xs
xsm
sm
md
lg

“ปลื้ม” เชิญ “เพ็ญ” จ้อกลางจอช่อง 9 คุยฟุ้งเข็นช่อง 11 ชนกับไทยพีบีเอส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการออนไลน์ – หม่อมปลื้มเชิญ “จักรภพ” ออกรายการทางช่อง 9 เปิดโอกาสป้อยอ พร้อมให้แสดงทัศนะยาวกว่าชั่วโมง “จักรภพ” โม้ลั่นช่อง 11 โฉมใหม่ที่เกิดในยุคประชาธิปไตยจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของไทยพีบีเอสที่เกิดในยุคเผด็จการ ยันไม่มีอดีตแกนนำ นปก.เป็นบอร์ด อสมท แน่ เผยเตรียมดึงคลื่นกรมประชาฯ คืนกลับมาแบ่งพรรคพวก เดินหน้าจัดระเบียบวิทยุชุมชนให้กลายเป็นวิทยุเครือข่ายของภาครัฐ ปฏิเสธไม่เคยหมิ่นสถาบันฯ

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล เชิญ จักรภพ เพ็ญแข จ้อกลางจอช่อง 9 คุยฟุ้งเข็นช่อง 11 ชนไทยพีบีเอส

วานนี้ (24 มี.ค.) ในรายการเป็นปลื้มที่ออกอากาศทางโมเดิร์นไนท์ทีวีได้เชิญนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมาร่วมรายการ ในช่วงต้นรายการ โดยระหว่างการแนะนำแขกรับเชิญ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล พิธีกรรายการได้แนะนำนายจักรภพว่าเป็นรัฐมนตรีที่มีเส้นทางการขึ้นสู่การเป็นรัฐมนตรีที่แตกต่างจากผู้อื่นอย่างมาก เนื่องจากผ่านชีวิตนักวิชาการ ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ สื่อมวลชน รวมไปถึงการเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเผด็จการด้วย

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลเผด็จการที่ ม.ล.ณัฏฐกรณ์กล่าวถึง และนายจักรภพเคยต่อต้านนั้นมีรายชื่อของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล บิดาของ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอยู่ด้วย

ต่อมา ม.ล.ณัฏฐกรณ์ พิธีกรรายการได้ทักว่า นายจักรภพ และตนเองเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน คือ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ได้กล่าวในรายการว่าตนขอเรียกนายจักรภพว่า “พี่เอก” เนื่องจากเป็นรุ่นพี่จากสถาบันเดียวกัน โดยนายจักรภพเล่าว่า ตนได้รับทุนฟูลไบรท์เพื่อไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ขณะที่ยังรับราชการกระทรวงต่างประเทศโดยไปเรียนต่ออยู่ราว 2 ปีครึ่ง

จากนั้นพิธีกรได้ถามถึงเส้นทางชีวิตของนายจักรภพ ซึ่งนายจักรภพได้เล่าว่าหลังจากการรับราชการในกระทรวงต่างประเทศได้สักพักหนึ่ง ด้วยความที่ทำงานสื่อสารมวลชนควบคู่กันไปด้วยกลับรู้สึกชอบงานด้านสื่อสารมวลชนมากกว่า จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ

“พอหลังจากที่เข้ากระทรวงการต่างประเทศ ผมพบความจริงอย่างหนึ่งว่าผมรักอาชีพสื่อสารมวลชนกับอาชีพการทูตพอๆ กัน จึงเกิดการแข่งขันกันว่าเราจะไปทางไหน เราอยากอยู่กระทรวงต่างประเทศก็แอบเอาเวลานอกเนี่ยไปทำทีวี ไปทำวิทยุ ไปเขียนหนังสือ ... มันมัน มันชอบ พอเวลาผ่านไป ไอ้งานที่เราแอบไปทำชักจะกลายเป็นงานหลัก ส่วนรับราชการเป็นงานอดิเรก” นายจักรภพกล่าว

เผยยุติบทบาทสื่อเองเพราะจรรยาบรรณสูง

ให้สัมภาษณ์ระบุด้วยสำนึกในจรรยาบรรณ ทำให้เมื่อมาเป็นนักการเมืองแล้วต้องเสียสละบทบาทของสื่อมวลชนเพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน และเกิดข้อครหาว่าเป็นรัฐมนตรีผู้ดูแลและจัดระบบสื่อแล้วกลับยังกลับทำงานด้านสื่อสารมวลชนต่อไป

