ผู้จัดการออนไลน์ - “ปราโมทย์” อัดรัฐบาลพลังประชาชน ไม่ชอบด้วยกฏหมายตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง เพราะเป็นการสืบทอดอำนาจจากพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกศาลตัดสินเป็นปฏิปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง อ.ปราโมทย์ นาครธรรพ ปราศรัย
เวลา 20.30 น. ที่เวทีพันธมิตรฯ นายปราโมทย์ นาครธรรพ นักรัฐศาสตร์อาวุโส ขึ้นมาแสดงความคิดเห็นให้แก่กลุ่มผู้ชุมนุม โดยได้กล่าสวถึงความไม่ชอบธรรมและไม่ชอบด้วยกฏหมายของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นสาเหตุให้รัฐบาลนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนได้
ทั้งนี้ นายปราโมทย์ ได้ยกคำกล่าวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า “เราจำเป็นต้องต่อสู้กันต่อไป เพื่อเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้ และไม่ใช่ดังกล่าวอ้างว่ารุกคืบจะเอาศอกเหมือนที่บางคนพูด”
นักรัฐศาสตร์อาวุโส กล่าวว่า ตนมีหลักฐานทางวิชาการและทางกฎหมายที่ยืนยันได้ว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากรัฐบาลนี้สืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทย ซึ่งศาลได้ตัดสินให้พรรคดังกล่าวเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้น เมื่อศาลมีคำตัดสินดังกล่าวแล้วจึงมีตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย โดยไม่ให้ผู้นำและผู้บริหารของพรรคเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือใช้สิทธิทางการเมืองตลอดระยะเวลา 5 ปี อันได้แก่สิทธิการลงคะแนน สิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้ง และสิทธิในการเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง และไม่ให้ผู้บริหารเหล่านี้กระทำการ หรือกิจกรรมใดที่เกี่ยวข้อกับการเมือง หรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของศาล
โดยการที่ผู้นำ หรือผู้บริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกสาลยุบพรรค เข้ามาจัดตั้งพรรคพลังประชาชน ดังนั้นจึงทำให้พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่ไม่ชอบทำตามกฏหมาย หรือเป็นพรรคที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ์เป็นประมุยด้วยเช่นกัน
สำหรับกลวิธีในการละเมิดและการเป็นปฏิปักษ์ของพรรคดัวงกล่าวนั้น นายปราโมทย์กล่าวว่าเรื่องนี้มีด้วยการหลายตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัดคือกรณีของนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งได้ไปปราศรัยว่าหลวงตามหาบัว พยายามที่จะประจบในหลวงเพื่อหวังได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากอย่างดูแลกรมศาสนาที่มีทรัพย์สินมหาศาลมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ข้าราชบริพารในวัง ยกเว้นไม่เกี่ยวกับบุคคลชั้นสูง ล้วนเป็นพวกปิ้นปล้อน โกหก รวมถึงกล่าวอ้างว่าตนมีความพร้อมทั้งกำลัง พรรคพวกที่พอจะต่อสู่กับนางพญาผมขาว (ป๋าเปรม) แต่ถูกสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ออกมาห้ามว่าไม่ควรเพราะมีผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลัง
“ยุทธวิธีเหล่านี้พวกเขายังทำการกันอยู่อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากคำสัมภาษณ์การลาออกจากตำแหน่งของจักรภพที่อ้างว่าเป็นกลยุทธ์ เสียเบี้ยเพื่อรักษาขุน”
นายปราโมทย์ กล่าวว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งตนไดขียนหนังสือฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งสือแจกฟรีจำนวน 10,000 เล่ม โดยมีเนื่อหาเกี่ยวกับพระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง และหากเลือกพรรคพลังานประชาชนมาเป็นรัฐบาลแล้ว จะทำให้ประชาชนทุกคนต้องประสบปัญหา
