xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัส “เพ็ญ” ใช้เทคนิคคำพูดกระทบสถาบัน - จงใจข่ม “ป๋า” เชิดชู “แม้ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้ดำเนินรายการ
ผู้เชี่ยวชาญภาษาถอดรหัสคำพูด “จักรภพ” ที่แอลเอ สะท้อนความคิดฝังหัวเชื่อปฏิวัติ 19 ก.ย. มีบุคคลสูงกว่าทหาร-พล.อ.เปรมอยู่เบื้องหลัง แถมแค้นจัดเรียกเป็นโจร ใช้เทคนิคการพูดเหน็บแนมเป็นนายกฯ ไทยต้องประจบเก่ง ส่วน “ลูกพี่แม้ว” มัวแต่ทำงาน แถมเปรียบ ปธ.องมนตรีเป็นขันทียุคจักรพรรดิองค์สุดท้าย จงใจเรียก “ปู้ยี่” สะท้อนความคิดแง่ลบต่อระบอบกษัตริย์จีน โยงถึงสถานการณ์ในไทย ส่วนการพูดที่เอฟซีซีที จงใจใช้คำภาษาอังกฤษให้ภาพลบต่อระบบอุปถัมภ์ที่เริ่มโดยกษัตริย์ในยุคสุโขทัย เชิดชูประชาธิปไตยแบบทักษิณ

คลิก! ฟังรายการ"รู้ทันประเทศไทย"วันที่ 22 พ.ค.2551

รายการ “รู้ทันประเทศไทย” ดำเนินรายการโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายแสงธรรม ชุนชฎาธาร ออกอากาศทางเอเอสทีวี เวลา 19.00-20.30 น.วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้เชิญ ผศ.ดร.เอื้อจิตร วิโรจน์ไตรรัตน์ ผอ.โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาพของสังคม หรือ มิเดียมอนิเตอร์ และ ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมวิเคราะห์คำพูดของนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่พูดไว้ในที่ต่างๆ ในลักษณะที่หมิ่นเหม่ ว่ามีความหมายหรือนัยอย่างไร

โดยเฉพาะการพูดที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 พ.ย.50 ซึ่งนายจักรภพได้พูดถึงการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไว้ดังนี้

“คุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ผมทำงานด้วย ไม่อยากจะวิจารณ์ผู้บังคับบัญชาเลย แต่นี่มันบ้านเมืองใหญ่กว่า ความรู้สึกส่วนตัว คุณสุรเกียรติ์อยู่ได้จนถึงนาทีสุดท้าย เพราะอะไร อยู่เพื่อจะกระซิบคุณทักษิณที่นิวยอร์กว่าอย่าไปสู้เลย รัฐประหารครั้งนี้เนี่ยสูงมาก

ซึ่งเป็นผลให้คุณทักษิณตัดสินใจไม่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เพราะอยากเห็นความสมานฉันท์ในบ้านเมือง ผมนะเสียใจมาก ถ้ารู้ว่ารับมืออยู่กับโจรเนี่ย เชียร์ให้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไปซะนานแล้ว ทางนี้จะได้กลายเป็นเถื่อนไปให้หมด

ทางนี้หมายถึงที่กรุงเทพฯ นะ ไม่ว่าจะฤาษีเลี้ยงเต่าหรือเต่าควายอะไรทั้งหลายนั่นหนะ เถื่อนทั้งนั้น ...เถื่อนทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นเนี่ย มันมีเหตุผลที่จะต้องตัดสินใจยามคับขัน ผมเห็นใจท่านนายกฯ ตอนนั้นผมอยู่ที่กรุงเทพฯ นะครับ ท่านนายกฯ อยู่นิวยอร์ก ผมไม่ได้ไปด้วย เพราะว่าเราเริ่มได้กลิ่นอะไรไม่ค่อยดีกัน

อ่ะ ตรงนี้ในเมื่อเข้าซอยตรงนี้ ก็เล่าตรงนี้ว่า ทำไมไม่สู้ กำลังก็มี เตรียมไว้แล้วด้วย

