xs
xsm
sm
md
lg

ดีเดย์บุกทำเนียบฯ ศุกร์นี้ ลั่น"ไม่ชนะไม่กลับ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พันธมิตรฯ เป่านกหวีดนัดมวลมหาประชาชนทั่วประเทศที่รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ และราชวงศ์จักรี เคลื่อนพลครั้งใหญ่ บุกทำเนียบรัฐบาล "เพื่อทวงประเทศไทยของเราคืนมา" ในวันศุกร์ที่ 20 มิ.ย.นี้ "สนธิ" วอนทุกคนออกมาเขียนประวัติศาสตร์ร่วมกัน ลั่นทุบหม้อข้าวปักหลัก "ไม่ชนะไม่กลับ" ส่วนยุทธศาสตร์ดาวกระจายนำทัพบุกกต.วันนี้ ทวงถามความชัดเจน กรณียอมให้กัมพูชา นำปราสาทเขาพระวิหาร จดทะเบียนเป็นมรดกโลก ด้านชาวศรีสะเกษบุกยื่นหนังสือถึง"หมัก" ผ่านผู้ว่าฯ ต้านขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ลั่นหาก"หุ่นเชิด"เมินเฉยระดมชาวศรีสะเกษชุมนุมใหญ่ทวงคืนแผ่นดินไทยถึงที่สุด ขณะที่ครม. เมินข้อท้วงติง มีมติเห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทย-กัมพูชา ไปเรียบร้อยแล้ว "นพดล" อ้างแผนที่ใหม่ไม่เสียดินแดน แต่ไม่ยอมให้ดู

เมื่อเวลา 21.00 น. วานนี้ (17 มิ.ย.) ที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีเป็นตัวแทน ขอประชามติพี่น้องประชาชนในที่ชุมนุม โดยถามความเห็นว่า พร้อมที่จะมาตามที่พวกเราเป่านกหวีดหรือไม่ ถ้าพร้อมให้ส่งเสียงโห่ดังๆ ซึ่งมีเสียงโห่ตอบรับเสียงดังกึกก้องยาวนาน

จากนั้น นายสนธิ กล่าวว่า 62 ปี แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์นี้ เราไม่เคยเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และต้องเป็นเช่นนั้นตลาดไป และเราในฐานะที่เป็นทหารชาวบ้านของพระราชา เป็นชาวบ้านบางระจัน

"ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเอาประเทศไทยของเราคืนมา เราต้องมาร่วมกันรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักษาราชวงศ์จักรี ดังนั้น วันศุกร์ที่ 20 มิ.ย.นี้ เวลาบ่ายโมงตรง พบกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เราจะเก็บข้าวเก็บของไปหมด ทุบหม้อข้าว ไม่ชนะไม่กลับ" นายสนธิ กล่าวย้ำอย่างหนักแน่น พร้อมเรียกร้องให้ทุกคนในชาตินี้ ถ้ารักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้มาร่วมกับพวกเรา

นายสนธิ กล่าวว่า ในวันนั้น เราจะประกาศอิสรภาพให้หลุดพ้นจากทรราช หลุดพ้นจากการฉ้อราษฎร์ หลุดพ้นจากขบวนการสาธารณรัฐ ขอให้ทุกคนมาเขียนประวัติศาสตร์ร่วมกัน

จากนั้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้ย้ำว่า การเดินทางไปทำเนียบฯ ในวันศุกร์นี้ให้พี่น้องอยู่แต่ภายนอกทำเนียบฯ อย่าเข้าไปภายในทำเนียบฯ เป็นอันขาด อย่าไปทำลายข้างของทางราชการ เราต้องการไปเรียกร้องให้รัฐบาลออกไปเท่านั้น

ดาวกระจายบุก"บัวแก้ว"วันนี้

ขณะที่ เมื่อช่วงเช้าวานนี้ ตัวแทนบางส่วนของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เดินทางไปวางหรีดดำที่กระทรวงต่างประเทศ โดยมีข้อความปรากฏบนพวงหรีดว่า "แด่ทาสรับใช้ทรราชย์" เพื่อมอบให้แก่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะที่เป็นตัวแทนปกป้องผลประโยชน์ของระบอบทักษิณ มากกว่าการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณแจ้งเตือนก่อนที่พันธมิตรฯจะรวมพลครั้งใหญ่ที่หน้ากระทรวงการต่างประเทศในวันนี้ (18 มิ.ย.)

ทั้งนี้ นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯยืนยันว่า ที่ประชุม 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯยังไม่มีการพิจารณาเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหว โดยใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายอย่างใด โดยในเวลา 10.00 น. วันนี้ กลุ่มพันธมิตรฯจะเดินทางไปที่กระทรวงการต่างประเทศเพื่อทวงถามความชัดเจนเรื่องเขตแดนเขาพระวิหารที่อยู่ในความสงสัยของประชาชนว่ารัฐบาลจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน

นอกจากนี้ พันธมิตรฯ ยังออกประกาศเรียกร้อง ให้เอกอัครราชทูต และกงสุลไทยในต่างประเทศ ปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติ หลังพบว่า รัฐบาลหุ่นเชิดของระบอบทักษิณ ออกคำสั่งให้เอกอัครราชทูต อุปทูต กงสุลใหญ่ และกงสุลไทยในต่างประเทศ ชี้แจงสถานการณ์ของประเทศไทยอย่างบิดเบือน เพื่อใส่ร้ายป้ายสีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (อ่านรายละเอียด ประกาศพันธมิตร ฉบับที่ 3 ที่หน้า4 )

ทางด้าน นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน กล่าว บนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อช่วงเย็นวานนี้ ถึงกรณีที่กัมพูชาจะขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกว่า เนื่องจากคำตัดสินของศาลโลกนั้นชี้ชัดเฉพาะตัวปราสาทว่าเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่โดยรอบยังเป็นพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเป็นเขตแดนของตน เพราะอ้างแผนที่คนละฉบับ

นายวีระ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ เคยให้สัมภาษณ์ที่ฝรั่งเศศ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ว่า การที่กัมพูชากั้นเขตแดนเลยออกมาจากตัวปราสาท เหมือนกับบ้านที่ต้องมีรั้วเลยออกจากตัวบ้านมา ซึ่งจะเป็น 30-40 เมตร หรือเท่าไร ไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าพื้นที่ดังกล่าว เป็นเขตแดนของใคร ซึ่งเท่าที่ดูก็เห็นว่ายังอยู่ในเขตแดนเขมร

นายวีระ กล่าวว่า คำพูดของนายนพดล ดังกล่าว เท่ากับว่า นายนพดล ได้ยอมรับแผนที่เขตแดนของกัมพูชาไปโดยพลการ โดยที่ยังไม่ได้พูดคุยกับทางทหารเลย ทั้งนี้ โดยเฉพาะถ้าดูพิพากษาของศาลโลกเมื่อ 46 ปีที่แล้ว เขาตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่โดยรอบยังไม่ได้ชี้ขาด ทั้งไทยและกัมพูชา ใช้แผนที่แตกต่างกันและต่างก็ยอมรับในแผนที่ของประเทศตนเองเท่านั้น ซึ่งการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่า นายนพดล เห็นว่าแผนที่ของประเทศกัมพูชานั้นถูกต้อง

นายวีระ กล่าวด้วยว่า การที่นายนพดล ไม่ยอมเปิดเผยแผนที่ฉบับล่าสุดที่ใช้ในการเจรจา โดยอ้างว่าเป็นความลับนั้น วันนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ จะไปทวงถามที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดูแผนที่ฉบับนี้ให้ได้

