xs
xsm
sm
md
lg

หักเขี้ยวกลุ่มบุรีรัมย์!!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ก็เป็นอันว่าญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ของฝ่ายรัฐบาลตกกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว และพร้อม ๆ กันนั้นหมากตัวหนึ่งของขบวนการใหญ่ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ได้แถลงลาออกจากตำแหน่งแล้ว

นับว่าเป็นผลและเป็นชัยชนะของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สำคัญอีกก้าวหนึ่ง

แต่อย่าเพิ่งดีใจ เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่ของจริง มันเป็นเพียงการเดินเกมกลทางการเมืองชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “อุบายปลดเกาทัณฑ์” เพื่อลดกระแสต่อต้านของประชาชนผู้มีความจงรักภักดี ที่มุ่งพิทักษ์ปกป้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น

ในขณะที่ทำบทความนี้ก็ไม่รู้ว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเอาอย่างไรกันแน่? คือจะยอมสลายตัวหรือว่าจะชุมนุมต่อไปโดยมีข้อเรียกร้องใหม่ ซึ่งขณะนี้อาจจะมีความชัดเจนขึ้นแล้วก็เป็นได้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ต้องการจะว่ากล่าวในวันนี้

ก่อนอื่นก็ต้องย้ำว่าการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัดตอนคดีที่ คตส. สอบสวนและคดีโกงเลือกตั้งไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เป็นความจำเป็นและเป็นความต้องการสูงสุดของผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังฝ่ายรัฐบาลในขณะนี้

เพราะการเสี่ยงต่อการถูกยึดทรัพย์สินนับแสนล้าน เสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค เสี่ยงต่อการติดคุกติดตะรางนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ ทั้งไม่อาจรับความเสี่ยงเช่นนั้นได้

และวิธีที่จะไม่ต้องรับความเสี่ยงเช่นนี้ก็มีหนทางอยู่ไม่มากนัก กล่าวโดยกว้างก็เห็นจะมีอยู่เพียงสามทางคือ

หนึ่ง ซื้อกลไกในกระบวนการยุติธรรมจนมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะปลอดภัยจากการถูกยึดทรัพย์ จากการถูกยุบพรรค และจากการติดคุกติดตะราง

แต่ทางนี้ยากจะหาความมั่นใจเต็มเปี่ยมได้เพราะมีความผันแปรหวั่นไหวไกวแกว่งจนยากจะหยั่งคาด แม้บางครั้งจะดูเหมือนว่าควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ไม่มีทางมั่นใจได้ว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ตลอดไปทุกครั้งได้

สอง แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัดตอนไม่ให้คดีทุจริตเลือกตั้งและคดีที่ คตส. ตรวจสอบเข้าสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง

เขาเลือกเดินหนทางสายนี้เพราะสำคัญผิดในเรื่องสำคัญที่สุดสามเรื่องคือ สำคัญผิดว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้มหายตายซากไปหมดแล้ว ไม่มีใครมาขัดขวางขัดคอได้อีกต่อไปแล้วเรื่องหนึ่ง สำคัญผิดว่าประชาชนจะรู้ไม่เท่าทันเรื่องหนึ่ง และสำคัญผิดว่าจะสามารถดึงมวลชนมาสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นกอบเป็นกำได้อีกเรื่องหนึ่ง

แต่ผิดใหญ่ผิดโต เป็นการคาดผิด คิดผิด และนำไปสู่การทำผิด เพราะความจริงไม่ได้เป็นดังที่คาดหมายหรือคาดคิดหรือที่คิดแม้แต่อย่างเดียว ความจริงเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามทั้งนั้น

กลุ่มบุรีรัมย์ได้รับความวางใจให้เป็นผู้เดินเกมแก้รัฐธรรมนูญ โดยใช้แนวทางสายเหยี่ยวและใช้นักเลงอันธพาลออกหน้า ทั้งในส่วนของรัฐบาล ทั้งในสภาและนอกสภา ซึ่งได้เร่งความพินาศฉิบหายให้เร็วขึ้น

อันกลุ่มบุรีรัมย์นั้นเป็นกลุ่มที่เรืองอำนาจมากที่สุดในฝ่ายรัฐบาลวันนี้ มีโควต้ารัฐมนตรีถึง 6 คน คุมเกมกลของสภาโดยผ่านประธานสภาผู้แทนอีก 1 ตำแหน่ง และยังมีอำนาจควบคุมบงการอย่างลึกลับอยู่ภายในพรรคอีกทางหนึ่ง จึงเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากชัยชนะของพรรคพลังประชาชน

เป็นที่หมั่นไส้และไม่พอใจของบรรดาสายตรง สายเก่า และสายอื่นๆ ในพรรค ดังนั้นการขับเคี่ยวแก่งแย่งแข่งดีกันภายในพรรครัฐบาลจึงเกิดขึ้นและขยายตัวไปอย่างซึมลึก