ก็ตอบสั้นๆ เท่านั้นล่ะครับ แล้วขอตอบประโยคเดียว ใครถามก็จะร้องเพลงให้ฟังแทน ไม่ตอบเพิ่มว่า ..เหตุที่ ไม่สู้ ก็เพราะว่า เราเตรียม กำลังไว้ สู้กับคุณเปรมเท่านั้น ถ้าเป็นเฉพาะคุณเปรมนั่นเหรอก็จบเกมไปนานแล้ว

เพราะว่าดูหนังจีนเรื่องเดียวกันรู้ว่าจะจัดการกับนางพญาผมขาวอย่างไร ดูเหมือนกันหนังเรื่องนี้ รู้วิธี

..ครับ ขันทีก็ได้ รู้ว่าเก็บไอ้ถ้วยที่เก็บของสำคัญจะเก็บไว้ตรงไหน ขันทีนี่ เขาต้องตัดของสำคัญแล้วเก็บใส่ถ้วยไว้ แล้วเวลาเปลี่ยนแผ่นดินในจีนนี่ ต้องเอาอวัยวะใส่ภาชนะนะฮะ แล้วเอาไว้บนตรงหัว แล้วก็เดินออก

ท่านต้องดูหนังเดอะลาสต์เอ็มเพอเรอร์ ที่ว่าด้วยไอ้ที่เกี่ยวกับ ปู้ยี่ หรือปูยี กษัตริย์องค์สุดท้ายของจีนก่อนการปฏิวัติเป็นสาธารณรัฐนี่ ...ขันทีเดิน ก็เอา..ใส่ไว้บนหัวแล้วเดินไป ผมตั้งใจจะไม่พูดภาษที่มันชัดเจนเกินไป กรุณาอย่าขึ้นภาพประกอบนะครับ ก็ทำอย่างนั้นแล้วก็เดินออกไป ก็รู้วิธีจัดการ

เพียงแต่ว่า เมืองไทยมันซับซ้อนกว่านั้น เพราะฉะนั้นนี่ คุณทักษิณก็เลยบินจากนิวยอร์ก ไปลอนดอน

ถ้าจะว่าไป ก็คือ ทำงานมากเกินไปด้วย ชั่วโมงงานนี่..ยาว ในขณะที่ช่วงเวลาแห่งการเอาใจ..สั้น นายกฯ เมืองไทย ต้องทำงาน 2 ใน 3 แล้วก็ประจบอีก 1 ใน 3 จะไปได้ดี ผมได้สูตรนั้นแล้ว แต่ถ้าหากว่าประจบ 2 ใน 3 แล้วทำงาน 1 ใน 3 ก็อาจจะเป็นมหาบุรุษ (เสียงหัวเราะ ปรบมือ) ไม่ใช่นายกฯ เฉยๆ”

**อึ้ง! คำพูด “จักรภพ”

ดร.อนันต์ กล่าวว่า เมื่อฟังนายจักรภพพูด ไม่นึกว่าจะพูดออกมาแบบนี้ ตกใจพอสมควร ที่จริงก่อนมารายการนี้ได้อ่านคำถอดเทปที่นายจักรภพพูดที่ชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไทย (เอฟซีซีที) แล้ว แต่เมื่อได้ฟังเทปเมื่อสักครู่นี้ มันย้ำชัดเจนมากกว่า นายจักรภพใช้น้ำเสียง ในข้อความที่ตนเองต้องการเน้น แม้จะไม่พูดออกมาชัดเจน แต่ด้วยวิธีการเน้นคำให้ผู้ฟัง ถูกตอกย้ำอย่างมั่นคง จนมั่นใจว่าผู้พูดหมายถึงอะไร