ศรีสะเกษยื่นค้านเป็นมรดกโลก

วันเดียวกันนี้ ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ อ.เมืองศรีสะเกษ นายเทอดสิทธิ์ อุตส่าห์ ประธานคณะทำงานดำเนินการทวงคืนเขาพระวิหารกรณีชาวกัมพูชารุกล้ำเขตแดนไทยบริเวณเชิงเขาพระวิหาร พร้อมคณะทำงาน ประกอบด้วยนายวิทยา วิรารัตน์ ประธานหอการค้าเขต 14 และกรรมการหอการค้าไทย, นายทิวา รุ้งแก้ว ประธานคณะกรรมการประสานงานเพื่อพัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ (คปศ.), นายอรุณศักดิ์ โอชารส, นายอุดม บัวเกษ ได้เป็นตัวแทนของประชาชนชาวศรีสะเกษ นำหนังสือคัดค้านการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเข้ายื่นผ่าน นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง

นายเทอดสิทธิ์ กล่าวว่า ตนและชาวศรีสะเกษทุกคนขอคัดค้านการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เนื่องจากยังมีเหตุกรณีชาวกัมพูชาประมาณ 500 คนบุกรุกเข้ามาตั้งชุมชนสร้างบ้านเรือน ร้านค้าและวัดในเขตแดนไทยในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเชิงเขาพระวิหาร จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ปัญหาผลักดันให้ชาวกัมพูชาออกไปจากเขตแดนไทยบริเวณเชิงเขาพระวิหารดังกล่าวที่ยืดเยื้อมาหลายปีให้แล้วเสร็จก่อนที่จะให้ความร่วมมือประเทศกัมพูชาในการผลักดันเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

"รัฐบาลไทยควรเร่งดำเนินการในเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด เพราะพวกเราประชาชนไม่อยากให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนและเสียอธิปไตยที่บริเวณเขาพระวิหารเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งหากทางรัฐบาลยังคงนิ่งเฉยไม่ดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชาออกไป พวกเราจะเคลื่อนไหวนัดชุมนุมใหญ่ทั้งจังหวัดเพื่อทวงคืนแผ่นดินเขาพระวิหารจากชาวกัมพูชาอย่างถึงที่สุดต่อไป"

นายสนอง ห้วยจันทร์ ประธานประชาคมอำเภอกันทรลักษ์ กล่าวว่า กรณีที่ฝ่ายประเทศกัมพูชาได้เสนอแผนที่ฉบับใหม่บริเวณเขาพระวิหารให้ฝ่ายไทยรับรองและรัฐบาลไทยนำเข้าที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณามีมติรับรองในวันนี้ (17) นั้นเป็นเรื่องที่ชาวกันทรลักษ์ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะชาวศรีสะเกษและชาวไทยทุกคนเห็นว่าตราบใดที่ยังไม่มีการผลักดันชุมชนชาวกัมพูชาออกไปจากบริเวณเชิงเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นเขตแดนไทยแล้ว รัฐบาลไทยก็ไม่ควรที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชาในการรับรองแผนที่ฉบับใหม่ดังกล่าวเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเสนอปราสาทเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเด็ดขาด

จี้ใจดำใครคือ"ไอ้โม่ง"รับประโยชน์

ขณะนี้ประชาชนชาวศรีสะเกษมีความสงสัยว่า เพราะเหตุใดในเมื่อประเทศกัมพูชามีอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารมานานกว่า 46 ปีแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะเสนอปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแลย แต่กลับเพิ่งมีความต้องการในช่วงที่มีการค้นพบแก๊สธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทยในทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา จึงทำให้ประชาชนชาวไทยทุกคนรู้สึกว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผู้มีอำนาจในรัฐบาลไทยหรือผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาหรือไม่อย่างไร

"พวกเราจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งหมดเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารให้ชาวไทยได้รับทราบ และขอถามรัฐบาลไทยว่าเพราะเหตุใดส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของไทยจึงยอมให้ชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างบ้านเรือน ร้านค้าและวัดในเขตแดนไทยมานานร่วม 10 ปีโดยที่ไม่มีการผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากเขตแดนไทยแต่อย่างใด อีกทั้งสังกะสีและปูนซีเมนต์ที่ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนของชาวกัมพูชาดังกล่าวก็ได้เข้ามาจากฝั่งประเทศไทย ส่วนราชการใดอำนวยความสะดวกให้ชาวกัมพูชา จึงสามารถนำเข้ามาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน ร้านค้าและวัดรุกล้ำเขตแดนไทยดังกล่าวได้เช่นนี้"

นายสนอง กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในการให้ข้อมูลแก่ประชาชนของส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร คือ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23, อำเภอกันทรลักษ์ และอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ ก็ไม่ตรงกันเหมือนพูดกันคนละภาษา ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนให้กับประชาชนชาวศรีสะเกษเป็นอย่างยิ่ง

"อยากให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ข้อเท็จจริงและสร้างความเข้าใจกรณีปัญหาเขาพระวิหารให้ประชาชนคนไทยได้รับทราบอย่างแท้จริง และที่สำคัญอยากให้นายนพดล ซึ่งทราบว่าเป็นชาว อ.ราษีไศล โดยกำเนิดได้เลิกทำตัวเป็นทนายความของกัมพูชาเหมือนกับที่เคยเป็นทนายความแก้ต่างความผิดให้กับอดีตนายกฯทักษิณเสียทีแล้วหันมาถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้งจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด"

ครม.เห็นชอบกรณี"เขาพระวิหาร"

น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม. ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา กรณีการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก พร้อมแผนที่แนบท้าย โดยมอบหมายให้ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามในแถลงการณ์ร่วม จากนั้นจึงเสนอกัมพูชาเพื่อรายงานต่อองค์การยูเนสโก ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในวันที่ 5 ก.ค. ต่อไป

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า นายนพดลได้นำเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมเป็นวาระเพื่อพิจารณาจร ลำดับท้าย ทันทีที่มีการหยิบเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา นายนพดลได้ขอให้เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการ ครม. แจกเอกสาร สำเนาร่างแถลงการณ์ร่วมไทย- กัมพูชา ซึ่งมีจำนวน 2 หน้า เป็นฉบับภาษาอังกฤษและภาษาไทย พร้อมแผนที่แนบท้ายให้ ครม.ได้ศึกษา และแสดงความเห็น

ขณะเดียวกันได้ขอให้กรมแผนที่ทหาร ฉายภาพแผนที่ ที่กัมพูชาได้จัดทำขึ้นทั้งฉบับเก่าและฉบับใหม่ ขึ้นจอวีดีทัศน์ เปรียบเทียบให้ครม. ศึกษาถึงความแตกต่าง หลังจากที่ประชุมได้ดูพอสมควร นายนพดล ได้ขออนุญาตที่ประชุมเก็บเอกสารชี้แจงและแผนที่แนบท้ายทันที

แหล่งข่าว กล่าวว่า นายนพดล รายงานต่อที่ประชุมว่า แต่เดิมแผนที่ฉบับเก่าซึ่งกัมพูชาจัดทำขึ้นนั้น มีการกินพื้นที่เข้ามาเป็นพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ ประท้วงไปหลายครั้งจนกระทั่งกัมพูชายอมรับ และสั่งให้จัดทำแผนที่ใหม่ โดยไม่กินพื้นที่ทับซ้อน

นายนพดล ยังกล่าวอ้างถึงฝ่ายทหารด้วยว่า หลังจากมีการจัดทำแผนที่ฉบับใหม่เสร็จ กรมแผนที่ทหารได้ลงพื้นที่ดูข้อเท็จจริง ฝ่ายทหารยืนยันตรงกันว่า ไม่มีส่วนใดรุกล้ำพื้นที่ทับซ้อนของไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว

นายนพดล กล่าวต่อ ครม.ด้วยว่า กรณีที่มีการวิจารณ์ว่า ไม่ยอมเปิดเผยแผนที่ฉบับใหม่ต่อสาธารณชน อยากทำความเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยฝ่ายกัมพูชาขอร้องไว้ เพราะจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 27 ก.ค. ซึ่งถ้าหากเปิดเผยออกไป อาจถูกมองว่ากัมพูชายอมทำแผนที่ใหม่ เป็นการยอมฝ่ายไทย ทำให้ชาวกัมพูชาไม่พอใจได้ ซึ่งจะนำไปสู่ประเด็นการเมืองเหมือนกรณีเผาสถานทูตได้

