นครศรีธรรมราช – ‘เทพไท’ แนะรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาหลักของชาติก่อนแก้รัฐธรรมนูญเย้ย “สมัคร” ระวังนายใหญ่ทวงตำแหน่งคืนฐานทำงานไม่เข้าตา ชี้ไม่มั่นใจอำนาจหากปรับ ครม.ใหญ่ แนะกล้าล้างภาพ ครม.ขี้เหร่-สร้าง ครม.ในฝัน
วันนี้ (18 พ.ค.) ที่ จ.นครศรีธรรมราช นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญซึ่งใช้เวลาเกือบ 1 เดือนว่า เป็นเรื่องที่ผิดปกติ ที่ผ่านมาในอดีตรัฐบาลจะเปิดสมัยวิสามัญเพียง 2-3 วันแล้วจะปิด เนื่องจากเกรงปัญหาทางการเมืองจะเข้ามาแทรกแซง และเป็นสิ่งที่ปฏิบัติมาโดยตลอด แต่รัฐบาลชุดนี้เปิดตั้งแต่วันที่ 9-30 มิถุนายน เป็นระยะเวลาที่ยาวนานโดยอ้างว่าจะพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย
รวมทั้ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังมีความขัดแย้งอยู่เนื่องจากประธานชัย ชิดชอบ บอกในสภาว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่วิปรัฐบาลบอกว่าจะยื่นในสมัยวิสามัญ ตรงนี้อยากจะให้พลังประชาชนไปคุยให้ได้ข้อสรุปเสียก่อน ในเมื่อประธานสภาบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐบาล แต่ที่ประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลกลับโยนเรื่องนี้ไปให้สภา
นายเทพไท กล่าวอีกว่า ตรงนี้จึงเป็นคำถามต่อไปว่าใครกันแน่ที่จะเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกลุ่มประชาชนที่คัดค้านไม่เห็นด้วยจะได้แสดงท่าทีต่อกลุ่มนั้นๆได้ เพราะฉะนั้นการแก้รัฐธรรมนูญอยากให้รัฐบาลกลับไปคิดและไตร่ตรองดูถึงความเหมาะสมในขณะที่บ้านเมืองต้องการการแก้ไขใน 3 เรื่องหลักตามที่โพลได้สำรวจมา คือ 1.เศรษฐกิจปากท้องข้าวของแพง 2.เรื่องของความไม่สงบในภาคใต้ และ 3.ปัญหาการคอร์รัปชันในชาติ
“3 ปัญหาเร่งด่วนรัฐบาลควรแก้ให้ได้เสียก่อนก่อนที่จะไปแก้รัฐธรรมนูญ การแก้ตรงนี้ความเห็นของประชาชนเห็นอยู่ในลำดับท้ายๆ ถ้ารัฐดึงดันแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ ในขณะที่พันธมิตรประกาศเคลื่อนไหวทันทีเมื่อยื่นจะมีการเผชิญหน้าในชาติและจะเกิดความวุ่นวายแล้วจะเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มที่มีอำนาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมืองได้ ฝ่ายรัฐบาลไม่ควรปรักปรำฝ่ายใดว่าเป็นฝ่ายก่อชนวนให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารเพราะมีฝ่ายรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวที่จะเป็นคนปลดแก้ปัญหารัฐประหารได้ถ้ารัฐบาลทำทั้ง 3 ข้อการรัฐประหารไม่เกิดขึ้นอย่าสงแน่นอน”
นายเทพไท กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลกำลังกลัวภาพเหมือนกับเป็นคนจิตหลอนกลัวภาพตัวเองเช่นกรณีนายสมัครพูดในรายการสนทนา บอกว่ามีคนทำทุกวิถีทางให้ตนเองออกจากตำแหน่งนายก นายสมัครไม่ควรสะพรึงกลังกับคนเคลื่อนไหวกดดันต่างๆ เพราะการเคลื่อนไหวนั้นถ้านายสมัครไม่ผิดกฎหมายใครก็กดดันไม่ได้