ดร.อนันต์ กล่าวต่อว่า นายจักภพเน้นอยู่ 2 จุด ข้อความตอนแรกที่อ้างอิงถึงนายสุรเกียรติ์ว่า ได้กระซิบบอก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าอย่าสู้ เพราะรัฐประหารครั้งนี้ สูงมาก นายจักรภพเน้นคำว่าสูง ซึ่งตรงนี้อาจจะยังไม่ชัดเจน แต่พอต่อภาพกับอีกข้อความหนึ่ง โดยที่เรื่องที่พูดยังเป็นเรื่องเดิมอยู่ ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาแทรกเลย นายจักรภพบอกว่า “ใครถามก็จะร้องเพลงให้ฟังแทน ไม่ตอบเพิ่ม ว่าเหตุที่ไม่สู้ ก็เพราะว่า เราเตรียม กำลังไว้ สู้กับคุณเปรมเท่านั้น” นายจักรภพพูดแล้วหยุด 3 จังหวะ พูดคำว่า “เราเตรียม” หยุด “กำลังไว้” หยุด แล้วพูดว่า “สู้กับคุณเปรมเท่านั้น”

เสร็จแล้วยังมีข้อความต่อมาอีกว่า “ถ้าเป็นเฉพาะคุณเปรมนั่นเหรอก็จบเกมไปนานแล้ว” ทำให้ไปย้ำข้อความที่บอกว่ารัฐประหารครั้งนี้สูงมากชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้เรารู้ว่าเขาพูดถึงอะไร

ดร.อนันต์ กล่าวต่อว่า การพูดแค่นี้ก็ชัดเจนว่าหมายถึงอะไร โดยนายจักรภพต้องการให้เห็นว่าการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลชุดที่แล้ว คือรัฐบาลทักษิณ กับการรัฐประหาร 19 ก.ย. ในความคิดของนายจักรภพนั้น เขาคิดว่านั่นไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างหัวหน้าคณะทหารที่ทำการปฏิวัติ (กับรัฐบาลทักษิณ) แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างคนที่มีอิทธิพลสูงกว่าคณะทหารที่ทำการปฏิวัติ (กับรัฐบาลทักษิณ) ซึ่งเขาหมายถึง พล.อ.เปรม และเขายังเชื่อมโยงไปมากกว่านั้น ให้หมายถึงคนที่อยู่สูงกว่า พล.อ.เปรม ซึ่งเราเข้าใจได้ตรงกันว่า เขาหมายถึงใคร เพราะว่า พล.อ.เปรม ดำรงฐานะที่เป็นประธานองคมนตรี

นอกจากนี้ จากคำพูดที่ว่า “ถ้าเป็นเฉพาะคุณเปรมนั่นเหรอก็จบเกมไปนานแล้ว” แสดงว่า เขาคิดว่าถ้าต่อสู้เฉพาะกับคณะปฏิวัติธรรมดา ถ้าใช้กำลังทหารที่เตรียมไว้สู้เมื่อ 19 ก.ย. พวกเขาไม่มีวันจะพ่ายแพ้

**เหมารวม “19 ก.ย.” คือโจร

ส่วนข้อความที่ว่า “ผมนะเสียใจมาก ถ้ารู้ว่ารับมืออยู่กับโจรเนี่ย เชียร์ให้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไปซะนานแล้ว” คำว่าโจรในที่นี้จะหมายถึงใครนั้น ดร.อนันต์ กล่าวว่า คำนี้ตีความได้ยากว่าหมายถึงบุคคลที่มีฐานะสูงที่พูดก่อนหน้านั้น หรือหมายถึงบุคคลอื่น อาจจะหมายถึงกลุ่มคนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการยุดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย.