งุบงิบเจรจากัมพูชาโดยไม่มีทหาร

นอกจากนี้ นายนพดล ยังได้ชี้แจงรายละเอียดที่ได้รายงานให้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ให้ครม. รับฟัง ว่า กัมพูชายอมรับในข้อทักท้วงของไทย ที่ไม่ต้องการให้กัมพูชาใช้แผนที่ของฝรั่งเศส ไปยืนยันต่อการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลก เพราะจะมีพื้นที่บางส่วนของไทยที่ยังตกเป็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดน ประมาณ 10 เมตรถูกรับรองรวมไปได้ และทางกัมพูชาควรใช้แผนที่ตามมติ ครม. 2505 สมัยรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยใช้เขตแดนโดยนับจากตัวปราสาทเขาพระวิหารไปทางตะวันตก 100 เมตร และขึ้นไปทางเหนือ 20 เมตร ซึ่งเป็นแผนที่ที่รัฐบาลของ 2 ประเทศเห็นชอบร่วมกันตามแผนที่ L 7017 ไปเสนอกับยูเนสโก้แทน

รายงานข่าวระบุด้วยว่า ที่ผ่านมา กัมพูชา แจ้งกลับมายังรัฐบาลไทยมาตลอดว่า สายเกินไปแล้วไทยที่จะหยุดยั้งกระบวนการต่างๆ ที่ได้คืบหน้าไปมากแล้ว อีกทั้งยังยืนกรานว่า การจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก จะไม่ส่งผลกระทบเส้นเขตแดนของไทย และขอให้ไทยยอมไปก่อน แล้วค่อยมาทำความตกลงในรายละเอียดอื่นๆกันภายหลัง

อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมเห็นชอบให้มีการพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารอีกครั้งหนึ่งในการประชุม WHC ครั้งที่ 32 ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นที่เมือง Quebec ประเทศแคนาดา ในเดือน ก.ค. นี้

"ในที่ประชุม สมช. รับฟังข้อมูลจากรมว.ต่างประเทศ โดยได้เล่าให้ฟังว่าเป็นมาอย่างไร ซึ่งครั้งนี้กัมพูชายอมไทยมากกว่าครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น นายซก อาน รองนายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.เตีย บัณห์ รมว.กลาโหม ของกัมพูชาไม่เคยยอมเราเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าเขายอมโดยไม่มีเงื่อนไข ก็ต้องให้เครดิตทางกระทรวงการต่างประเทศ แต่ใน ครม. เขาก็เอาแถลงการณ์และแผนที่มาให้ดู" รายงานข่าวระบุ

ในขณะที่ แหล่งข่าวทางทหาร กล่าวว่า น่าสังเกตว่า ทำไมกัมพูชา จึงได้ยอมไทย ทั้งที่ผ่านมายืนกรานมาตลอด ไม่รู้ว่าในการเจรจานั้นมีรายละเอียดอย่างไร เพราะไม่มีทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง และน่าสงสัยว่า การเลือกตั้งของกัมพูชา จะเกิดขึ้นในวันที่ 27 ก.ค.นี้ การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งก็เดินหน้ามามาก ไม่น่าจะนำมาเกี่ยวข้องกัน ทำไมต้องให้รัฐบาลไทยปกปิดข้อมูลดังกล่าวและไม่ยอมให้ทุกฝ่ายได้ร่วมดูแผนที่ด้วยกัน ทั้งที่เรื่องนี้ควรจะทำให้โปร่งใส มากกว่านี้

ผบ.ทร.ช่วยการันตีอีกคน

พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่เห็นชอบแผนที่ใหม่ปราสาทพระวิหาร ที่กัมพูชาจัดทำขึ้นว่า ขอบเขตที่ยื่นออกจากองค์ปราสาทเพียง 20-30 เมตรเท่านั้น และไม่ได้เข้าไปทับซ้อนในพื้นที่ทับซ้อน ที่ทั้งสองประเทศยังตกลงกันไม่ได้ ซึ่งจากการดูแผนที่แล้ว ไม่มีปัญหา ใช้ได้และดี เพราะกัมพูชาไม่ได้เอาขอบเขตอะไรมากเลย องค์ปราสาทพระวิหารเท่านั้นที่จะเสนอเป็นมรดกโลก

"เหมือนตัวอาคารหลังนี้ คือ หอประชุมกองทัพเรือ ที่ต้องมีพื้นที่ยื่นออกจากตัวอาคารนิดหน่อยเท่านั้นที่เป็นพื้นที่ ไม่ใช่เอาไปเป็นกิโลๆ ส่วนปัญหากัมพูชาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ทับซ้อน ทั้งสองฝ่ายจะเจรจาต้องทำโครงการร่วมกันต่อไป เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ ส่วนกรณีที่ประชาชนในพื้นที่ยังไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล ประชาชนอาจยังไม่ทราบข้อเท็จจริง" พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ กล่าว

"นพดล"ยันไม่เปิดเผยแผนที่ใหม่

นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องนี้กระทรวงต่างประเทศ ได้เจรจาเพื่อไม่ให้ไทยเสียดินแดน ไม่เห็นมีอะไรที่ต้องคัดค้านเลย ถ้าปล่อยไปจนถึงเดือนก.ค. เขาจะขึ้น 1+ 2 (หมายถึงนำแผนที่อันเดิมกับอันที่แก้ไขแล้ว)

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมไม่เปิดเผยแถลงการณ์ร่วมกับแผนที่ก่อนลงนามนายนพดล กล่าวว่า สิ่งที่กัมพูชาเสนอมาใหม่คือ เขาได้ตัดเหลือเฉพาะ 1 ตัด 2 ออกไป สิ่งที่เขาทำมาเฉพาะรอบรั้วตัวปราสาท ไม่ได้มีปัญหารุกล้ำที่ดินของเรา สบายใจได้ จากที่นายอลงกรณ์ พลบุตร ระบุว่า มีการหมกเม็ดเรื่องแผนที่ ก็ไม่จริงเลย เพราะกรมแผนที่ทหารได้ดูแล้ว และที่ประชุมครม. เชิญเจ้ากรมแผนที่ทหารมาด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาสมควรจะเปิดเผยรายละเอียดให้ทราบต่อไป

เมื่อถามว่า ในแถลงการณ์ร่วม มีเงื่อนไขอะไรบ้าง นายนพดล กล่าวว่าไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย ทุกอย่างจะเปิดเผยหมดในเวลาอันควร เมื่อขึ้นทะเบียนปราสาทแล้ว จะเปิดเผยแถลงการณ์ร่วม และแผนที่ทั้งหมด

ทวงบุญคุณถ้าไม่มี "นพดล" เสียดินแดน

เมื่อถามว่า ทำไมถึงจะเปิดเผยภายหลัง นายนพดล กล่าวว่า เพราะเป็นเอกสารลับของทางราชการ และมันไม่มีปกปิด ช้าหรือเร็วก็เป็นเอกสาร เมื่อถามว่าจะไม่เป็นปัญหา เพราะเราตกลงยอมให้ถือครองสิทธิ์ไปแล้ว นายนพดล กล่าวว่า ไม่ ได้เป็นการถือครองสิทธิ์ แต่ตนเป็นคนทำไม่ให้เขารุกกล้ำเข้ามา ในพื้นที่ของเรา คือขึ้น เฉพาะ 1 ไม่รวม 2

"ถ้าผมไม่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ผมเรียนโดยตรงว่า เขาอาจจะขึ้นทะเบียนทั้ง 1 และ 2 แต่กระทรวงการต่างประเทศ ช่วยให้ 1 ไม่มี 2 ที่แก้ไขมีเฉพาะ 1 แผนที่เดิมมี 1+2 ฉะนั้นจะใช้แผนที่เดิมทั้งหมด และกรมแผนที่ทหาร ช่วยดูแล้วว่าไม่รุกกล้ำเข้ามาในพื้นที่" นาย นพดลกล่าว

