“เพ็ญ” ผวาทัศนคติอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิเสธข่าวล็อบบี้บุคคลระดับสูงหวังให้จบเรื่อง ขณะเดียวกันเตรียมแปลคำพูดของตัวเองออกเผยแพร่ อ้างไม่ได้หมิ่นสถาบันเบื้องสูง โบ้ยเป็นแผนวิชามารของฝ่ายตรงข้ามจ้องทำลาย ย้ำพูดนานแล้วคนละบรรยากาศ ไม่โต้ “จิ๋ว” เปิดโปงขบวนการต้องการพลิกประเทศเป็นสาธาณรัฐ ระบุแค่ปลายแถวไม่สำคัญ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายจักรภพ เพ็ญแข ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (16 พ.ค.) นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงคำบรรยายที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2549 ว่า พูดไปเยอะแล้วไม่อยากให้บานปลาย ส่วนการแปลคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันจันทร์-อังคารที่จะถึงนี้ มีคนแปลให้หลายคน แต่ตนอยากจะแปลเองเพื่อให้ถูกต้องตามการพูด ซึ่งการพูดในครั้งนั้นพูดมาแล้วปีกว่า เป็นการพูดสด จำเป็นที่คนพูดต้องแปลเอง ในวันอาทิตย์ที่ 18 พ.ค.นี้ได้ยกเลิกการเดินทางไป จ.นครพนม โดยจะใช้เวลาแปลคำกล่าวดังกล่าวให้เสร็จ
นายจักรภพ กล่าวว่า ตนเองยังต้องการส่งให้โรงพิมพ์จัดพิมพ์เป็นรูปเล่มทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย แล้วถ้าทำทันจะใส่บทวิเคราะห์เพิ่มเติม ชี้ให้เห็นว่าเขาเอาคำมาปลุกปั่นอย่างไรให้คนได้รู้สึกว่าเกิดการหมิ่นอย่างไร คิดว่าเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาที่เป็นประโยชน์เพื่อให้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อที่ไม่ให้คนในอนาคตใช้เป็นวิชามาร
เมื่อถามว่า หากแปลแล้วจะได้รับการยอมรับหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ได้อยู่ที่ความยอมรับ แต่อยู่ที่การยืนยันว่าในทุกคำว่าเราแปลได้ เพราะว่าเมื่อเราแปลเองใครตั้งคำถามว่าเพื่อปกป้องตัวเอง หรือเพื่อต้องการพ้นผิด แปลให้มีความคลาดเคลื่อน จะได้ยืนยันได้ว่าเหตุที่เราใช้คำแปลนั้นคืออะไร ศาสตร์การแปลเป็นเรื่องสนุกมาก ถ้าหากเราตัดเรื่องการเมืองและการให้ร้ายออกไป วิชาการแปลเขาสอนกันเป็นหลักสูตร มันสนุกมาก ตนจะทำให้เต็มที่เพราะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและมีประเด็นซึ่งจะทำให้คนในสังคมใช้ประโยชน์ต่อไปในอนาคตได้อีกเยอะไม่เฉพาะโอกาสนี้เท่านั้น
เมื่อถามว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ตีความว่าเป็นการจงใจในอะไรบางอย่างจะทำให้สังคมเกิดความสับสนหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่สับสนเพราะพรรคประชาธิปัตย์มีฉบับของตนเองในทุกเรื่อง ไม่เฉพาะคำบรรยาย ประเด็นคือตนต้องทำให้พี่น้องประชาชนรับรู้เสียก่อน เพราะเรื่องที่กล่าวหาเบื้องสูงไม่ใช่เรื่องที่เราจะแก้ไขปัญหาในระบบการเมืองแล้วรอดพ้นไปได้ ต้องให้สังคมและสาธารณชนมีความเข้าใจและมีความยอมรับพอสมควรว่าคนที่เป็นผู้บริหารบ้านเมืองไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อผ่านตรงนี้ไปแล้วระบบการเมืองจะไปดำเนินการอย่างไร ตนยอมรับทั้งสิ้น ตราบใดที่ยังอยู่ในระบบรัฐสภา
ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า นายจักรภพมีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเตรียมมอบหลักฐานที่เป็นซีดีและเทปคำพูดของ นายจักรภพต่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ทราบในวันนี้ (16 พ.ค.)