ดร.อนันต์ กล่าวว่า ถ้าตนตีความเอง โจรในที่นี้น่าจะหมายถึง คนที่เกี่ยวข้องทั้งกระบวนการ ซึ่งถ้านายจักรภพคิดว่ามีคนที่สถานะภาพสูงกว่า พล.อ.เปรมเกี่ยวข้องด้วย ก็น่าจะหมายความรวมเข้าไปด้วย แต่ถ้าจะตีความว่าโจรหมายถึงบุคคลคนเดียวก็ได้ แต่จะเป็นการเลือกตีความจนเกินไป แต่ถ้าตีความว่าทั้งกลุ่ม อาจจะดีกว่า แต่ไม่ว่าจะตีความอย่างไรเขาหมายรวมเอาบุคคลๆ หนึ่งเข้ามาอยู่ในคำที่เขาใช้คำว่าโจร

ส่วนที่นายจักรภพบอกว่าเสียใจนั้น น่าจะหมายถึงเสียใจที่ตัดสินใจผิดพลาดในการที่ไม่สู้และไม่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

ดร.อนันต์ ย้ำว่า เจตนาของนายจักรภพที่พูดเพียงแค่ต้องการให้ผู้ฟัง ได้เข้าใจสถานการณ์ตามการมองของเขา ที่ต้องการบอกว่าการรัฐประหาร 19 ก.ย.มีเบื้องหลังเช่นนี้

ด้าน ผศ.เอื้อจิตร กล่าวว่า ที่นายจักรภพพูดคำว่าโจรคงต้องการหมายความว่า คนที่มาปล้นมาขโมยในช่วงที่เจ้าของเขาไม่อยู่ ทิ้งบ้านไป แล้วมาปล้นมาขโมยไป

**ลามปามเปรียบ “ป๋า” เป็น “ขันที”

ส่วนที่นายจักรภพบอกว่า รู้ว่าจะจัดการกับ “นางพญาผมขาว” อย่างไร รู้ว่า “ขันที” ได้เก็บถ้วยที่เก็บของสำคัญไว้ตรงไหน คำว่าขันทีจะหมายถึงใครนั้น ผศ.เอื้อจิตร กล่าวว่า เป็นการพยายามพูดในเชิงเปรียบเทียบที่จะอธิบายเพิ่มเติมในเกี่ยวกับ พล.อ.เปรม

ด้าน ดร.อนันต์ กล่าวว่า เป็นการบรรยายลักษณะประจำตัว ซึ่งพิเศษแตกต่างจากคนอื่น เมื่อนายจักรภพพูดถึงชื่อของพล.อ.เปรมว่า “คุณเปรม” จากนั้นใช้คำว่า “นางพญาผมขาว” แล้วใช้คำว่า “ขันที” โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนบุคคล ไม่เปลี่ยนสถานการณ์ เพราะฉะนั้น คำ 3 คำนี้ มีค่าเท่ากันหมด แล้วพูดต่อกันด้วย

ตรงที่นายจักรภพพูดถึงกษัตริย์องค์สุดท้ายของจีนนั้น ดร.อนันต์กล่าวว่า จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิง หรือราชวงศ์แมนจูนั้น โดยปกติแล้วเราจะเรียกกันว่าจักรพรรดิปูยี่ หรือ ปูยี เราไม่เคยได้ยินใครออกเสียงว่า “ปู้ยี่” แบบนายจักรภพเลย ในกรณีนี้นายจักรภพใช้คำว่า “หรือ” จึงคิดว่าเป็นความจงใจ เนื่องจากเป็นเสียงวรรณยุกต์ที่เราไม่ใช้กัน เรารู้ว่าจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือพระเจ้าเฮนรี่ ปูยี่ แต่นายจักรภพเลือกใช้คำว่า ปู้ยี่ มันทำให้คนฟังมีจิตประวัติไปถึงคำว่า “ปู้ยี่ปู้ยำ” ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ ที่เขาเชื่อว่าคนที่ดำรงสถานภาพจักรพรรดิ แล้วก็ดำรงฐานะที่เป็นกษัตริย์ของประเทศ เขาคิดว่ากษัตริย์องค์นี้สร้างความเสียหายให้กับประเทศจีน ถ้าเรามีประสบการณ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนเราจะพอเข้าใจ