แต่สิ่งที่ควรกลัวและระวังคือ นายใหญ่ หรือผู้บงการที่เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง เพราะสามารถทวงตำแหน่งคืนเมื่อไหร่ก็ได้ อาจเป็นได้ว่ามีกระแสไปพูดคุยติดต่อกับ พล.อ.ชวลิต จนมีการวิพากษ์ถึงการเปลี่ยนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนายสมัครจึงมาตีปลาหน้าไซแล้วโบ้ยความผิดไปให้คนอื่นปัญหาอยู่ในพลังประชาชนที่นายใหญ่ไม่พอใจการทำงานแล้วจะทวงตำแหน่งคืนจากนายสมัครเท่านั้น
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเตรียมปรับ ครม.ของนายสมัคร สุนทรเวช ว่า เป็นเรื่องของการสร้างความสับสนให้ประชาชนเพราะมีกระแสการปรับเล็กบ้างใหญ่บ้าง สุดท้ายดูท่าทีจะบอกว่าเป็นการปรับเล็กทั้งๆที่เมื่อก่อนบอกว่าต้องการปรับใหญ่ล้างภาพ ครม.ขี้เหร่เป็นไปได้ว่าหากมีการปรับใหญ่นั้นนายสมัครอาจเห็นว่าถ้าปรับใหญ่ นายใหญ่จะเข้ามาล้วงลูกเข้ามามีบทบาทในการปรับ ครม.เอาคนตัวเองเข้ามามากกว่าเดิมนายสมัครจึงใช้โอกาสนี้ปิดช่องทางให้ผู้บงการเข้ามาแทรกแซงจึงอาจถือโอกาสปรับตำแหน่งเดียว
“จริงๆ แล้วการปรับใหญ่มีเงื่อนไขที่สามารถทำได้ เช่นรัฐมนตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติ 2-3 คน รัฐมนตรีที่สังคมเคลือบแคลงต่อทัศนคติต่อสถาบันเบื้องสูงมีอยู่และ รมต.ที่ไม่มีผลงานเป็น รมต.ที่โลกลืมจำนวนหนึ่งจึงน่าถือโอกาสล้างภาพ ครม.ขี้เหร่เป็นครม.ในฝัน แต่เข้าใจว่านายสมัครอาจลังเลในอำนาจของตัวเองว่าจะมีอำนาจ ในการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงไร ถ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้และไม่มีอำนาจในการปรับ ครม.ที่แท้จริงจึงเห็นควรปรับเล็กเสียดีกว่า” นายเทพไทกล่าว
วันนี้ (18 พ.ค.) ที่ จ.นครศรีธรรมราช นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญซึ่งใช้เวลาเกือบ 1 เดือนว่า เป็นเรื่องที่ผิดปกติ ที่ผ่านมาในอดีตรัฐบาลจะเปิดสมัยวิสามัญเพียง 2-3 วันแล้วจะปิด เนื่องจากเกรงปัญหาทางการเมืองจะเข้ามาแทรกแซง และเป็นสิ่งที่ปฏิบัติมาโดยตลอด แต่รัฐบาลชุดนี้เปิดตั้งแต่วันที่ 9-30 มิถุนายน เป็นระยะเวลาที่ยาวนานโดยอ้างว่าจะพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย
รวมทั้ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังมีความขัดแย้งอยู่เนื่องจากประธานชัย ชิดชอบ บอกในสภาว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่วิปรัฐบาลบอกว่าจะยื่นในสมัยวิสามัญ ตรงนี้อยากจะให้พลังประชาชนไปคุยให้ได้ข้อสรุปเสียก่อน ในเมื่อประธานสภาบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐบาล แต่ที่ประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลกลับโยนเรื่องนี้ไปให้สภา
นายเทพไท กล่าวอีกว่า ตรงนี้จึงเป็นคำถามต่อไปว่าใครกันแน่ที่จะเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกลุ่มประชาชนที่คัดค้านไม่เห็นด้วยจะได้แสดงท่าทีต่อกลุ่มนั้นๆได้ เพราะฉะนั้นการแก้รัฐธรรมนูญอยากให้รัฐบาลกลับไปคิดและไตร่ตรองดูถึงความเหมาะสมในขณะที่บ้านเมืองต้องการการแก้ไขใน 3 เรื่องหลักตามที่โพลได้สำรวจมา คือ 1.เศรษฐกิจปากท้องข้าวของแพง 2.เรื่องของความไม่สงบในภาคใต้ และ 3.ปัญหาการคอร์รัปชันในชาติ