เมื่อถามว่า ทำไมกัมพูชาไม่ดูแผนที่ของไทย อ้างของเขาอยู่ฝ่ายเดียว นายนพดล กล่าวว่า สิ่งที่กัมพูชาเสนอมา เป็นแค่การขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร หากเราปล่อยไป เขาจะเอาพื้นที่ไปด้วย ดีที่ตนไปเจรจาว่า อย่าเอาพื้นที่ ขึ้นตัวปราสาทได้ แต่ห้ามเอาพื้นที่ทับซ้อนของเรา เขาจึงทำพื้นที่ใหม่ขึ้นมา อันนี้ให้สบายใจได้ว่า เขาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น

เมื่อถามว่า กรมแผนที่ทหารระบุว่าแผนที่ที่กัมพูชาเสนอมา ไม่มีคำตอบให้เรา นายนพดล กล่าวว่า ไม่มี กรมแผนที่ฯเห็นชอบกับแผนที่ที่เขาเสนอมา หากมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล ทหารก็ต้องคัดค้านแล้ว และครม. ยังคัดค้านได้ ถ้าคิดว่าแผนที่รุกล้ำมาในของเรา

เมื่อถามว่า ในฐานะนักกฎหมายทุนรัฐบาลรักษาผลประโยชน์ชาติเท่าที่ควรหรือไม่ นาย นพดล กล่าวว่า ดูแลอย่างดี ถ้าไม่ใช่ฝีมือตน เราอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน อันมีพื้นที่ทับซ้อนที่เป็นมรดกด้วย สิ่งที่ตนทำคือไปตัดไม่ให้มีพื้นที่ทับซ้อน ให้ขึ้นเฉพาะตัวปราสาทซึ่งเป็นผลงานที่ชัดเจนของตน

ส่วนพื้นที่ทับซ้อนที่กัมพูชามีการลุกล้ำเข้ามานั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 43 และกระทรวงต่างประเทศได้มีการประท้วงอย่างต่อเนื่อง 3-4 ครั้ง ก่อนตนมาเป็น รมว.ต่างประเทศ ว่าทำไมมาปลูกวัดอาคาร เป็นสิ่งที่ต้องเจรจาต่อไป และมั่นใจว่าจะ เจรจาให้สำเร็จเป็นส่วนงานชิ้นที่ 2

เมื่อถามว่า ถ้าทำไม่สำเร็จ จะทำอย่างไร นายนพดล กล่าวว่า ยืนยันว่าจะเจรจาให้สำเร็จ แม้ผ่านมาแล้ว 8 ปี ก็ตาม เมื่อถามการมาเปิดเผนแถลงการณ์หลังขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปแล้ว และมีการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทำอะไรไม่ได้ จะทำอย่างไร นายนพดล กล่าวว่า จะให้ตนทำอย่างไร จะให้ตนลาออกหรือไม่

"ถ้าแผนที่มันถูกต้องไม่ลุกล้ำอย่างที่นายอลงกรณ์บอก คุณอลงกรณ์จะลาออกจากการเป็นส.ส.หรือไม่ และผมจะลาออกจากรมว. หากแผนที่มันรุกล้ำ" นายนพดลกล่าว

ส่วนที่ชาวบ้านใน จ.ศรีสะเกษ ออกมาประท้วงที่เกี่ยวกับชาวกัมพูชา ที่มาก่อสร้างอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน นายนพดล กล่าวว่า ควรไปถามว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำอะไรอยู่ ถึงปล่อยให้พวกนี้มาทำได้ เมื่อตนเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องแก้ปัญหาต่อไป และขอให้ชาวบ้านสบายใจว่ากระทรวงฯพยายามทำเรื่องนี้อยู่แล้ว อย่างน้อย ตนได้ช่วยลดความสุ่มเสี่ยงในการเสียดินแดนอีก ถือเป็นความสำเร็จ

เมื่อถามว่า ทางขึ้นยังต้องมาขึ้นทางเรา นายนพดล กล่าวว่า ทางเขาก็ขึ้นได้ แต่ไม่สะดวก อย่างไรก็ตาม ตัวปราสาท ศาลโลกได้ตัดสินให้เป็นของเขา ถ้าอยากได้คืนคือ 1.เอากองกำลังไปยึดคืน แต่ไม่ใช่วิธีที่เราจะทำ เขาจะทำอะไรกับตัวปราสาทก็เป็นสิทธิ์ของเขา ประเทศไทยเป็นมิตรกับกัมพูชา เราต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาว ถ้าสังคมไทยเข้าใจปัญหานี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

"ผมท้าทายเลยว่า ถ้าเป็นจริงตามนั้นคนฝ่ายค้านหรือวิพากษ์วิจารณ์ผม จะให้เครดิตรผมหรือไม่ ถ้าผมชนะแล้วจะให้ผมเป็นนายกฯ หรือไง ถ้ารุกล้ำผม ผมพร้อมรับผิดชอบ ถ้าไม่ลุกล้ำจะให้ตำแหน่งอะไรผมเพิ่มหรือไม่ อย่างนั้นผมจึงจะรับคำท้า ผมไม่อยากเดิมพันอะไร เพราะเป็นงานที่ตรวจสอบได้ นายอลงกรณ์ ก็ตรวจสอบได้ เรื่องนี้น่าจะชื่นชมกระทรวงต่างประเทศที่สามารถไปเจรจาได้ ไม่มีอะไรปกปิดเลย" นายนพดลกล่าว

มติ สรส.ร่วมสู้กับพันธมิตรฯ

เมื่อวานนี้ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้มีมติเอกฉันท์ ประกาศจุดยืน จะร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ พันธมิตรฯ ต้านรัฐบาลหุ่นเชิดที่หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ระบุพร้อมดำเนินยุทธศาสตร์ "อารยะขัดขืน" เช่นเปิดให้ประชาชนโดยสารรถเมล์-รถไฟฟรี ตัดน้ำ-ไฟ หน่วยราชการ หรือถ้ารัฐบาลใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมฯ ก็จะตอบโต้ด้วยการนัดหยุดงาน

ขณะที่เครือข่ายเกษตรกร แรงงาน คนจนเมือง นัดเป่านกหวีด ชุมนุมใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ จี้รัฐบาลแก้ปัญหาราคาสินค้า น้ำมันแพง ปลดหนี้เกษตรกร พร้อมเคลื่อนทัพรวมพลังกลุ่มพันธมิตรฯ ร่วมกดดันรัฐบาล (อ่านรายละเอียด หน้า 2 )

"สดศรี"อ้างทบทวน 700 สำนวนไม่ได้แล้ว

นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการที่กลุ่มพันธมิตรฯ มาให้กำลังใจ 3 กกต. และขับไล่ตัวเอง กับนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน ว่า การทำเช่นนี้ จะทำให้ทั้ง 3 คน ทำงานด้วยความยากลำบาก เพราะจะทำให้ถูกมองว่าเป็นพวกกลุ่มพันธมิตรฯ

ส่วนเรื่องการขอให้ กกต. ทบทวนมติคำร้อง 700 สำนวน ที่ได้ยกคำร้องไปนั้น ตามระเบียบไม่สามารถนำสำนวนคำร้องที่ กกต.ได้วินิจฉัยแล้ว กลับมาพิจารณาทบทวนใหม่ได้ ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายศาล เมื่อตัดสินไปแล้วก็ต้องจบแค่นั้น เว้นแต่ว่ามีสำนวนใดทุจริต ก็ต้องไปยื่นฟ้องต่อศาล

ส่วนมาตรฐานของการวินิจฉัยใบเหลือง ใบแดง สำนวนของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชาชน ต้องพิจารณาโดยละเอียด การจะให้ทบทวนหรือดูว่ามีมาตรฐานเหมือนกันหรือไม่ เป็นเรื่องลำบาก เพราะเป็นเรื่องของดุลพินิจ

"พันธมิตรฯ กำลังทำให้ กกต. แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นของรัฐบาล ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นของพันธมิตรประชาธิปัตย์ ซึ่งดูแล้วน่ากลัวมาก กกต.จะทำงานด้วยความยากลำบาก และวิกฤตศรัทธาของประชาชน ก็จะกลับมาที่สถาบันแห่งนี้อีก" นางสดศรีกล่าว