ทั้งนี้ ส่วนตัวของย้ำว่าพรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่ไม่ชอบตามกฏหมาย จึงไม่มีสภาพการเป็นพรรค โดยเฉพาะพวกกรรมการบริหาร และผู้นำ โดยแต่เดิมพรรคแห่งนี้มีสามขาเพียง 4 แห่ง กรรมการบริหารพรรคเพียง 23 คน สมาชิกแค่ 8,000 ราย แต่หลังจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบ บรรดาผู้นำ หรือกรรมการ และสมาชิกต่างย้ายมาอยู่ที่พรรคพลังงานประชาชนจนทำให้มีสมาชิกทั้งกว่าแสนราย แต่ผิดกฏหมายเลือกตั้งที่ได้กำหนดระยะเวลาการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งสมาชิกที่เข้ามาไหม่นี้ม่าสภาพเป็นสมาชิก หรือไม่ถูกต้องตามกฏและข้อกำหนดตามกฎหมายเลือกตั้ง ซี่งดังกล่าวแม้แต่เจ้าหน้าที่กกต.ที่รับเนื่องร้องทุกข์ ยังเห็นด้วย
“สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้เราเห็นว่า พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีการกระทำที่ผิดหลักจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายข้อาราชการระดับผู้บริหารที่ซื้อตรง รวมถึงล่าสุดการจับกุมผู้พิพากษาอดีตดีเอสไอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้รู่สึกว่าประเทศไทย กำลังจะกลายเป็นรัฐตำรวจไปแล้ว”
นอกจากนี้ นายปราโมทย์กล่าวถึงความไม่ใส่ใจในปัญหาปากท้องของประชาชน โดยเฉพาะภาวะราคาน้มันแพง แต่บริษัทที่ดำเนินการกับกำไรมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งย้ำชัดถึงความไม่ใส่ในการบริหารประเทศ ดังนั้นประชาชนทุกอย่าได้เชื่อถือคำพูดของคนจากรับบาลที่ว่าให้มาพูดจากันดีในสภา เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมถึงข้ออ้างที่กล่าวว่าพวกตนเองเป็น ส.ส.จึงมีสิทธิ์ที่ยื่นแก่ร่างรัฐธรรมนูญได้ ดังนั้นสรุปแล้วพวกเราทุกคนยังต้องเหนื่อยกันอีก แต่เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง อ.ปราโมทย์ นาครธรรพ ปราศรัย
เวลา 20.30 น. ที่เวทีพันธมิตรฯ นายปราโมทย์ นาครธรรพ นักรัฐศาสตร์อาวุโส ขึ้นมาแสดงความคิดเห็นให้แก่กลุ่มผู้ชุมนุม โดยได้กล่าสวถึงความไม่ชอบธรรมและไม่ชอบด้วยกฏหมายของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นสาเหตุให้รัฐบาลนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนได้
ทั้งนี้ นายปราโมทย์ ได้ยกคำกล่าวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า “เราจำเป็นต้องต่อสู้กันต่อไป เพื่อเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้ และไม่ใช่ดังกล่าวอ้างว่ารุกคืบจะเอาศอกเหมือนที่บางคนพูด”
นักรัฐศาสตร์อาวุโส กล่าวว่า ตนมีหลักฐานทางวิชาการและทางกฎหมายที่ยืนยันได้ว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากรัฐบาลนี้สืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทย ซึ่งศาลได้ตัดสินให้พรรคดังกล่าวเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้น เมื่อศาลมีคำตัดสินดังกล่าวแล้วจึงมีตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย โดยไม่ให้ผู้นำและผู้บริหารของพรรคเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือใช้สิทธิทางการเมืองตลอดระยะเวลา 5 ปี อันได้แก่สิทธิการลงคะแนน สิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้ง และสิทธิในการเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง และไม่ให้ผู้บริหารเหล่านี้กระทำการ หรือกิจกรรมใดที่เกี่ยวข้อกับการเมือง หรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของศาล
โดยการที่ผู้นำ หรือผู้บริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกสาลยุบพรรค เข้ามาจัดตั้งพรรคพลังประชาชน ดังนั้นจึงทำให้พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่ไม่ชอบทำตามกฏหมาย หรือเป็นพรรคที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ์เป็นประมุยด้วยเช่นกัน
สำหรับกลวิธีในการละเมิดและการเป็นปฏิปักษ์ของพรรคดัวงกล่าวนั้น นายปราโมทย์กล่าวว่าเรื่องนี้มีด้วยการหลายตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัดคือกรณีของนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งได้ไปปราศรัยว่าหลวงตามหาบัว พยายามที่จะประจบในหลวงเพื่อหวังได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากอย่างดูแลกรมศาสนาที่มีทรัพย์สินมหาศาลมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ข้าราชบริพารในวัง ยกเว้นไม่เกี่ยวกับบุคคลชั้นสูง ล้วนเป็นพวกปิ้นปล้อน โกหก รวมถึงกล่าวอ้างว่าตนมีความพร้อมทั้งกำลัง พรรคพวกที่พอจะต่อสู่กับนางพญาผมขาว (ป๋าเปรม) แต่ถูกสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ออกมาห้ามว่าไม่ควรเพราะมีผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลัง
“ยุทธวิธีเหล่านี้พวกเขายังทำการกันอยู่อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากคำสัมภาษณ์การลาออกจากตำแหน่งของจักรภพที่อ้างว่าเป็นกลยุทธ์ เสียเบี้ยเพื่อรักษาขุน”
นายปราโมทย์ กล่าวว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งตนไดขียนหนังสือฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งสือแจกฟรีจำนวน 10,000 เล่ม โดยมีเนื่อหาเกี่ยวกับพระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง และหากเลือกพรรคพลังานประชาชนมาเป็นรัฐบาลแล้ว จะทำให้ประชาชนทุกคนต้องประสบปัญหา
ทั้งนี้ ส่วนตัวของย้ำว่าพรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่ไม่ชอบตามกฏหมาย จึงไม่มีสภาพการเป็นพรรค โดยเฉพาะพวกกรรมการบริหาร และผู้นำ โดยแต่เดิมพรรคแห่งนี้มีสามขาเพียง 4 แห่ง กรรมการบริหารพรรคเพียง 23 คน สมาชิกแค่ 8,000 ราย แต่หลังจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบ บรรดาผู้นำ หรือกรรมการ และสมาชิกต่างย้ายมาอยู่ที่พรรคพลังงานประชาชนจนทำให้มีสมาชิกทั้งกว่าแสนราย แต่ผิดกฏหมายเลือกตั้งที่ได้กำหนดระยะเวลาการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งสมาชิกที่เข้ามาไหม่นี้ม่าสภาพเป็นสมาชิก หรือไม่ถูกต้องตามกฏและข้อกำหนดตามกฎหมายเลือกตั้ง ซี่งดังกล่าวแม้แต่เจ้าหน้าที่กกต.ที่รับเนื่องร้องทุกข์ ยังเห็นด้วย
“สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้เราเห็นว่า พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีการกระทำที่ผิดหลักจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายข้อาราชการระดับผู้บริหารที่ซื้อตรง รวมถึงล่าสุดการจับกุมผู้พิพากษาอดีตดีเอสไอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้รู่สึกว่าประเทศไทย กำลังจะกลายเป็นรัฐตำรวจไปแล้ว”
นอกจากนี้ นายปราโมทย์กล่าวถึงความไม่ใส่ใจในปัญหาปากท้องของประชาชน โดยเฉพาะภาวะราคาน้มันแพง แต่บริษัทที่ดำเนินการกับกำไรมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งย้ำชัดถึงความไม่ใส่ในการบริหารประเทศ ดังนั้นประชาชนทุกอย่าได้เชื่อถือคำพูดของคนจากรับบาลที่ว่าให้มาพูดจากันดีในสภา เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมถึงข้ออ้างที่กล่าวว่าพวกตนเองเป็น ส.ส.จึงมีสิทธิ์ที่ยื่นแก่ร่างรัฐธรรมนูญได้ ดังนั้นสรุปแล้วพวกเราทุกคนยังต้องเหนื่อยกันอีก แต่เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้