“3 ปัญหาเร่งด่วนรัฐบาลควรแก้ให้ได้เสียก่อนก่อนที่จะไปแก้รัฐธรรมนูญ การแก้ตรงนี้ความเห็นของประชาชนเห็นอยู่ในลำดับท้ายๆ ถ้ารัฐดึงดันแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ ในขณะที่พันธมิตรประกาศเคลื่อนไหวทันทีเมื่อยื่นจะมีการเผชิญหน้าในชาติและจะเกิดความวุ่นวายแล้วจะเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มที่มีอำนาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมืองได้ ฝ่ายรัฐบาลไม่ควรปรักปรำฝ่ายใดว่าเป็นฝ่ายก่อชนวนให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารเพราะมีฝ่ายรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวที่จะเป็นคนปลดแก้ปัญหารัฐประหารได้ถ้ารัฐบาลทำทั้ง 3 ข้อการรัฐประหารไม่เกิดขึ้นอย่าสงแน่นอน”
นายเทพไท กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลกำลังกลัวภาพเหมือนกับเป็นคนจิตหลอนกลัวภาพตัวเองเช่นกรณีนายสมัครพูดในรายการสนทนา บอกว่ามีคนทำทุกวิถีทางให้ตนเองออกจากตำแหน่งนายก นายสมัครไม่ควรสะพรึงกลังกับคนเคลื่อนไหวกดดันต่างๆ เพราะการเคลื่อนไหวนั้นถ้านายสมัครไม่ผิดกฎหมายใครก็กดดันไม่ได้
แต่สิ่งที่ควรกลัวและระวังคือ นายใหญ่ หรือผู้บงการที่เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง เพราะสามารถทวงตำแหน่งคืนเมื่อไหร่ก็ได้ อาจเป็นได้ว่ามีกระแสไปพูดคุยติดต่อกับ พล.อ.ชวลิต จนมีการวิพากษ์ถึงการเปลี่ยนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนายสมัครจึงมาตีปลาหน้าไซแล้วโบ้ยความผิดไปให้คนอื่นปัญหาอยู่ในพลังประชาชนที่นายใหญ่ไม่พอใจการทำงานแล้วจะทวงตำแหน่งคืนจากนายสมัครเท่านั้น
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเตรียมปรับ ครม.ของนายสมัคร สุนทรเวช ว่า เป็นเรื่องของการสร้างความสับสนให้ประชาชนเพราะมีกระแสการปรับเล็กบ้างใหญ่บ้าง สุดท้ายดูท่าทีจะบอกว่าเป็นการปรับเล็กทั้งๆที่เมื่อก่อนบอกว่าต้องการปรับใหญ่ล้างภาพ ครม.ขี้เหร่เป็นไปได้ว่าหากมีการปรับใหญ่นั้นนายสมัครอาจเห็นว่าถ้าปรับใหญ่ นายใหญ่จะเข้ามาล้วงลูกเข้ามามีบทบาทในการปรับ ครม.เอาคนตัวเองเข้ามามากกว่าเดิมนายสมัครจึงใช้โอกาสนี้ปิดช่องทางให้ผู้บงการเข้ามาแทรกแซงจึงอาจถือโอกาสปรับตำแหน่งเดียว
“จริงๆ แล้วการปรับใหญ่มีเงื่อนไขที่สามารถทำได้ เช่นรัฐมนตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติ 2-3 คน รัฐมนตรีที่สังคมเคลือบแคลงต่อทัศนคติต่อสถาบันเบื้องสูงมีอยู่และ รมต.ที่ไม่มีผลงานเป็น รมต.ที่โลกลืมจำนวนหนึ่งจึงน่าถือโอกาสล้างภาพ ครม.ขี้เหร่เป็นครม.ในฝัน แต่เข้าใจว่านายสมัครอาจลังเลในอำนาจของตัวเองว่าจะมีอำนาจ ในการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงไร ถ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้และไม่มีอำนาจในการปรับ ครม.ที่แท้จริงจึงเห็นควรปรับเล็กเสียดีกว่า” นายเทพไทกล่าว