xs
xsm
sm
md
lg

จวกรัฐบาลติดกับดักตัวเอง อหังการไม่นำพาวิกฤติชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาว่า สอบตก มุ่งแก้ รัฐธรรมนูญมากกว่าแก้ปัญหาประชาชน โดยสาเหตุของการสอบตก ส่วนหนึ่งเกิดจากผลกระทบจากปัจจัยภายนอก แต่รัฐบาลต้องยอมรับความจริงว่า สาเหตุมาจากปัจจัยภายในหลายประการด้วยกัน คือ
1 ไร้ทิศทาง นับตั้งแต่ตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่ง ซึ่งเป็นไปตามโควตาทำให้การตั้ง รมต. เป็นไปอย่างไร้ทิศทางไม่ได้ รมต.อย่างที่ต้องการจนนายกฯ ออกมาตำหนิว่ารมต.ขี้เหร่ นอกจากนี้ยังมีสภาพการทำงานต่างคนต่างทำ พวกใครพวกมัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ประสานกับกระทรวงพาณิชย์ อีกทั้ง รองนายกฯ ที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ก็ทำงานไม่ลงรอยกัน
2 .สร้างปัญหาโดยรัฐบาล คือ ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลบริหารจนเรื่องข้าวมีปัญหาข้าวเปลือกถูก ข้าวสารแพง ชัดเจนว่ารัฐบาลสร้างปัญหา ทำให้โอกาส กลายเป็นวิกฤต
3 .สร้างปัญหาทางสังคมอย่างต่อเนื่อง
4 .สร้างปัญหาทางการเมือง ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง จนคนคัดค้านหนาตาขึ้นเรื่อยๆ และอาจนำไปสู่วิกฤตการเมืองได้
**ชี้พฤติกรรมนำไปสู่ความเสื่อม
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลยังมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอีกหลายประการด้วยกัน คือ
1 . ท้าตีท้าต่อย ด้วยการที่รัฐบาลตำหนินักวิชาการที่วิจารณ์รัฐบาลด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เช่น นายธีรยุทธ บุญมี และการที่นายกฯ ออกมาด่าเอแบคโพลล์ว่าเป็นโพลล์ เฮงซวย รวมทั้งยังด่าสื่อออกอากาศในรายการสนทนาประสาสมัคร และไม่ยอมแถลงข่าวตามปกติ มักใช้คำพูดว่า หอก เลว เฮงซวย อยู่บ่อย ๆ ถือเป็นพฤติกรรมท้าตีท้าต่อย
2 .ปล่อยข่าวทำลายผู้อื่น เช่น อ้างเรื่องแผนการปฏิวัติถึง 2 ครั้ง แต่ไม่มีการจัดการกับคนที่จะจัดการปฏิวัติแต่อย่างใด นอกจากนี้นายกฯ พูดถึงแบงก์เจ๊ง ซึ่งไม่แน่ชัดว่า ต้องการปล่อยข่าวหรือไม่ แต่ส่งผลกระทบในแวดวงการเงินการคลัง อีกทั้งนายกฯ ยังกล่าวถึง"ไอ้หัวเถิก" ถึง 2 ครั้ง ในรายการสนทนาประสาสมัคร ว่าเป็นผู้สร้างปัญหาในการทำงานของรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้จัดการกับคนที่สร้างปัญหานี้แต่อย่างใด
3. มีพฤติกรรมลื่นไหลไปเรื่อยๆ เช่น นายกฯบอกจะแก้รัฐธรรมนูญ 3 เดือนหลังหมดวาระ แต่พอถูกกดดันก็เร่งแก้รธน. ถือว่าผิดคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน นอกจากนี้ การประชุม 6 พรรคร่วมรัฐบาลสังคมรับรู้ว่า จะคุยเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับมาบอกว่า ไม่ได้คุย แต่คุยเรื่องปากท้องชาวบ้าน พร้อมกับโยนเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สภา และยังมีการแก้ปัญหาเรื่องข้าว ที่มีนโยบายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด จนถูกนักวิชาการวิจารณ์ว่า เฮงซวย

**รัฐบาลติดกับดักตัวเอง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า นับแต่รัฐบาล แถลงนโยบาย 18 ก.พ. เป็นต้นมา พบว่าพฤติกรรมของรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ได้ตอบสนองการแก้ปัญหาให้ประชาชนเหมือนดั่งคำที่แถลงไว้มากเท่าที่ควรจะเป็น จึงทำให้ประชาชนไม่พอใจ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ เข้าใจดีว่า 3 เดือนไม่ใช่เวลาที่จะรู้ว่าสำเร็จ หรือล้มเหลว แต่สามารถสร้างความมั่นใจว่า จะนำพาให้พ้นวิกฤตสังคม เศรษฐกิจ การเมืองได้หรือไม่ จึงเห็นว่าพฤติกรรมที่ผ่านมา รัฐบาลติดกับดักตัวเอง เป็นกับดักที่รัฐบาลร้างขึ้นมา จนก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ เชื่อว่าถ้ารัฐบาลพยายามมองเห็นปัญหาเหล่านี้และหาทางออกจากกับดักนี้ รัฐบาลจะมีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถ มาบริหารประเทศ มากกว่าบริหารการเมือง เพื่อแก้ปัญหาในพรรค ในพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น หวังว่ารัฐบาลจะเปิดใจกว้าง ออกจากกับดักของตัวเอง แต่ถ้ายังติดกับดักของตัวเอง แบบนี้ ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าของประเทศ