“พอมารับหน้าที่ใหม่แล้วได้ดูแลงานของสื่อ ผมต้องสละบทบาทนั้น เพราะการที่เรามาจัดระบบสื่อ เพื่อให้สื่อได้ทำงานอย่างเต็มที่ มีเวทีที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แล้วตัวเราไปปะปนในการแสดงอยู่ด้วย มันทำให้เกิดความสับสนว่าคุณจะเป็นผู้อำนวยการสร้างหรือจะเป็นดารากันแน่ ผมว่าตรงนี้นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครห้าม แต่ผมห้ามตัวผมเอง ผมเลยตัดสินใจว่าหลังจากมารับหน้าที่นี้ ผมงดบทบาทการเป็นสื่อมวลชนทั้งหมด เนื่องจากว่าอยากจะทำบทบาทปัจจุบันให้มันดีที่สุด ...” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

กระนั้นคำกล่าวของนายจักรภพ ก็ถือว่าทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบกับการทำหน้าที่ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่ปัจจุบันแม้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงใช้เวลาในแต่ละสัปดาห์เพื่อเป็นผู้ดำเนินรายการเกี่ยวกับอาหารทางโทรทัศน์อยู่หลายรายการ

เผยยังปลื้ม ‘ม็อบไข่แม้ว’ จนถึงทุกวันนี้

ต่อมาเมื่อ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ถามว่า นายจักรภพรู้สึกสะใจหรือไม่ที่ปัจจุบันได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งๆ ที่ในช่วงปีก่อนยังเป็นนักเคลื่อนไหวต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อยู่ โดยในประเด็นนี้นายจักรภพ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ตอบว่า

“โอ้! ไม่เลย ผมกลับรู้สึกว่าถ้าจะมีอะไรที่ผมจะใช้อำนาจหน้าที่ในปัจจุบันให้เต็มที่ก็คือผมต้องทำให้ประเทศไม่ย้อนกลับไปยังหลุมดำเดิมที่เราพลัดตกลงไปอย่างไม่ควรจะเป็นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเมื่อผมมารับงานสื่อ ผมต้องการให้สื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้ประชาธิปไตยของประเทศมั่นคงแข็งแรง เพราะฉะนั้น ผมจะสนุกกับเรื่องไปข้างหน้า มากกว่าจะย้อนกลับไปคร่ำครวญเรื่องข้างหลัง” อดีตแกนนำ นปก.กล่าว

“ในอารมณ์ของการต่อสู้ มันก็มีเรื่องการเอาชนะกันอยู่ในนั้นล่ะ เดี๋ยวนี้ก็ยังรู้สึก เวลาไปเจอแฟนๆ ที่ร่วมต่อสู้กันมาที่สนามหลวง ผมจะรู้สึกอย่างเดียวกันคือว่า ผมปลื้มใจในการต่อสู้ของพี่น้องเหล่านี้ คือ เมื่อต้องไปอยู่ในที่ๆ ผมยืนอยู่ตรงนั้น ผมเองไม่ใช่นักต่อสู้ทางการเมืองมาก่อน ไม่ใช่นักระดมมวลชนอะไรเลย ไม่ใช่นักไฮด์ปาร์กสนามหลวงด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเราไปยืนตรงนั้นที่สนามหลวง หรือการเคลื่อนขบวนไปในที่ต่างๆ ผมรู้สึกปลาบปลื้มใจและขนลุกตลอดเวลาว่า ถ้าหากพี่น้องเหล่านี้ซึ่งเขาก็มีคุณพ่อคุณแม่ มีพี่น้อง มีคนที่เขารัก เขาไม่เห็นด้วยกับจุดที่เราต่อสู้จริงๆ เขาไม่ออกมาเสี่ยงชีวิต ออกมายากลำบาก อาบเหงื่อต่างน้ำ ออกมาตากแดดตากฝนกับเรา

ความที่ผมเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ทุกคนเท่ากัน ทำให้ผมประทับใจในพี่น้องซึ่งมันกลายเป็นไฟที่กลับมาดลใจเราว่า เราต้องให้แน่ใจนะว่าเราต่อสู้เพื่อสิ่งที่เราแน่ใจจริงๆ และการต่อสู้จะต้องไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง แต่ยุทธวิธีในการต่อสู้นั้นเปลี่ยนได้ ตอนนั้นบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยเราก็ต้องลุยเต็มที่ให้เป็นประชาธิปไตย พอบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้ว เราก็ต้องใช้อำนาจที่ได้มาจากประชาชน ให้ประชาชนเกิดประโยชน์ที่สุด” นายจักรภพกล่าว

