม็อบแรก ดังนั้น สิ่งที่ยืนหยัดอยู่ได้ก็คือ ทำหน้าที่ให้เป็นกลาง ปฏิบัติตามกรอบกฎหมายโดยไม่อยู่ฝ่ายใด ถ้าประชาชน เห็นการทำหน้าที่ของ กกต.ก็คิดว่าประชาชนจะเข้าใจ และจะเห็นว่า กกต.ทั้ง 5 คน เข้าใจการทำงาน แม้การพิจารณาบางเรื่องอาจไม่ถูกใจคน 100 % ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ขณะนี้การทำงานของ กกต.หันทางไหนก็มีแต่ปัญหา ซ้ายก็เจอพันธมิตรฯ หันข้างขวาก็เจอรัฐบาล ก้มลงข้างล่างก็เจอพนักงาน แม้เราจะไม่ท้อ แต่ก็น้อยใจ เพราะ กกต.ทำงานหนักแต่เจอแบบนี้เราก็ต้องหนักแน่น และสามัคคี

**เลื่อนบุกบัวแก้วเป็นวันที่ 18มิ.ย.
ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ พร้อมด้วย นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ร่วมกันแถลงข่าวโดยนายสุริยะใส กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นความสำเร็จของการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในยุทธศาสตร์ดาวกระจายที่มีประชาชนหลายหมื่นมาเข้าร่วมชุมนุมเพื่อให้กำลังใจ กกต. บางส่วน และเรียกร้องให้ กกต.บางส่วนทบทวนบทบาทการทำหน้าที่ อาทิ กรณีนายสมชัย จึงประเสริฐ ที่พบว่ามีการทำหน้าที่กระทบกระเทือนการให้ใบเหลือง และใบแดงของ สมาชิกพรรคพลังประชาชน อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯ เรียกร้องให้ กกต.เร่งแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อพิจารณาสำนวนคดีเลือกตั้ง 700 กว่าสำนวนให้แล้วเสร็จ เพราะอาจมีผลต่อผู้รับสมัครเลือกตั้งบางคนที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ซึ่งอาจจะเสียสิทธิดังกล่าวจากการวินิจฉัยในครั้งนี้

ทั้งนี้ กำหนดการที่พันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวไปที่กระทรวงการต่างประเทศ ตามยุทธศาสตร์ดาวกระจายในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ อาจจะต้องเลื่อนไปวันที่ 18 มิ.ย.51 เนื่องจาก นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมของสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)

นายสุริยะใสยังตั้งข้อสังเกตถึงการเข้าร่วมประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ของนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศว่า การประชุมครั้งนี้ไม่มีการแจกแจงรายละเอียดของแผนที่เขตพัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา ให้ที่ประชุมรับทราบเป็นเพียงการมอบนโยบายให้แก่ที่ประชุม สมช.เท่านั้น จึงเกรงว่าจะมีการลักไก่นำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม.ในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ โดยที่ไม่ได้ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุม สมช.

ผู้สื่อข่าวถามถึงการประชุม สรส.ในวันนี้ (17 มิ.ย.) ว่าจะมีข้อสรุปอย่างไร นายสุริยะใส กล่าวว่า ต้องรอให้ที่ประชุมผู้ใช้แรงงาน ผู้นำสหภาพแรงงานทั้ง 43 แห่ง ซึ่งเป็นองค์กรสมาชิกของ สรส.ได้ประชุมหารือกันก่อนทางพันธมิตรฯ จะไม่มีการชี้นำไปก่อน การเข้าร่วมประชุมของแกนนำพันธมิตรฯ อย่างนายสมศักดิ์ก็เป็นเพียงที่ปรึกษา สรส.เท่านั้น

**ทนายกู้ชาติฟ้องศาลปกครองวันนี้
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า ในวันนี้ (17 มิ.ย.) นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกู้ชาติ จะเข้ายื่นฟ้องต่อศาลปกครอง กรณีคำสั่งของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยจะอ้างอิงจากบรรทัดฐานของคดีความ ก่อนหน้านี้ ที่ถึงแม้จะไม่มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร ใช้คำสั่งเพียงวาจานั้นก็ถือเป็นการสั่งการโดยไม่ชอบ

ทั้งนี้เพราะการที่ รมว.มหาดไทย กล่าวเช่นนั้นถือเป็นการให้นโยบายในการ เซ็นเซอร์จนเกรงว่าจะลามไปถึงฟรีทีวี ซึ่งในวันนี้องค์กรมีเดียมอนิเตอร์ ได้เปิดเผยรายงานแล้วพบว่า เนื้อหาที่มีการนำเสนอส่วนใหญ่ในรอบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาถึงกรณีของการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ในสื่อฟรีทีวีทั่วไปมักจะเอาคำสัมภาษณ์คำแถลงของนายกรัฐมนตรีมาขยายความ แต่ไม่ได้เจาะลึกถึงที่มาที่ไปและเหตุผลการชุมนุมของพันธมิตรฯ