“แต่สิ่งที่น่าสนใจคือทำไมคุณจักรภพเลือกกล่าวถึงจักรพรรดิปูยี่ แล้วเลือกใช้คำที่ให้เสียงวรรณยุกต์แบบนี้ ไม่แน่ใจว่าบังเอิญหรือจงใจ แต่ถ้าจงใจคุณจักรภพก็ต้องรับผิดชอบเอาเอง”

ดร.อนันต์ กล่าวต่อว่า การที่นายจักรภพเปรียบเทียบ พล.อ.เปรมว่าเป็นขันที แล้วพูดถึงขันทีในราชสำนักของจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงด้วย แสดงว่าคนพูดต้องการที่จะสื่อถึงสถานการณ์บางอย่างในประเทศไทยด้วย เขาอาจจะมีความคิดว่าสถานการณ์ของประเทศไทย อาจจะเดินไปตามเส้นทางประวัติศาสตร์เฉกเช่นเดียวกับประเทศจีนในราชวงศ์สุดท้าย หากมีการปะทะกัน ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจที่จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ด้วยเหตุนี้เองที่ตอบคำถามว่าทำไมเขาถึงได้พูดว่าเขาเสียใจมาก

**เหน็บนายกฯ ไทยต้องประจบเก่งจึงได้เป็น “มหาบุรุษ”

สำหรับพูดประโยคที่ว่า “นายกฯ เมืองไทย นี่ ต้องทำงาน 2 ใน 3 แล้วก็ประจบอีก 1 ใน 3 ก็จะไปได้ดี ผมได้สูตรนั้นแล้ว แต่ถ้าหากว่าประจบ 2 ใน 3 แล้วก็ ทำงาน 1 ใน 3 ก็อาจจะเป็นมหาบุรุษ ไม่ใช่นายกฯ เฉยๆ” นั้น ผศ.เอื้อจิตรกล่าวว่า คำว่า “ประจบ” ต้องเป็นผู้น้อยประจบผู้ที่อยู่เหนือกว่า คงไม่มีผู้ใหญ่ไปประจบผู้น้อย เพราะฉะนั้นนายกฯ ก็ต้องประจบคนที่เหนือกว่า แล้วพวกเราก็รู้ว่า พล.อ.เปรมท่านเป็นรัฐบุรุษ เพราฉะนั้นมีคำว่าประจบ มีคำว่าถ้าประจบมากขึ้น ก็จะได้เป็นมหาบุรุษไปแล้ว ก็แสดงว่ามีความพยายามเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ คำพูดดังกล่าว นายจักรภพต้องการยกย่อง พ.ต.ท.ทักษิณว่า ทำแต่งานไม่มีเวลาไปประจบ ขณะเดียวกันก็กระทบกระทั่งไปถึง พล.อ.เปรมว่าประจบเก่งจนได้เป็นรัฐบุรุษ

ดร.อนันต์ กล่าวว่า ต้องขอชมว่านายจักรภพฉลาดที่จะพูดแบบนี้ เพราะเลือกที่จะพูดโดยไม่ใส่กรรมของประโยคว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องไปจบใคร 2 ใน 3 พ.ต.ท.ทักษิณจะประจบอาจารย์เอื้อจิตรหรือไม่ จะประจบอาจารย์เจิมศักดิ์ หรือไม่ หรือประจบผู้ฟังทางบ้าน ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร แม้ไม่ใส่กรรมให้กับกริยา “ประจบ” ก็ตีความได้ไม่ยากว่า เขาหมายถึงประจบใคร เพราะฉะนั้นถ้าเทียบเคียงกับ พล.อ.เปรมซึ่งมีฐานะเป็นรัฐบุรุษ ถ้าเขาประจบซะแล้วเขาจะเป็นมหาบุรุษ