กระบวนการหักเขี้ยวกลุ่มบุรีรัมย์จึงเกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายกลุ่มภายในพรรค ดังนั้นเมื่อสถานการณ์อำนวยจึงสามารถโน้มน้าวจูงใจและกดดันจนทำให้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องตกไป

สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มบุรีรัมย์อย่างรุนแรง ถึงกับขู่ว่าพร้อมจะเข้าชื่อยื่นญัตติเข้ามาใหม่ เพราะการที่ญัตตินี้ล้มไปทำให้เสียหน้าคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มและคนที่เป็นประธานรัฐสภาอย่างรุนแรง และย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าความพ่ายแพ้ในเกมการเมืองภายในครั้งนี้จะทำให้สถานการณ์ของกลุ่มบุรีรัมย์ย่ำแย่ลง

แต่ทว่ากลุ่มบุรีรัมย์มีกำลัง ส.ส. ในมือเกือบครึ่งของพรรคพลังประชาชน ทั้งมีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจและมีความสามารถในบางด้านชนิดที่ไม่มีใครหน้าไหนในพรรคทำได้ ดังนั้นการหักเขี้ยวกลุ่มบุรีรัมย์จึงคงได้ผลเพียงชั่วคราว แต่คงไม่สามารถลดอำนาจอิทธิพลของกลุ่มนี้ลงไปได้ในเร็ววัน

จะยังคงมีการขับเคี่ยวต่อสู้กันภายในอย่างเข้มข้นหนักหน่วงและรุนแรงมากขึ้น

กระแสเรียกร้องภายในให้ปรับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกจากตำแหน่งนั้นก็คือปรากฏการณ์ขับเคลื่อนของความขัดแย้งภายในพรรคที่ชัดเจนที่สุด

การที่ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญตกกระป๋องจึงทำให้คนที่เป็นเจ้าของพรรคมีความเสี่ยงภัยอย่างใหญ่หลวง และทำให้เวลาโล่งอกโล่งใจเนิ่นช้าห่างไกลออกไปจนความหวังทำท่าจะลางเลือนมากขึ้นทุกที

ดังที่เคยคาดคะเนไว้แล้วว่าชะดีชะร้ายไอ้พวกจอมวางแผนทางการเมืองภายในพรรคอาจวางแผนลอยแพใครบางคนให้เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเอาเองแต่ผู้เดียว แล้วชิงอำนาจยึดครองพรรคขึ้นเป็นใหญ่เสียเองตามที่ปรากฏข่าวว่ามีคำพยากรณ์ของหมอผีเขมรว่าใครบางคนจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีในอีก 3-4 ปีข้างหน้านี้

นี่ก็เป็นเวรกรรมอย่างหนึ่งของคุณทักษิณ ชินวัตร และเป็นเรื่องที่จะมองข้ามหรือดูแคลนไม่ได้เป็นอันขาด

บทเรียนของตั๋งโต๊ะ อัครมหาเสนาบดีในยุคแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้ในเรื่องสามก๊กที่ถูกลิโป้ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมสังหารอาจจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี

สมัยนั้นตั๋งโต๊ะไว้วางใจลิโป้ยอดขุนพลฝีมือดีลำดับหนึ่งของแผ่นดินที่มีความกล้าหาญแกร่งกล้าทำการใดได้ดังใจหมายทุกสิ่งอย่าง ให้เข้านอกออกในได้ทุกวันเวลา สามารถออกความคิดความเห็นสิ่งใดหรือกระทำการสิ่งใดก็เสมอด้วยความคิดความเห็นและการกระทำของตั๋งโต๊ะเอง

ไว้วางใจถึงขนาดยกฐานะขึ้นเป็นบุตรบุญธรรมกันเลยทีเดียว!

แต่แล้วเมื่อกาลวินาศมาถึง ตั๋งโต๊ะก็ถูกบุตรบุญธรรมที่ไว้วางใจมากที่สุดคือลิโป้สังหารโหด เป็นการปิดฉากอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตั๋งโต๊ะในบัดนั้น

แล้วใครล่ะที่น่าจะเป็นลิโป้ในยุคนี้?

สาม การรัฐประหารตัวเอง โดยความหมายก็คือสนับสนุนให้พวกพ้องก่อการรัฐประหาร ซึ่งอาจจะเสกสรรปั้นแต่งข้ออ้างใด ๆ ขึ้นมาได้ตามใจชอบ ครั้นกระทำการรัฐประหารแล้วก็ปลดยันต์ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่เพิกถอนสิทธิทางการเมืองของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เปิดทางให้ก้าวสู่อำนาจทางการเมืองได้อีกครั้งหนึ่ง แล้วยกเลิก คตส. ตลอดจนผลการดำเนินงานของ คตส. ทั้งหมด พร้อมกับยุบพรรคการเมืองทั้งหมด