**เชื่อคนรัฐบาลปาระเบิดขู่
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวถึงเหตุระเบิดใส่สำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการว่า เป็นการส่งสัญญาณข่มขู่ ซึ่งคาดว่าคนที่ทำน่าจะเป็นคนจากรัฐบาลมากกว่า ไม่น่าจะเป็นคนทั่วไป เนื่องจากระบบรักษาความปลอดภัยของสำนักงานบ้านพระอาทิตย์ มีการดูแลอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ เชื่อว่าการกระทำดังกล่าวอาจมีความต้องการที่จะนำไปสู่การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ความมั่นคง แต่เชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุม

** องค์กรสื่อจี้เร่งหาตัวมือระเบิด
วันเดียวกัน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ร่วมองค์กรวิชาชีพประณามการขว้างระเบิดใส่สำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ความว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่อุกอาจ มุ่งหวังข่มขู่การทำหน้าที่ของ สื่อมวลชน นับเป็นการท้าทายต่ออำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการที่จะให้ความคุ้มครองและพิทักษ์สันติสุขของประชาชน จึงขอเรียกร้องต่อผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนต่อไป

รวมทั้งให้มีการแถลงผลความคืบหน้าของคดีต่อสาธารณชนโดยเร็ว ซึ่งนอกจากเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในสิทธิเสรีภาพให้กับสื่อมวลชนที่ถูกคุกคามดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและสังคมไทยอีกด้วย เพราะการคุกคามสื่อคือการคุกคามประชาชนนั่นเอง

**มท.1ขู่ถ่ายทอดASTVผิดกม.ฟัน
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย แถลงว่า จากการที่ตนได้มีนโยบาย ให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด ตรวจสอบการเผยแพร่ภาพและข่าว ของสถานีโทรทัศน์ ASTV และเคเบิลทีวีนั้น การปราศรัยของพันธมิตรฯ สามารถทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย การถ่ายทอดสดของ ASTV สามารถทำได้เพราะศาลปกครองให้ความคุ้มครองอยู่ แต่ถ้าปราศรัยผิดกฎหมายต้องดำเนินการ

“ผมขอย้ำชัดว่าการถ่ายทอดของ ASTV และเคเบิลทีวีถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่า เป็นการถ่ายทอดเอาข้อความที่ผิดกฎหมายจากเวทีของพันธมิตรฯ ไม่ว่าจะเป็นบทบัญญัติกฎหมายใดก็ตาม และมีโทษจำคุกเกิน 6 เดือนขึ้นไป นั้นมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2505 รวม 51 ปี แต่ที่ไม่ได้เอามาบังคับใช้เป็นมาตรการของพนักงานสอบสวน เพราะตั้งแต่มีประเทศไทย ไม่เคยมีกลุ่มไหนที่ทำการชุมนุมแล้วด่าบนเวทีหยาบคายผิดกฎหมาย และไม่มีสถานีโทรทัศน์ช่องใดในประเทศไทยเคยถ่ายทอดถ้อยคำที่ผิดกฎหมาย เหมือนที่เกิดขึ้นในเวลานี้”

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การถ่ายทอดทำได้ ไปปิดเขาไม่ได้ และตนไม่เคยพูดเรื่อง สั่งปิดเคเบิลทีวี หรือปิดASTVเพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ แต่ตนจะเล่นงานหนักกว่าการปิด ASVT หรือเคเบิลทีวี คือต้องจับเข้าคุกเพราะละเมิดอำนาจรัฐ ซึ่งอำนาจในการสั่งปิดก็อยู่ที่ศาลจะพิจารณา โดยตนมอบหมายให้ผู้ว่าฯ ไปศึกษาข้อกฎหมายให้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับเคเบิลทีวีที่ไปแพร่ภาพและเป็นคำพูดที่ก่อให้เกิดความผิดตามกฎหมายที่มีอยู่

“ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่ถ่ายทอดสดผมไม่ได้ข่มขู่ เคเบิลทีวีผมไม่ได้มารังแกท่าน แต่อยากจะบอกว่างานนี้เดินหน้าสุดตัว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เพราะรัฐบาลไม่ใช่รัฐบาลป่าเถื่อน หรือ ถ่อย ไม่ใช้อำนาจมืด แต่เราใช้อำนาจตามกฎหมาย ที่มีอยู่ วันนี้ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีตกใจ เขาไม่รู้มาก่อนว่าความผิดตามกฎหมาย อาญามาตรา 85 มันมี เหตุที่ไม่รู้มาก่อน เพราะนับแต่ใช้กฎหมายมันไม่มีใครกำเริบเสิบสานเหมือนกับกลุ่มพันธมิตรฯ”