**ไม่นำสถาบันฯมายุ่งการเมือง
ส่วนกรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เรียกร้องไม่อยากให้มีการแอบอิงสถาบันฯ หรือนำสถาบันฯ ไปทำให้เกิดความเสียหาย นายองอาจกล่าวว่า ในส่วนของ ปชป. เห็นว่าเป็นคำชี้แนะที่ถูกต้อง เพราะไม่ว่าใคร ก็ไม่ควรนำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม และทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันฯ ก็ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนไทย เพราะฉะนั้นคิดว่า จำเป็นที่พวกเราต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ป้องกันไม่ปัญหาที่กระทบกระเทือน หรือหมิ่นเหม่ต่อสถาบันฯ เกิดขึ้น ใครที่มีหน้าที่ป้องกัน ต้องทำอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้บานปลายออกไป
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า ในส่วนการดำเนินการกับนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทางรัฐบาลบอกว่าหากคิดว่านายจักรภพหมิ่นเบื้องสูงให้แจ้งความ หรือถอดถอนนั้น กรณีนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปราศรัยที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เป็นคนละประเด็นกับการยื่นถอดถอน ซึ่งในส่วนนี้ได้ยื่นรายละเอียดให้นายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการ ปชป.รู้ว่าเรื่องไหนควรดำเนินการอย่างไร จึงจะเหมาะสม เราเห็นว่าเรื่องนี้ควรแจ้งให้นายกฯ จัดการตามวิถีทางทางการเมือง ส่วนการยื่นถอดถอนเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ขัดกฎหมาย หรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบาย และเห็นว่ารัฐบาล ไม่จำเป็นต้องออกมาท้าทายให้ ปชป.ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่รัฐบาลควรไปจัดการคนของตัวเองตามวิธีการที่เหมาะสมจะดีกว่ามาท้าทายพรรคปชป.

**ตอก"หมัก"หัวหน้าพปช.หรือเปล่า
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันด้วยว่า ปชป.ไม่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ยึดมั่นต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเห็นว่า สถานการณ์บ้านเมืองไม่น่าจะไปสู่การปฏิวัติ เหมือนอย่างที่มีหลายฝ่ายออกมาวิเคราะห์ พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายต้องช่วยกันขจัดปัญหาที่จะนำไปสู่การปฏิวัติ ใครที่สร้างเงื่อนไข ควรยุติ หรือละเว้นในการสร้างเงื่อนไขเหล่านั้น โดยเฉพาะรัฐบาลควรเข้ามาจัดการกับบุคคลที่มีความประสงค์ทำการปฏิวัติ ถ้ารัฐบาลรู้ก็ต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น มากกว่าที่จะออกมาโพนทะนา ถึงเรื่องปฏิวัติแต่เพียงอย่างเดียว
นายองอาจ ยังปฏิเสธข้อกล่าวหาของพรรคพลังประชาชน ที่ระบุว่า ปชป.ประสานพันธมิตรและมือที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงบงการด้วยว่า ไม่เป็นความจริง เพราะพรรคทำงานประสานกับบุคลในองค์กรต่าง ๆ ประสานกับความถูกต้องชอบธรรม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้แต่กับรัฐบาล ก็พร้อมประสานถ้าทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม แต่ถ้าทำในสิ่งที่ชั่วร้าย ก็ไม่สามารถประสานงานกันได้
"ที่บอกว่ามือที่มองไม่เห็น เป็นหัวหน้าพรรค ปชป. ตัวจริงนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะพรรคประชาธิปัตย์ มีหัวหน้าพรรคคนเดียวคือนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ส่วนพรรคที่ไม่แน่ใจว่า หัวหน้าเป็นตัวจริงหรือปลอมคือพลังประชาชน ว่า ระหว่างนายสมัคร สุนทรเวช กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใครเป็นตัวจริงกันแน่
ดังนั้นก่อนกล่าวหาพรรคอื่นอยากให้พรรคพลังประชาชน ไปหาตัวหัวน้าพรรคที่แท้จริงของตัวเอง น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า และยืนยันว่า ไม่มีใครอยู่เหนือหัวหน้าพรรค หรือพรรคประชาธิปัตย์
กำลังโหลดความคิดเห็น