ปฏิเสธพบ"จาตุรนต์"ที่จีน

นางสดศรี ยังได้ชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาว่า เดินทางไปพบนายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ประเทศจีนว่า เข้ามารับตำแหน่ง กกต. เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 49 หลังจากนั้นไปต่างประเทศครั้งเดียว คือ เดินทางไปประเทศเยอรมนี ในฐานะนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าฯ โดยมีนายคำนูณ สิทธิสมาน นายประพันธ์ คูนมี ที่เป็นนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าฯ ร่วมคณะไปด้วย ประเทศจีนก็เคยไปช่วงที่เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โดยเดินทางไปช่วงเดือนก.พ.48 ซึ่งเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวหาว่าเดินทางไปพบนายจาตุรนต์ ในช่วงเดือนเม.ย. ปีนี้ หรือปีที่แล้ว ไม่เป็นความจริง

"หลักฐานเป็นพาสปอร์ต ที่เป็นเอกสาร ราชการยืนยันได้ว่า เดินทางไปประเทศจีนปีไหน ในขณะที่ไปยังไม่ได้เป็น กกต.เลย และหลังจากที่เป็นกกต. แล้วก็ไม่เคยพบกับ นายจาตุรนต์ หรือคนในบ้าน เลขที่ 111 เพราะไม่มีอะไรที่ต้องไปพบ ไม่รู้ไปเพื่ออะไร หรือจะต้องไปที่ไหน แต่ถ้าไปพบนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่เอเอสทีวี นั้นเคยไป เพราะเวลาไปออกรายการที่ เอเอสทีวี นายสนธิ ก็รอต้อนรับอยู่ ก็ไม่มีอะไร การกล่าวหาที่ไปประเทศจีน ก็เห็นอยู่แล้วในพาสปอร์ตไม่มีการสแตมป์ว่าไปประเทศจีนในปีนี้ หรือปีที่แล้วชัดเจน เรื่องนี้ถ้าใครกล่าวหาดิฉันก็จะดำเนินคดีต่อไป" นางสดศรี กล่าว

นางสดศรี กล่าวว่า อยากถามนายสนธิว่าทำไมต้องแบ่ง กกต.ออกเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งในเรื่องทุจริต หากสงสัย เรื่องการลงมติใดๆ ของ กกต. ก็สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งใบเหลือง ใบแดงนั้น มีทั้ง 2 พรรค

"มติที่ กกต. 3 คน ลงมติไปเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอย่างไรไปสามารถตรวจสอบดูได้ สำหรับตัวเองแล้วมีทั้งใบเหลือง ใบแดง ทุกครั้ง ไม่ได้มีการว่าเป็นพรรคพลังประชาชนแล้วให้แต่ใบขาว จะให้คล้ายๆ กัน ขึ้นกับพยานหลักฐาน ไปตรวจสอบดูได้ แม้แต่กรณีของนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ก็ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนที่ว่าจะรื้อถึง 700 สำนวน ก็ไปตรวจสอบดูได้ แต่ถ้าจะให้กลับคำวินิจฉัยกฎหมายไม่ได้ว่าไว้" นางสดศรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการให้สัมภาษณ์ นางสดศรี ได้นำพาสปอร์ต มา 2 เล่ม และเปิดให้ดูการประทับตราตรวจคนเข้าเมือง ว่าได้เดินทางไปไหนมาบ้าง โดยนางสดศรีมีพาสปอร์ต 2 เล่ม เล่ม หนึ่งเป็นเล่มราชการ ที่มีการประทับตราว่าเดินทางไปประเทศเยอรมนี และอีกเล่มเป็นของบุคคลธรรมดาทั่วไป ที่มีการประทับตราว่าเดินทางไปจีน ในช่วงเป็นผู้พิพากษา แต่ไม่มีการถ่ายเอกสารแจกกับสื่อฯ

ASTV พักร้องศาล ปค.ชั่วคราว

นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของบริษัทไทยเดย์ จำกัด และสถานีโทรทัศน์ เอเอสทีวี ซึ่งทำหน้าที่ทนายของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่าหลังจากหารือกับพยานที่เป็นผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นแล้ว มีความเห็นว่า หลังจากที่ตัวแทนสมาคมเคเบิ้ลทีวีทั่วประเทศเข้าพบ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว. มหาดไทยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมาได้รับการยืนยันว่า จะไม่มีการใช้คำสั่งทางปกครองในการสั่งปิดเคเบิ้ลทีวีใด ๆ ทั้งสิ้น แต่จะให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ฟ้องร้องดำเนินคดี กรณีที่มีการถ่ายทอดการปราศรัยที่มีการกล่าวร้ายโจมตีล้มล้างรัฐบาล ดังนั้น เมื่อยังไม่มีการสั่งปิด เคเบิลทีวีรายใด จึงยังไม่มีเหตุให้มาฟ้องต่อศาลปกครอง จึงตัดสินใจงดการร้องต่อศาลปกครองไว้ก่อน

อย่างไรก็ตาม นายสุวัตร ได้ให้คำแนะนำกับทางกลุ่มผู้ประกอบการเคเบิลทีวีท้องถิ่นว่า หากมีกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดๆ ใดฟ้องร้องดำเนินคดี เนื่องจากคำสั่งของ มท. 1 ดังกล่าว ก็ให้แจ้งมายังกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อรวบรวมไปฟ้องร้องต่อ ป.ป.ช.ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแทน

"เหลิม"ปูดเองจะมีระเบิดที่มหาดไทย

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ตนได้พบกับตัวแทนผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวี เขาเริ่มเข้าใจแล้ว ว่าการเผยแพร่ภาพข่าวจากเอเอสทีวี เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และเขาจะใช้วิธีการะมัดระวังการเสนอข่าว หากเขาให้ความร่วมมือ ความฮึกเหิมของม็อบก็จะลดน้อยลง

"ผมเชื่อว่าฟ้าดินมีจริง ใครคิดทำไม่ดีกับบ้านเมือง สุดท้ายก็ไปไม่รอด ส่วนม็อบที่บอกว่าแสดงอออกตามกติกาประชาธิปไตย ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ไม่จริง เป็นเวทีด่า กล่าวหา กล่าวร้าย นั่งดูทีไรก็หมิ่นประมาท แทบจะทุกคน ที่สำคัญไม่ได้เป็นการแสดงออกพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่เป็นกลุ่มบุคคลที่เคยขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ มาแล้ว ถ้าความคิดของกลุ่มบุคคลนี้ดี เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน เลือกตั้งครั้งที่แล้วพวกผมคงต้องแพ้ เพราะด่ามาตลอด โดยไม่คำนึงถึงกฎกติกา ไม่เคยให้เกียรติผู้นำประเทศ ไม่เคยให้เกียรติตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่ง แล้วอย่างนี้จะมีความชอบธรรมที่ไหน" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

เมื่อถามว่า จะหาจุดลงตัวด้วยการเจรจาได้อย่างไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า มันลำบาก ยาก เมื่อถามถึงกรณีที่ตำรวจอ้างว่าไปเจรจากับม็อบทุกวัน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนเพิ่งจะไปเยี่ยมม็อบตำรวจมา ไม่ใช่ม็อบพันธมิตรฯ ม็อบตำรวจ เขาก็เบื่อที่สุด วันนี้ม็อบทำให้เสียหาย 3 เรื่อง 1.เรื่องเศรษฐกิจคนไม่กล้ามาลงทุน นึกว่าบ้านเมืองเกิดกลียุค 2.เรื่องสังคม ตำรวจไม่ได้ทำหน้าที่ที่เขาควรจะทำ ไม่ว่าการแก้ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด 3.เรื่อง การเมือง เป็นการสร้างขนบธรรมเนียมที่ไม่ถูกต้อง ในระบอประชาธิปไตย

เมื่อถามว่า พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ระบุว่า อีก 7 วัน รัฐบาลจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คงฝันไป และจะไม่นำเรื่องดังกล่าวไปหารือใน ครม. และรัฐบาลจะไม่จัดการกับม็อบโดยใช้กำลังอะไร เพราะวันนี้ มีม็อบตำรวจแล้ว

