"จักรภพ" จีบปากยืนยัน โทรทัศน์ NBTจะเป็นกลาง ไม่ยอมให้ใครมาสั่งเด็ดขาด อ้างเหตุให้บริษัทเดียวผลิตรายการ เพราะเป็นหนึ่งในไม่กี่ทีมที่เคยบริหารทีวีทั้งช่อง พร้อมเปิดทางคนพีทีวีเข้าร่วม แต่ต้องเข้ามาตามระบบ เผยกำลังจัดเวลาให้ฝ่ายค้านออกรายการ เหน็บล่วงหน้า “อย่าเอาแต่ด่า” ปัดแทรกแซง อสมท แค่เตือนให้ระวัง
คลิกที่นี่ เพื่อฟังนายจักรภพ เพ็ญแข ให้สัมภาษณ์ในรายการ ถามจริง ตอบตรง
วานนี้ (1 เม.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีเปิดสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที (ช่อง 11 เดิม) แทนนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ป่วยกะทันหัน ภายหลังจากการทำพิธีเปิดแล้ว นายจักรภพได้ให้สัมภาษณ์รายการ "ถามจริง ตอบตรง" ดำเนินรายการโดยนายจอม เพชรประดับ ซึ่งตามโปรแกรมเดิมจะสัมภาษณ์นายสมัคร สุนทรเวช
ต่อคำถามที่ว่า ประชาชนจะมั่นใจได้แค่ไหน จะรู้ได้อย่างไร ว่าเอ็นบีที จะมีความเป็นกลางและเป็นธรรม นายจักรภพ ตอบว่า ระยะเวลาจะเป็นสิ่งพิสูจน์ อยากให้ประชาชนรอดูและเป็นผู้ตัดสินว่าสถานีแห่งนี้มีความเป็นกลางมากเพียงใด
ส่วนเรื่องของบริษัทเอกชนที่ได้รับสิทธิ์ให้มาเข้าร่วมผลิตรายการในเอ็นบีที ที่หลายฝ่ายมองว่าเหตุใดจึงมีเพียงบริษัทเดียวเข้ามาร่วมผลิต นายจักรภพกล่าวว่า เป็นเพราะทีมงานทีมนี้ เป็นหนึ่งในทีมงานไม่กี่ทีมในประเทศที่เคยบริหารสถานีโทรทัศน์ทั้งช่อง มีความเป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์ ซึ่งตนเชื่อการจะบริหารเอ็นบีทีให้บรรลุเป้าหมายได้ จะต้องอาศัยทีมงานที่มีคุณสมบัติดังกล่าว แต่ยืนยันว่าจะเป็นเพียงช่วงแรกเท่านั้นที่มีบริษัทเดียว ต่อไปก็จะมีหลาย ๆ บริษัทเข้ามาร่วมผลิตรายการต่อไป
ส่วนกรณีที่ พีทีวี ปิดตัวลง แล้วมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า จะเกี่ยวข้องกับการปรับตัวใหม่ของ เอ็นบีที หรือไม่ จะมีการผันคนของพีทีวี มาอยู่ที่เอ็นบีทีหรือไม่นั้น นายจักรภพกล่าวว่า คนของพีทีวีจะไม่มีใครมาอยู่ในเอ็นบีที หากจะเข้ามาอยู่ หรือเข้ามาสมัครก็ต้องเข้ามาตามระบบ ระเบียบ จะไม่มีการแนะนำจากตน หรือการฝากของตนอย่างแน่นอน
ต่อคำถามที่ว่า ความเป็นกลางจะเกิดขึ้นได้มากแค่ไหน ในเมื่อ NBT ก็ยังเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ต้องทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล นายจักรภพ กล่าวว่า รัฐบาลยุคนี้ไม่ใช่ยุคก่อน ไม่ใช่รัฐบาลที่จะไปสั่งการใครก็ได้โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ขนาดรัฐบาลทั้งรัฐบาลยังต้องยอมรับหลักการในประชาธิปไตย แล้วปรับตัวให้ได้ กรมประชาสัมพันธ์ก็เช่นกัน ถึงเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลแต่ก็ต้องเป็นกระบอกเสียงที่มีคุณธรรม ต้องมีเป้าหมายที่จะรักษาผลประโยชน์ของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และหากมีรัฐมนตรีคนใดจะมาคอยออกคำสั่งว่า เอ็นบีที ต้องทำตามที่ตนสั่งเท่านั้น ตนในฐานะที่เป็นผู้ดูแล จะคอยกันให้เอง แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่มี