**ข่มระบอบอุปถัมภ์แบบกษัตริย์ - เชิดชู ปชต.แบบ “แม้ว”

ส่วนเรื่องที่นายจักรภพพูดที่ชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (เอฟซีซีที) นั้น ดร.อนันต์ กล่าวว่า การพูดครั้งนั้นพูดก่อนจะพูดที่อเมริกา แต่ถ้าฟังการพูดทั้ง 2 สถานที่ จะเข้าใจความคิดของนายจักรภพมากขึ้น เวลาที่พูดที่เอฟซีซีทีค่อนข้างนานคือ 1 ชั่วโมง และบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ นายจักรภพเริ่มต้นพูดถึงระบบอุปถัมภ์ในไทยว่าเริ่มมีมาในสมัยสุโขทัย ด้วยการพูดถึงพ่อขุนรามคำแหง ในภาษาอังกฤษ คำที่นายจักรภพใช้ที่สำคัญมากคือคำว่า patronage system หรือ ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งมาจากคำว่า patron

ดร.อนันต์ กล่าวต่อว่า คิดว่านายจักรภพจงใจ เวลาพูดถึง patronage system แล้วเลือกมาพูดถึงพ่อขุนรามคำแหง ในฉบับภาษาอังกฤษ นายจักรภพใช้คำว่า Great Father Ramkhamhang แต่ก่อนหน้านั้นนายจักรภพพูดโดยใช้คำว่า Great Brother แล้วแก้เป็น Great Father การจงใจที่จะพูดผิดนั้น เป็นการย้ำว่า พ่อขุนรามคำแหงนั้นต้องเรียกว่า Great Father แล้วหลังจากนั้นตลอดเวลาก็ใช้คำว่า Great Father แทนสถานะที่เป็นกษัตริย์ แล้วมาพูดถึงอยุธยา รัตนโกสินทร์

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ รากศัพท์ดั้งเดิมของคำว่า patron นั้น มาจากภาษาละตินคำว่า pater มีกำเนิดศัพท์เดียวกับว่า father ที่แปลว่า บิดา เพราะฉะนั้นคิดว่านายจักรภพใช้คำว่า Great Father หรือ พ่อที่ยิ่งใหญ่ ล้อกับความหมายของตัวต้นศัพท์ของคำว่า patronage แล้วใช้คำว่า ระบอบอุปถัมภ์ เรื่อยมา

อย่างไรก็ตาม ดร.อนันต์ กล่าวว่า นายจักรภพได้ตีความคำว่า patronage system เข้าข้างตัวเอง และตีความผิด สังเกตจากคำถามของผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ถามนายจักรภพย้ำถึง 2 คำถามว่า สมัยของรัฐบาลทักษิณก็มีระบบอุปถัมภ์ และพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นวีรบุรุษที่ทำลายระบบอุปถัมภ์ทั้งยังสร้างระบบอุปถัมภ์เสียเอง แสดงว่าผู้สื่อข่าวต่างประเทศรู้ว่านายจักรภพตีความคำว่าระบอบอุปถัมภ์ผิด แล้วจงใจตีความเพื่อให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ภาพระบอบอุปถัมภ์ที่บิดเบี้ยวไป

ดร.อนันต์ กล่าวว่า นายจักรภพใช้คำว่าระบบอุปถัมภ์คู่กับคำว่า democracy หรือประชาธิปไตย ดูราวประหนึ่งว่าระบบอุปถัมภ์เป็นระบอบการปกครอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระบบอุปถัมภ์กับระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ระดับเดียวกัน สามารถที่จะอยู่ซ้อนกันได้ แต่ในระบบคิดของนายจักรภพนั้น ถ้าเลือกประชาธิปไตย ต้องประชาธิปไตยแบบทักษิณ ชินวัตร ต้องปฏิเสธ patronage system ที่ระบบกษัตริย์เริ่มมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
จักรภพ เพ็ญแข พูดกับคนไทยที่ แอลเอ.เมื่อ 10 พ.ย.50
ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล
ผศ.ดร.เอื้อจิตร วิโรจน์ไตรรัตน์
จักรภพ เพ็ญแข พูดที่ เอฟซีซีที เมื่อ 29 สิงหาคม 2550
กำลังโหลดความคิดเห็น