"ผมจะบอกให้ว่า เวลานี้จะมีคนสร้างสถานการณ์ และโยนความผิดมาให้ผม ผมจะบอกกับพี่น้องประชาชนว่าความรุนแรงไม่ใช้เด็ดขาด คืนวานซืน มันมีคนซนจะเอาระเบิดไปโยนข้างกระทรวงมหาดไทย แหล่งข่าวบอกผม จึงขอร้องตำรวจมาดูแล อย่านึกนะว่าไม่รู้" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ปชช.สุดทนแห่แจ้งจับ"เป็ดเหลิม"

นางกนกกาญจม์ ส่งเสริม สมาชิกโมโทรเคเบิลทีวี เปิดเผยว่า การที่ทางเคเบิลทีวีทำอย่างนี้ถือว่าลูกค้าไม่ได้รับความเป็นธรรม อยู่ดีๆ มาตัดสัญญาณเสียง ASTV ได้อย่างไร ข้อความบนจอด้านล่างที่เป็นการแสดงความคิดเห็นก็คาดด้วยสีดำทับทั้งหมด อ่านไม่ได้อีกด้วย ทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ซึ่งถือเป็นการปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนเป็นอย่างมาก
 
"ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกเคเบิลก็เพื่อต้องการดู ASTV ถ้าต่อไป ดูไม่ได้ จะรณรงค์เรียกร้องให้ทุกคนที่เป็นสมาชิกในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิยกเลิกการเป็นสมาชิกเคเบิลทั้งหมด เพราะถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค หลอกลวงประชาชน เพราะบริษัทเคเบิลนำเอารายการ ถ่ายทอดสัญญาณ ASTV มาเป็นจุดขายหลักในการโฆษณาหาสมาชิก"

ต่อมาเวลา 14.00 น.นายนพสณฑ์ เสฏฐรังสี แกนนำพันธมิตรฯชัยภูมิ พร้อมด้วยตัวแทนประชาชนสมาชิกเคเบิลทีวีผู้เดือดร้อนกว่า 50 คนได้ร่วมเดินกันเดินขึ้นไปที่หน้าห้องทำงานของนายถาวร พรหมีชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ บริเวณชั้นศาลากลางจังหวัดเพื่อสอบถามกับถึงเหตุการณ์ข่มขู่คุกคามเคเบิลทีวี ที่เกิดขึ้นและเรียกร้องให้ผู้ว่าฯ แจ้งให้เคเบิลทีวี ในพื้นที่จ.ชัยภูมิ ทุกแห่งได้ถ่ายทอดสัญญาณของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี ตามปกติโดยเร็ว

ทั้งนี้ หากไม่ได้รับคำตอบที่พอใจ กลุ่มพันธมิตรฯชัยภูมิและประชาชนผู้เป็นสมาชิกเคเบิลทีวีที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งจังหวัดจะรวมตัวกันชุมนุมใหญ่ปิดล้อมบริเวณหน้าจวนผู้ว่าฯ พร้อมตั้งเวทีปราศรัยและจัดถ่ายทอดสัญญาณเอเอสทีวี การชุมนุมของพันธมิตรฯจากกรุงเทพฯ ในค่ำวันนี้ (17 มิ.ย.) และจะร่วมกันยกเลิกการเป็นสมาชิกเคเบิลทีวีทั้งหมดเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า หลังจากร่วมกันขอคำตอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯชัยภูมิและสมาชิกเคเบิลทีวีได้เดินทางไปที่ สภ.เมืองชัยภูมิเพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี กับ ร.ต.อ.เฉลิม และผู้ที่เกี่ยวข้องในการสั่งการให้เคเบิลทีวีระงับสัญญาณถ่ายทอดเสียง ASTV ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน

ชลบุรีโวย"วันทูคอล"ล็อก SMS

นางนรินทร์ เกลื่อนกลาด กลุ่มพันธมิตรฯชลบุรี กล่าวถึงการติดตามชมการชุมนุมของแกนนำพันธมิตรฯจากทั่วประเทศผ่านทาง ASTV ว่า ตนพอใจในการร่วมชุมนุมในครั้งนี้พร้อมส่งกำลังใจและสนับสนุนด้วยโทรศัพท์มือถือผ่าน SMA ของวันทูคอน ตลอดทั้งคืน แต่สัญญาณที่ส่งนั้นไม่สามารถส่งไปได้โดยขึ้นขอความตอบกลับมาว่า ไม่มีสัญญาณตอบรับในหมายเลขที่ท่านเรียก ทั้งๆ ที่ระบบสัญญาณโทรศัพท์ก็ดีแต่ทำไมถึงส่งไม่ได้ ตนนำโทรศัพท์ของญาติพี่น้อง แต่เป็นระบบอื่นมาลวงส่ง SMA ด้วยข้อความเดิมไปยังพันธมิตรฯ หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีสัญญาณก็จะปรากฏข้อความที่ส่งไป โดยไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หรือโทรศัพท์วันทูคอน ระบบ AIS เป็นของผู้บริหารฝ่ายตรงข้ามกลุ่มพันธมิตรฯ ถึงล็อกเบอร์ดังกล่าว เพื่อไม่ให้ส่งไปให้กำลังใจ

นางนรินทร์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถเดินทางไปร่วมชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯได้ เนื่องจากมีภารกิจจึงส่งกำลังใจผ่าน SMS แต่ก็มาถูกสกัดไม่สามารถติดต่อได้ และตนก็จะกำลังเลิกระบบสัญญาณนี้ในอนาคตอย่างแน่นอน หากทราบข้อมูลและสาเหตุที่ชัดเจน

ชัยภูมิส่งปลัดขู่เคเบิลตัดเสียง ASTV

ส่วนที่บริเวณลานคนเมือง สวนกาญจนาภิเษก หน้าศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ ประชาชนชาวชัยภูมิในเขตเทศบาล ซึ่งเป็นสมาชิกโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก หรือเคเบิลทีวี ของบริษัท เมโทรเคเบิ้ลทีวี จำกัด สาขาชัยภูมิ กว่า 100 คนได้ออกมาชุมนุมแสดงความไม่พอใจ หลังจากสัญญาณเสียงรายการของ ASTV หายไป มีแต่ภาพบนหน้าจอทีวีและมีการคาดแถบดำเพื่อเซ็นเซอร์ข้อความที่ส่งผ่าน SMS ด้านล่างจอภาพ

มีรายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนที่จะมีการตัดสัญญาณเสียงรายการของ ASTV ของเมโทรเคเบิลทีวี ช่วงเวลาประมาณ 14.00 น.ของวันที่ 16 มิ.ย.นายถาวร พรหมมีชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ได้เชิญตัวแทนผู้ให้บริการเคเบิลทีวีในจังหวัดทั้ง 4 แห่งประกอบ อ.เมือง, อ.จัตุรัส, อ.แก้งคร้อ และอ.ภูเขียว ร่วมประชุมกับ ร.ต.อ.เฉลิม และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทยผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่ ห้องประชุมภูแลนคา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ เพื่อกำชับเรื่องการเผยแพร่สัญญาณรายการ ASTV ของเคเบิลทีวี โดยพยายามตะแบงอ้างข้อกฎหมายข่มขู่ต่างๆนานา

โดยพยายามข่มขู่ย้ำว่า หากในช่วงไหนที่มีการพูดคำหยาบหรือไม่เหมาะสมในลักษณะเข้าข่าย โจมตี หมิ่นประมาท หรือกระทบความมั่นคงของชาติ ทางบริษัทเคเบิลต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่มอนิเตอร์เพื่อดูดเสียงในช่วงนั้นทันทีและถ้าหากเพิกเฉย ไม่ยอมดำเนินอะไร ต้องรับผิดชอบโทษทางกฎหมายหากมีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ

แหล่งข่าวแจ้งอีกว่า หลังจากกลับจากประชุมเมโทรเคเบิลทีวี ซึ่งมีสมาชิกในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิกว่า 2,000 คน ได้ทำการถ่ายทอดสัญญาณรายการของ ASTV ตามปกติ เพราะเห็นเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนบนเวที ในสถานการณ์ประจำวันโดยทางเคเบิลใช้คำขึ้นใต้จอว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

ต่อมาเวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงก็มีบุคคลหนึ่งอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากจังหวัดฯ ซึ่งต่อมาทราบว่า เป็น "ปลัดอาวุโสอำภเอเมืองชัยภูมิ" ได้เข้ามาเตือนพร้อมข่มขู่ถึงสำนักงานว่า ทำไมยังมีการถ่ายทอดสัญญาณอยู่ หากยังไม่ดำเนินการ อาจถูกแจ้งความถึงขั้นปิดสถานี ผู้จัดการบริษัท เมโทรเคเบิ้ลทีวี จึงได้สั่งถ่ายทอดสัญญาณ ASTV เฉพาะภาพแต่ปิดเสียงและคาดดำข้อความส่งผ่าน SMS ด้านล่างจอภาพ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง และขอหารือกับสมาคมเคเบิลฯ ก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

จากนั้นทันทีที่ได้ตัดสัญญาณเสียงของ ASTV ปรากฏว่าได้มีประชาชนสมาชิกเคเบิลจำนวนมากโทรศัพท์เข้าสอบถามถึงเหตุผลของการตัดสัญญาณเสียงรายการของ ASTV เมื่อพนักงานบริษัทอธิบายเหตุผล ทางสมาชิกก็ต่อว่าอย่างหนักพร้อมประกาศยกเลิกการเป็นสมาชิกของเคเบิล และมีประชาชนจำนวนมากได้โทรศัพท์เข้าต่อว่าอย่างไม่ขาดสาย ทำให้บริษัท เมโทรเคเบิลทีวี ถึงขั้นต้องปิดสำนักงาน ไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อได้อีก
 
โดยผู้บริหารของบริษัท เมโทรเคเบิลทีวี ยอมรับว่า ได้รับผลกระทบเรื่องนี้มากหวั่นเกรงว่าสมาชิกจะยกเลิกการเป็นสมาชิกทั้งหมด ซึ่งก็ได้แต่ขอความเห็นใจกับสมาชิกว่าทางบริษัทเหมือนคนกลางที่ถูกบีบทั้ง 2 ข้างโดยความเป็นจริงแล้วไม่ต้องการทำอย่างนี้ แต่เพราะความจำเป็นที่ทุกคนที่ได้ติดตามรายการของ ASTV คงเข้าใจและขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

"เทพเทือก"ชี้ 8 ก.ค.น่าลุ้นกว่า 2 ก.ค.

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่าหลัง วันที่ 2 ก.ค. ทุกอย่างในบ้านเมืองจะเรียบร้อยว่า ต้องยอมรับว่าไม่เข้าใจ พ.ต.ท.ทักษิณ มานานแล้ว ตั้งแต่ยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ทำอะไรแปลกๆไปเรื่อยๆ แต่ตนรู้เพียงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนไม่หยุด ทั้งหมดนี้ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมหยุดคนเดียว ทุกเรื่องก็จะสงบเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม คิดว่า วันที 2 ก.ค. ไม่มีอะไรที่เป็นนัยสำคัญ แต่วันที่ 8 ก.ค. มีนัยสำคัญคือเป็นวันที่ศาลฎีกาจะตัดสินคดีใบแดง ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ทั้งนี้ตนไม่คิดว่า วันที่ 2 ก.ค. ฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณจะรู้ผลการตัดสินล่วงหน้า

เมื่อถามว่า มีโหรชื่อดังออกมาระบุว่า มีดาวเสาร์ ชนกับดาวอังคาร ถ้าหลังวันที่ 2 ก.ค.ไปแล้วสถานการณ์จะคลี่คลายไปเอง นายสุเทพ กล่าวว่า ตนเป็นชาวพุทธ เชื่อในกฎแห่งกรรม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ ดวงดาวคงไม่มีส่วนบงการอะไร และคงเป็นเพียงข้ออ้าง แต่ตนยังยืนยันว่าถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้จักหยุด รู้จักพอ รู้จักถอยบ้านเมืองก็จะสงบสุข ชีวิตของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะดี และเห็นว่า ถ้าโหรแม่นจริง พ.ต.ท.ทักษิณ จะตุหรัดตุเหร่ อยู่อย่างนี้หรือ

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการกล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า ไม่ทราบ ที่ท่านทักษิณ พูดมันเป็นเรื่องของโหราศาสตร์ ก็แล้วแต่ ใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ส่วนตนไม่ทราบเรื่องโหราศาสตร์ ต้องไปถามคนที่รู้

ขณะที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า ไม่ทราบ ไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ตนไม่รู้อะไร ความเห็นของตนก็เหมือนคนอื่นคือ ไม่ให้มีเรื่องเกิดขึ้น

นายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ไม่อยากให้ความเห็นในเรื่องนี้ เดี๋ยวจะหาว่าเป็นทนายอีก โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง อยากให้รัฐบาลใช้ผลงานพิสูจน์ โดยตั้งใจทำงาน ความนิยมของรัฐบาลอยู่ที่ผลงานไม่ได้ อาศัยดวงดาว

ขณะที่ นายพิภพ ธงชัย หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณแบบนี้ เป็นเพียงพยายามป้องกันตนเองไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น

ด้าน นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะดำเนินการอะไร แต่เชื่อว่า ต้องมีเหตุผลพอ ที่ออกมาพูดเช่นนั้น เพื่อทำให้เกิดผลดีกับทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะกับพรรคพลังประชาชน หรือรัฐบาลเท่านั้น แต่หากจะประเมินว่าสิ่งที่ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นได้ ก็คงเกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่อาจมีผู้มาช่วยถอดสลักให้เกิดความสงบกับบ้านเมือง

"อร่าม"อ้างลาออกไม่เกี่ยวบีบ"จรัส"

ผศ.อร่าม ศิริพันธุ์ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งใน 5 คนที่ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง เปิดเผยถึงกระแสข่าวยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งรองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เพราะไม่พอใจที่ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ซึ่งมีการมองว่าเป็นการบีบ นายจรัส ให้ลาออกจากตำแหน่งคณบดีรัฐศาสตร์ ว่า เหตุผลการลาออกทั้งหมดอยู่ใน หนังสือลาออก ซึ่งตนไม่อยากเปิดเผย เพราะเป็นเรื่องการบริหารภายในคณะ

ประเด็นที่พอจะพูดได้ คือ ตำแหน่งคณบดีเป็นตำแหน่งที่ต้องดูแลรับผิดชอบโครงการ Thailand Democracy Watch หรือโครงการศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่ต้องอาศัยความเป็นกลางทางการเมือง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร แต่การขึ้น เวทีพันธมิตรฯ ของ ศ.ดร.จรัส ทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่าผู้รับผิดชอบศูนย์ เลือกข้างฝ่าย หนึ่งฝ่ายใด ซึ่งจะทำให้คนภายนอกไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางของศูนย์นี้ได้ จะทำให้การบริหารงบที่มาจากภาษีราษฎรไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล แม้จะอ้างว่าเป็นการ ขึ้นเวทีนอกเวลาราชการ และไปในฐานะนักวิชาการ แต่ประชาชนก็รับรู้ว่า นายจรัส เป็นคณบดี และหมวกใบนี้ก็ติดตัว นายจรัส ตลอดเวลา จนกว่าจะหมดวาระ หากอยากจะขึ้นเวทีเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน ก็สามารถเลือกเวทีของสถาบันการศึกษา หรือจัดสัมมนาขึ้นในมหาวิทยาลัยเองก็ได้