**”เป็ดเหลิม”ท้าปชป.ยื่นซักฟอก
ผู้สื่อข่าวถามว่าฝ่ายค้านเตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเกรงจะนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนจะส่งกระเช้าดอกไม้ และกระเช้าผลไม้ใหญ่ๆ ไปให้พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเป็นการขอบคุณ และขอให้ใส่ชื่อตนลงไป ในการอภิปรายด้วย เพราะตนกลัวไม่เอาเรื่องนี้มาพูด ส่วนที่จะมีผู้ไปฟ้องศาลปกครอง ก็คงฟ้องได้แค่ศาลเดียวคือศาลพระภูมิ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้มีการออกคำสั่งทางปกครอง

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการออกคำสั่งเป็นหนังสือสั่งการหรือไม่เพราะอาจมีผู้ว่าฯ ไม่กล้าปฏิบัติตาม ร.ต.อ. เฉลิม กล่าวว่า ตนไม่ได้มีอำนาจออกคำสั่ง แต่กฎหมายมีบังคับใช้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเป็นเอกสาร เรื่องนี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายของบ้านเมือง ผู้ว่าฯ ทุกคนเข้าใจอยู่แล้ว

**แจงนายกฯเคเบิลเหตุห้ามถ่ายสดASTV
ต่อมาเวลา 13.00 น. นายเกษม อินทรแก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย พร้อมคณะ เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.เฉลิม เพื่อยื่นหนังสือชี้แจงจุดยืนของ เคเบิลทีวี โดยรมว.มหาดไทยได้พบด้วยตัวเองพร้อมทั้งกล่าวชี้แจง ได้ปรึกษากับทีมงานสรุปได้ว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ กระทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย แต่พันธมิตรฯด่าว่าหยาบคาย ขุดโคตรคนนั้นคนนี้ใส่ความเขา ล้มล้างอำนาจรัฐ ด่าโคตรพ่อโคตรแม่นายกรัฐมนตรีและด่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีความผิด ฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 เมื่อมีการถ่ายทอด เผยแพร่ออกไปทางสื่อก็จะมีการลงโทษตามมาตรา 328 ซึ่งช่อง 3,5,7,9 ไม่มีใครกล้านำไปออกอากาศเพราะรู้ว่าผิดกฎหมาย พันธมิตรฯปราศัย ASTV ก็มีสิทธิ์ถ่ายทอดแต่ถ้าการปราศรัยเป็นความผิดก็มีความผิดฐานเป็นผู้โฆษณาประกาศแก่บุคคลทั่วไป

“ผมจะดำเนินการกับ ASTV และเคเบิลทีวี กรณีที่มีการเผยแพร่ภาพข่าว ที่เป็นการกระทำความผิดเช่นการยุยงส่งเสริม ซึ่งเราก็จะแจ้งความจับ อย่างไรก็ตาม เคเบิลก็ต้องมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบเพราะว่ารับสัญญาณไปถ่ายทอด ส่วนเรื่องการปิดเคเบิลทีวี ตนไม่มีอำนาจไม่สามารถปิดได้ ผู้ว่าฯก็ไม่มีอำนาจสั่งปิด เพราะไม่มีอำนาจตามกฎหมายใด แต่เคเบิลอยากช่วยบ้านเมืองก็ต้องใช้วิจารญาณ ของท่าน คิดเหรอว่าz,ไม่รู้ว่าเคเบิลได้รับอนุญาตมีกี่ที่ ไม่ได้รับใบอนุญาตมีกี่ที่ แต่z,ไม่ได้จะไปรื้อรังแตน ไปเกเร แต่บอกกับผู้ว่าฯ ว่า ให้ดำเนินการใช้กฎหมาย อย่างเคร่งครัด เรื่องเล็กๆน้อยผมไม่ทำ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เช่นเมื่อคืน วันที่ 15 มิ.ย.นายสนธิ ลิ้มทองกุล บอกว่า รัฐบาลจะล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแล้วสถาปนาระบบประธานาธิบดี เรื่องนี้พูดได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้หากนำไปเผยแพร่เป็นเรื่องที่ผิดผมขอร้องให้ทำถูกกฎหมายไม่ใช่ให้ทำผิดกฎหมาย”

จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ได้มีการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ให้จัดตั้งทีมงานคอยบันทึกเทปเพื่อนำไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้ประกอบการเคเบิลทีวีหากมีการกระทำผิดเกิดขึ้นว่าซึ่งเรื่องนี้สามารถร้องทุกข์ได้ทั่วประเทศด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น