นายจักรภพยังกล่าวด้วยว่าสาเหตุที่ต้องตั้ง เอ็นบีที ขึ้นมาก็เพราะต้องการให้ประชาชนได้รับข่าวสารที่เป็นกลาง “เพราะที่ผ่านมา สื่อกระแสหลัก เฉไฉไปมาก เรื่องที่ควรเป็นข่าวกลับไม่เป็นข่าว ทั้งวันทั้งคืนมีแต่เรื่องทะเลาะกัน มีแต่เรื่องที่ตอกลิ่มให้เกิดความแตกแยก” ซึ่งเป้าหมายที่ตั้งเอ็นบีที ก็เพื่อดึงสมดุลของการเสนอข่าวให้กลับมาให้ได้
ส่วนเรื่องที่จะมีการเปิดโอกาสให้ผู้นำฝ่ายค้าน เข้ามามีรายการพูดคุยกับประชาชน เหมือนกับรายการ นายกพบประชาชนหรือไม่นั้น นายจักรภพกล่าวว่า “ขณะนี้กำลังพิจารณาอยู่ เรื่องของการให้เวลานั้นไม่ยาก แต่อย่าลืมว่าหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลมีเวทีที่ศักดิสิทธิ์กว่าการออกทีวีอยู่ แต่หากจะเกิดขึ้นจริง ก็หวังว่าจะได้ฟังท่านผู้นำฝ่ายค้านพูดในสิ่งที่เป็นนโยบาย และให้ทางเลือก เพราะเราคงหมดเวลาที่จะด่าอย่างเดียว โดยไม่มีทางเลือกว่าจะไปทางไหน”
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช มักมีปัญหากับสื่อ แล้วตัวของนายจักรภพเอง ได้เคยเตือนนายสมัคร หรือไม่ว่าควรจะปล่อยให้สื่อวิพากษ์วิจารณ์บ้าง นายจักรภพกล่าวว่าส่วนตัวแล้วตนรู้สึกว่า นายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นคนจริงใจ ว่าใคร ต่อว่าใครไม่เคยอาฆาต นายสมัครมาจากการเลือกตั้ง ได้รับการเลือกตั้งมาตลอดด้วยบุคลิกนี้ ตนจึงคิดว่า นายสมัครควรจะเป็นตัวของตัวเอง หากใครพอใจก็ชม หากใครไม่พอใจก็ตำหนิ เท่านั้นเอง
นายจักรภพยังกล่าวถึง เรื่องการที่กำลังจับตามองบอร์ด อสมท. จนหลายคนมองว่าเป็นการแทรกแซงสื่อ ว่า “ผมเห็นว่ามันคือหน้าที่ของผม ถึงผมจะไม่ใช่ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้น ผมมีหน้าที่ในการกำกับดูแล อสมท. ผมก็ต้องดูแล ผมเห็นควันไฟ ผมก็บอกให้คนไปดูว่าเป็นไฟหรือเปล่า ผมไม่ได้บอกว่าผมจะไปดับไฟเอง จะไปแก้ไขเอง ผมแค่บอกแล้วให้ทางบอร์ดเป็นผู้ตัดสินใจ”
ในช่วงท้ายรายการ นายจักรภพได้กล่าวถึง ความคาดหวังและแนวทางในการสร้างสรรค์สื่อว่า “เราต้องส่งเสริมให้มีการแข่งขันในวงการสื่อมากกว่านี้ อย่าให้สื่อเป็นของคนเพียงกลุ่มเล็ก ๆ สื่อมวลชนยังมีระบบวรรณะอยู่พอสมควร แต่จากนี้ต่อไปผมจะมีการประกวด เพิ่มผู้เล่นหน้าใหม่ ๆ ในวงการ และผลจากการประกวดนี้จะทำให้ได้บุคลากรใหม่ ๆ ในวงการสื่อมวลชนเอง และตราบใดที่ผมกำกับดูแลงานของที่นี่อยู่ ผมจะให้แนวนโยบายสถานีนี้ว่าว่า เราจะพัฒนางานด้วยการสำนึกในภาษีของประชาชน” นายจักรภพกล่าว