ผศ.อร่าม กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ การลาออกของตน มีสาเหตุอีกประการ คือ เรื่องการบริหารจัดการภายใน ที่ทำให้ตนรู้สึกเหนื่อย จึงอยากจะหยุดพัก ด้วยเหตุผลดังกล่าวตน และรองคณบดีอีก 1 คน ผู้ช่วยคณบดี 2 คน และประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์การสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ครบรอบ 60 ปี รวมทั้งหมดจำนวน 5 คน มีความเห็นตรงกัน จึงร่วมลงชื่อในหนังสือลาออกฉบับเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ แต่ไม่คิดว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการกดดันหรือบีบให้ นายจรัส ลาออก

"ยืนยันว่า ที่ลงชื่อในหนังสือฉบับเดียวกัน ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะบีบให้ ศ.ดร.จรัส ลาออกจากตำแหน่ง และไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงขอร้องทุกฝ่ายว่าอย่ามากล่าวจาบจ้วงทำลายกันโดยไม่มีข้อมูล จะเป็นการสร้างความร้าวฉานในวงการวิชาการ โดยมีอาจารย์นักวิชาการเป็นเหยื่อ หาก ศ.ดร.จรัส อนุมัติให้ลาออกตั้งแต่ต้น ก็จบไปแล้ว และยืนยันว่า แม้ ศ.ดร.จรัส จะเรียกไปพูดคุยเรื่องนี้อย่างไร พวกเราทั้ง 5 คนจะไม่เปลี่ยนใจ เพราะขณะนี้ภาพลักษณ์พวกเราเสียหายไปมากเนื่องจากถูกเผยแพร่ออกไปสู่คนภายนอกโดยหยิบยกตัดตอนหนังสือเพียงบางส่วนเอาไปพูด หากเห็นหนังสือลาออกทั้งฉบับจะเข้าใจเหตุผลดีว่า ไม่ได้มีเหตุผลเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองใดๆ เลย และที่ไม่อาจเปลี่ยนใจกลับเข้าสู่ตำแหน่งได้ เนื่องจากจะถูกเข้าใจผิดได้ว่า ที่ยื่นหนังสือลาออกไปก็เพื่อการต่อรอง หรือเพื่อการเมือง ซึ่งไม่เป็นความจริง ฉะนั้น จึงยืนยันจะลาออกจากตำแหน่งแน่นอน" ผศ.อร่าม กล่าว

"ทาสแม้ว"คุกคามพันธมิตรฯ อุดร

วันเดียวกันเวลา 10.00 น.ที่บริเวณด้านหน้าอนุสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์อุดรกลางเมืองอุดรธานี นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ แกนนำกลุ่มพันธ์มิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรราว 50 คนได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ไม่เอารัฐบาลหุ้นเชิดแม้ว ภายใต้การบริหารงานของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่บริหารงานล้มเหลว ประสบปัญหาราคาน้ำมันแพง น้ำตาลแพง และราคาข้าวงแพง ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ซ้ำร้ายยังทำให้เกิดความแตกแยกของพี่น้องประชาชนในบ้านเมืองด้วย

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ฯได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลสมัคร 4 ข้อ คือ 1.ขอให้รัฐบาลหยุดพฤติกรรมในการคุกคามสื่อ โดยหลังจาก ร.ต.อ.เฉลิม ประกาศให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดสั่งการให้เคเบิลทีวีทุกแห่งหยุดการถ่ายทอดช่องข่าวสารของ ASTV ซึ่งเป็นการปิดกันข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง

2.ขอให้ ร.ต.อ.เฉลิม พร้อมคณะยุติการบังอาจกล่าวพาดพิงที่ล่วงละเมิดพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัว ที่เป็นที่เคารพรักอย่างยิ่งชาวเมืองอุดรและชาวพุทธศาสนิกชนทั่วโลก 3.ขอให้กำลังใจต่อหน่วยงานราชการและองค์กรอิสระต่างๆ ที่ทำงานเพื่อชาติและประชาชนไม่อยู่ภายใต้อำนาจมืดขอให้ท่านคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนจะอยู่เคียงข้างท่านไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม 4.ขอให้รัฐบาลทบทวนโครงการผันน้ำจากแม่น้ำโขงที่นายสมัคร ได้กล่าวไว้ในรายการสนทนาประสาสมัคร เมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 ซึ่งไม่มีการรับฟังความเห็นอย่างรอบด้านจากประชาสังคมที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องที่ได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ในภาคอีสาน

รายงานแจ้งว่า ในขณะที่กลุ่มพันธ์มิตรฯอุดรธานีกำลังอ่านแถลงการณ์นายขวัญชัย ไพรพนา พร้อมพวกชมคนรักอุดรจำนวน 200 คนได้เข้าทำการปิดล้อมโดยรอบอนุสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์ และขู่เข้ามาใช้กำลังป่าเถื่อนปิดล้อมสมัชชากลุ่มพันธ์มิตรฯอุดรธานี จนหวิดจะวางมวยกัน พร้อมทั้งพูดจาหยาบคายโจมตี นายเจริญ และพันธมิตรฯอยู่ตลอดเวลา
 
หลังจากนั้นกลุ่มนายเจริญได้เคลื่อนขบวนแบบอหิงสาด้วยความสงบ ไปมอบกระเช้าดอกไม้ให้กับตัวแทนบริษัท โฮมเคลเบิลทีวี และบริษัทยูทีวี ที่ยังเปิดสัญญาณช่อง ASTV อยู่ในขณะนี้ โดยไม่อยู่ภายใต้อำนาจมืดในการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารที่พี่น้องประชาชนในระบบประชาธิปไตยควรได้รับรู้

จากนั้นนายเจริญ และคณะได้เดินทางไปมอบกระเช้าดอกไม้ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นายสุพจน์ เลาห์วัลย์ศิริ ที่หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ได้มีตัวแทนคือนายกฤษฎา แก้วส่องเมือง ปลัดป้องกันจังหวัดอุดร เป็นตัวแทนมารับแทน

นายเจริญ เปิดเผยว่า สำหรับวันนี้ในการอ่านแถลงการณ์ให้พ่อแม่รับรู้ได้มีกลุ่มคนร้ายภายใต้แกนนำที่ได้ถูกตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีคนหนึ่ง พยายามจะใช้กำลังป่าเถื่อนทำร้ายเราและยังใช้เครื่องเสียงกล่าวโจมตีตนที่บริเวณหน้าร้านทองของตนแถวตลาดบ้านห้วย ในขณะนั้นภรรยาและลูกอยู่ในร้าน อย่างไรก็ตาม ตนได้ติดต่อไปยังนายทหารคนหนึ่งที่ มทบ.24 และประสานไปยังตำรวจภูธรอุดรธานี ให้ช่วยส่งกำลังเจ้าหน้าที่มาดูแลความปลอดภัยให้กับครอบครัวของตนแล้ว
ชำแหละ 2 กกต.ทาสแม้ว ฟ้อง"เหลิม"สั่งปิด ASTV วันนี้
ผู้จัดการรายวัน - พันธมิตรฯหลายหมื่นบุก กกต.ยื่น 4 ข้อเรียกร้อง พร้อมมอบดอกกุหลาบให้กำลังใจ “อภิชาต-ประพันธ์-สุเมธ” แจกพวงหรีด ดอกไม้จันทน์ไล่ “สมชัย-สดศรี” ด้าน กกต.รู้แกวแว่บเดินสายต่างจังหวัด “สุทธิพล” ระบุตั้ง กก.รื้อ 700 สำนวนคัดค้านเลือกตั้ง ส.ส.ยาก ด้าน “กำนันชัยวัฒน์” ขึ้นเวทีพันธมิตรฯประกาศสู้ตายเพื่อชาติ สมาคมสื่อออกแถลงการณ์จี้ตำรวจเร่งหาตัวมือปาระเบิดผู้จัดการ “ทนายกู้ชาติ” ยื่นฟ้องศาลปกครอง “เฉลิม” ออกคำสั่งข่มขู่เคเบิลทีวีไม่ให้ ถ่ายทอดสด ASTVมิชอบ “มท.1”ยันไม่ถอยสั่งผู้ว่าฯ ฟันต่อ ระบุละเมิดอำนาจรัฐ ปราศรัยผิดกม.ต้องดำเนินคดี
กำลังโหลดความคิดเห็น