นายจักรภพ กล่าวว่า การบริหารความเคลือบแคลงใจของคนเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีธงในใจอยากจะคิดไม่ดีอย่างไรยิ่งยาก ตนทำได้ในฐานะคนไทยคนหนึ่งพึงกระทำ ไม่ได้ใช้อะไรพิเศษในฐานะผู้บริหารบ้านเมืองเลย ฐานะคนไทย 1 ใน 64 ล้านคน เป็นข้ารองพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อมีข้อกล่าวหาในฐานะคนไทยคนหนึ่งตนต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ซึ่งการทำนั้นคือจะต้องมานั่งแปลความนั้นด้วยตัวเอง สื่อสารด้วยตัวเอง พร้อมรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีจะมีความกรุณาในทางการเมือง แสดงความเมตตานักการเมืองรุ่นหลังและแสดงความเข้าใจเห็นใจ แต่ตนจะทำตัวเป็นภาระไม่ได้ นอกจากจุดยืนทางการเมืองที่ตนได้แสดงไปแล้วก็ต้องทำงานต่อไป นั่นคือต้องเอาสารัตถะออกมาสู่สังคม
นายจักรภพ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้วุฒิสภาจะตั้งกระทู้ถามสดเรื่องการการทำงานด้านสื่อ ตนจะทำหน้าที่เต็มที่ไม่มีอะไรลดลงเลย
“การโต้ตอบกันไปมากรณีเบื้องสูงจะทำให้ผมทำงานได้น้อยลง ฉะนั้นก็เลยมีการประชุมกันภายในเมื่อวานนี้ เราเดินทางกันอย่างไม่หยุดยั้งในฐานะผู้ดูแลงานด้านสื่อ” นายจักรภพ กล่าวและว่า สัปดาห์หน้าทางกรมประชาสัมพันธ์จะช่วยแก้ปัญหาปากท้อง โดยจะเปิดศูนย์จำหน่ายสินค้าราคาประหยัดในตัวเมืองของทุกจังหวัด เรื่องการชี้แจงกรณีนี้ก็ชี้แจง เรื่องการทำงานก็ไม่ลดน้อยถอยลง
เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องกลับหรือดำเนินคดีหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ให้การสอบสวนได้ผลก่อน หากการสอบสวนชี้ว่าเรื่องนี้ไม่มีมูล ตะแบง หรือกุขึ้น ตนก็จะพิจารณาทางกฎหมายต่อไป เมื่อถามว่าจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงในระหว่างที่ทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นต้องถอยออกมาพิสูจน์ กรณีนี้สามารถชี้แจงได้เลยไม่ต้องถอยไปตั้งหลักอะไรทั้งสิ้นเพราะเป็นความจริง บริสุทธิ์ใจตนก็ว่าไปตามข้อเท็จจริงเท่านั้น ระหว่างนี้ก็ทำหน้าที่เพื่อประชาชน เมื่อถามว่ารู้สึกกดดันหรือไม่ เมื่อโดนตรวจสอบหลายๆ เด้ง นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่เลย เราเป็นประเภทยิ่งกดยิ่งเด้ง
ถามว่า สาระในการพูดบรรยายต้องการพูดถึงอะไร นายจักรภพ กล่าวว่า ต้องการพูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์สังคม พูดในบรรยายกาศการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มันคนละสิ่งแวดล้อม คนละบรรยากาศ แต่ข่าวออกไปเหมือนพูดวานนี้ มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้น เจตนาพูดคือต้องการให้ประชาคมต่างประเทศเข้าใจประเทศไทย ใจเย็นกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมค่อยเป็นไปทีละขั้น และที่สำคัญคือ ระบบหมู่บ้านเดิมคนไทยเป็นคนเชื่อข่าวลือ การซุบซิบนินทา เชื่อจากเพื่อนมากกว่าข่าวจากสื่อ เป็นคนที่จะเอาเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้คนที่รู้จักดีไปหมด คนที่ไม่รู้จักแย่ไปหมด ซึ่งเป็นลักษณะสังคมของไทยที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปดีขึ้น ตนเชื่อว่าจะเกิดความเข้าใจประเทศไทยว่า ถึงจะมีความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเกิดขึ้น แต่เดี๋ยวประชาธิปไตยต้องกลับมา
เมื่อถามอีกว่า แต่คนเข้าใจว่าพูดถึงเรื่องสถาบัน โดยเฉพาะช่วงถามตอบ นายจักรภพ ชี้แจงว่า เป็นเรื่องที่ต้องเอาของจริงมาพูดกันถ้าพูดในวันนี้ก็เหมือนเอาความรู้สึกและเป็นการตีความของแต่ละฉบับมา เหมือนพายเรือวนในอ่าง เอาของจริงมาดีกว่า เมื่อซักอีกกว่า คิดว่าคำพูดช่วงไหนที่คำแปลมีปัญหา นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่มี ตนคิดว่าปัญหาเกิดจากการแปลของคนอื่นมากกว่า ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจากคำพูด
เมื่อถามว่ามีการเอาไปโยงเกี่ยวกับหลายเรื่องในขณะนี้ เช่น กรณีเขาพระวิหาร กษัตริย์เนปาล ที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบัน นายจักรภพกล่าวปฏิเสธว่าเรื่องสถาบันเบื้องสูง เป็นกลวิธีทางการเมืองก็เหมือนกับเรื่องรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 อย่างที่เคยเห็นมาแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเมืองไทย คราวนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่คนกลุ่มเดิมพยามจะใช้วิธีการเก่า คราวนี้ต้องชี้ให้ประชาชนเห็น
“คำบรรยายที่เอฟซีทีที (สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ) ชัดเจน พูดมาตั้งเกือบปีแล้ว แล้วคนที่อ้างว่าจงรักภักดีไปหดหัวอยู่ที่ไหนในช่วงเวลาเกือบปีที่ผ่านมา พูดในที่สาธารณะ คนไทยก็นั่งฟังอยู่ผู้สื่อข่าวประเทศไทยก็นั่งกันเยอะที่อาคารมณียา แล้วคนที่พยามจะอ้างว่าตนจงรักภักดีกว่าคนอื่นไปหลบอยู่ที่ไหน ทำไมไม่เอาเรื่องตอนนั้น เก็บเอาไว้ในใจ รอให้เป็นเรื่องการเมืองขึ้นมาแล้วเก็บไว้เป็นไพ่ตายของตน ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตตรงนั้น” นายจักรภพ กล่าว
เมื่อถามว่า เกี่ยวกับคนหัวเถิกด้วยหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า บอกแล้วไงไม่เกี่ยวกับทรงผม เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในหัวของแต่ละคน เมื่อถามว่า ล่าสุด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดโปงอุดมการณ์ของพวกล้มเจ้า คิดว่าอย่างไร นายจักรภพ กล่าวว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงบ้านเมืองอย่างสูง ท่านได้ข่าวจากรอบนอกก็ย่อมเป็นห่วงเป็นธรรมดา เป็น ผบ.ทบ. เป็นนายกฯ มาก่อน ท่านรู้ดีว่าบ้านเมืองต้องอาศัยสติปัญญาจากผู้ใหญ่ สิ่งที่ท่านพูดต้องมาขบคิดกัน เป็นหน้าที่รัฐบาลดูว่าเป็นสภาพนั้นจริงหรือไม่ คงต้องมีการประสานงานกับอดีตนายกรัฐมนตรีต่อไป เพื่อนำข้อมูลที่ได้รับมาแก้ปัญหาต่อไป
เมื่อถามว่า ระยะเวลาที่ออกมาพูดพอเหมาะหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า อย่าให้วิจารณ์ตรงนั้นเลย ท่านเป็นผู้ใหญ่ ถ้าตนพูดตรงนั้นก็หาว่าไปวิจารณ์ท่าน เอาเป็นว่าเป็นความเห็นผู้ใหญ่ เมื่อถามว่าถูกเชื่อมโยงเกี่ยวกับรัฐมนตรี นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่ไม่พูดถึงคนใดคนหนึ่ง ตนปลายแถวมากเมื่อเทียบกับท่าน คงไม่เอาตัวเองไปพัวพันกับสิ่งที่ พล.อ.ชวลิต พูด เราต้องนำมาวิสัตชณาให้ดีนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์
เมื่อถามว่า หากคนระดับนโยบายผิดพลาดพลั้งไปให้กราบพระบาท นายจักรภพ กล่าวว่า พล.อ.ชวลิต พูดชัดเจนว่าหากผิดพลาด แต่ถ้าหากเป็นความเข้าใจผิดหรือเป็นความพยายามของคนอื่นที่จะทำให้เห็นเป็นความผิดพลาดเป็นคนละเรื่องไม่ต้องพูด
เมื่อถามว่า เรื่องจะยุติหลังจากคำบรรยายถูกแปลเผยแพร่ใช่หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ต้องไปถามคนที่ก่อเรื่อง ขยายเรื่องทั้งหลายว่าพร้อมที่จะจบหรือยังประเด็นคือเรื่องนี้เป็นเรื่องกรณีศึกษาในระยะยาว จึงอยากแปลเป็นรูปเล่ม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะอยู่รอดได้ด้วยตัวตนเองคนมาเป็นนักการเมืองมีคนแทนเสมอไม่ต้องห่วงตัวบุคคล แต่เรื่องที่เกิดขึ้นจะอยู่สถาพรตลอดไปให้คนอนาคตกลับมาย้อนดู
เมื่อถามว่า หลังจากนายสุทิน คลังแสง ออกมาเปิดเผยว่ามีการวิ่งเต้นกับบุคคลระดับสูงเพื่อให้เรื่องนี้จบ นายจักรภพกล่าวปฏิเสธว่า ไม่มี ไม่มีเลย ต้องไปถามนายสุทินเอาเอง
/0110