จากนั้นก็ให้ตั้งพรรคการเมืองกันใหม่ แล้วรวมเอานักการเมืองสารเลวทั้งหลายเข้ามาอยู่ในสังกัดเหมือนยุคพรรคไทยรักไทย จากนั้นก็จัดให้มีการเลือกตั้งในขณะที่ถืออำนาจรัฐไว้ในมือ ก็จะได้ ส.ส. ข้างมากเพียงพรรคเดียวและจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ครองอำนาจเบ็ดเสร็จทุกประการ

แต่การจะทำการรัฐประหารตัวเองได้นั้นก็ต้องครองอำนาจทางทหารให้ได้เสียก่อน ซึ่งวันนี้ก็ยังมีปัญหาและอุปสรรคจนยากที่จะไว้วางใจใครได้

เพราะนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ครองตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไว้เสียเอง ไม่ยอมแต่งตั้งบุคคลที่ผู้มีอำนาจวางใจให้ได้ครองตำแหน่งนี้

มิหนำซ้ำ ยังแสดงท่าทีปรับทุกข์ผูกมิตรจับไม้จับมือเป็นฝักฝ่ายกับบรรดานายทัพนายกองทั้งปวงเสียอีก เท่านั้นยังไม่พอ ยังตั้งตัวเป็นฝ่ายเป็นก๊กอีกต่างหาก ไม่ขึ้นต่อหรือฟังคำสั่งอย่างสมบูรณ์เหมือนกับที่เคยเข้าใจกันมาก่อน

กำลังและอำนาจทางการทหารก่อนเลือกตั้งเป็นอย่างไร ในวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น จึงยังหวังอะไรในเรื่องการรัฐประหารตัวเองได้โดยยาก

เพราะการทหารนั้นเป็นเรื่องล้ำลึกสุดจะหยั่งคาด ความจริงกับที่เห็น ธาตุแท้กับปรากฏการณ์อาจจะไม่เหมือนกัน ไม่เห็นหรือว่าก่อน 19 กันยายน 2549 รัฐบาลนั้นมั่นใจสักเพียงไหนว่าครองอำนาจทหารเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่พอเอาเข้าจริงทั่วทั้งกองทัพกลับเป็นเอกภาพ และล้มรัฐบาลนั้นไปในชั่วพริบตาเดียว

ที่นายจักรภพ เพ็ญแข คุยโวโอ้อวดว่าเตรียมกำลังไว้พร้อมแล้ว หากต่อสู้กับพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เพียงคนเดียวก็จบไปแล้วเป็นเรื่องผายลม หาสาระและความจริงอันใดไม่ได้ เป็นเรื่องของปลาที่หาญกล้าคุยโวสภาพป่าดงพงไพรให้เสือฟังเท่านั้น

เพราะเรื่องราวทางการทหารล้ำลึกสุดจะหยั่งคาด ความคิดที่จะใช้กำลังเล็กและเคลื่อนที่เร็ว ประสานกับเครือข่ายสื่อและมวลชนจึงผิดพลาดล้มเหลวไม่เป็นท่าครั้งแล้วครั้งเล่า

จนใครเขาก็จับได้ไล่ทัน และที่ยังไม่มีใครรู้ก็คือจะมีการขุดหลุมวางขวากและกับดักระเบิดหลอกให้คนรัฐประหารตัวเองหรือไม่

ทางเดินทั้งสามทางนี้ล้วนมีอุปสรรคขวากหนามทั้งนั้น

ทางแรก ในการต่อสู้คดีมีความสุ่มเสี่ยงและหาหลักประกันที่แน่นอนอันใดไม่ได้

ทางที่สอง ก็เกิดการหักเขี้ยวหักแข้งหักขาและทานกระแสประชาชนผู้มีความจงรักภักดีไม่ได้ จะดันต่อไปก็คงจะยากเต็มที แต่จะหยุดยั้งเสีย หนทางข้างหน้าก็ตีบตัน

ทางที่สาม ซึ่งดูเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นไปได้และน่าจะเป็นหนทางเลือกหรือเป็นหมากตาบังคับที่จะต้องเดิน แต่อันตรายใหญ่หลวงนัก พลาดพลั้งเข้าก็อาจจะแพ้ทั้งกระดาน แม้ชีวิตก็อาจรักษาไว้ได้ยาก เพราะการทหารนั้นสุดจะหยั่งคาดจริง ๆ

นี่แหละที่เขาว่าบุญทั้งหลายมีอานิสงส์ กรรมทั้งหลายมีวิบาก เกิดเป็นคนจะคิดอ่านประการใดก็ได้ แต่ความสำเร็จนั้นสุดแต่ฟ้าบันดาล

เพราะเหตุนี้กฎแห่งฟ้าจึงมีว่า ผู้ใดครองตนสอดคล้องกับกฎเกณฑ์แห่งฟ้าก็จะได้รับมงคล ผู้ใดครองตนไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์แห่งฟ้าก็จะได้รับอัปมงคล การได้รับมงคลหรืออัปมงคลเป็นเพราะการครองตนของตน อย่าโทษว่าฟ้าบันดาลเลย.
กำลังโหลดความคิดเห็น