รับยกแผงเด็กเก่าไอทีวี ยึด NBT

ในช่วงที่สองของรายการพิธีกรได้ถามถึงการเปิดตัวช่อง 11 โฉมใหม่ในนาม NBT หรือ National Broadcast of Thailand ว่ามีทิศทางอย่างไร ซึ่งนายจักรภพระบุว่า ช่อง 11 นั้นเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีเครือข่ายที่ดีที่สุดในประเทศไทย

“ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาช่อง 11 โดนแทรกแซงมาตลอด และมีข้อจำกัดมากมาย เพราะฉะนั้นจึงเป็นช่องที่เครือข่ายดีที่สุด แต่มีคนดูน้อยที่สุด เพราะไม่สามารถที่จะสร้างรายการที่มีคุณภาพได้ เมื่อมีช่องว่าตรงนี้ ผมในฐานะซึ่งเคยเป็นคนทำงานช่อง 11 มาก่อนและวันนี้ได้มากำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ซึ่งมีช่อง 11 อยู่ในนั้น ผมก็เลยคิดว่าเราจะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนั้นต่อไปไม่ได้” นายจักรภพกล่าว พร้อมระบุว่าตนได้สร้างระบบการร่วมผลิตขึ้นมาในช่อง 11 เพื่อที่จะทำให้คนจากภายนอกเข้ามาทำงานร่วมกับคนในช่อง 11 ทั้งนี้หลังจากปรับเปลี่ยนรูปแบบแล้วทุกวันช่อง 11 จะมีรายการข่าวเพิ่มจาก 7 ชั่วโมง เป็น 9 ชั่วโมงครึ่ง

อย่างไรก็ตาม จากข่าวที่ออกมาในหน้าสื่อมวลชนทั้งหลายเป็นที่ชัดเจนว่า ‘คนนอก’ ที่นายจักรภพดึงเข้ามาทำรายการในช่อง 11 โฉมใหม่นั้นส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานจากทีไอทีวีเดิม เช่น จิรายุ ห่วงทรัพย์, ปนัดดา วงศ์ผู้ดี, สร้อยฟ้า โอสุคนธ์ทิพย์, ตวงพร อัศววิไล รวมไปถึงรายการข่าว อย่าง “ถามจริง ตอบตรง” ที่เดิมเป็นรายการ “ตัวจริง-ชัดเจน” ซึ่งมีนายจอม เพชรประดับ เป็นผู้ดำเนินรายการเช่นเดิม

กัดไทยพีบีเอสคลอดจากมือเผด็จการ

เมื่อ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ถามว่า ช่อง 11 โฉมใหม่นี้จะแข่งกับช่องไทยพีบีเอสได้หรือไม่ นายจักรภพได้ตอบว่า

“ไทยพีบีเอสไม่ได้เกิดขึ้นในยุคประชาธิปไตย แต่การปรับปรุงช่อง 11 ในคราวนี้เกิดขึ้นในยุคประชาธิปไตย ก็เหมือนกับว่ามาคนละสังกัด แต่ว่าอย่าไปคิดถึงกับในแบบศัตรูคู่อาฆาต ผมให้นโยบายไปเลยว่า NBT ต้องแข่งกับไทยพีบีเอส แต่ไม่ได้แข่งแบบทำลายล้าง แต่แข่งแบบดูเทียบกัน ...” พร้อมกล่าวด้วยว่า ตนกำลังจะคิดระบบการแข่งขันระหว่างช่อง 11 กับไทยพีบีเอส และคาดหวังว่าช่อง 11 จะได้ชัยชนะเหนือไทยพีบีเอส

ปฏิเสธ ‘หมอเหวง’ เตรียมนั่งบอร์ด อสมท

เมื่อถามถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัท อสมท เข้ามาทดแทนกรรมการที่ขาดหายไป นายจักรภพ ได้เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการนำชื่อเข้าคณะรัฐมนตรี และในทางปฏิบัติตนเป็นคนเลือก โดยมีอยู่ในใจแล้วประมาณ 3-4 คน

สำหรับข่าวลือที่ว่าบอร์ด อสมท จะมีชื่อของอดีตแกนนำ นปก.ด้วย ซึ่งตามรายงานข่าวจากสื่อต่างๆ คาดว่าจะเป็น นพ.เหวง โตจิราการ นั้น นายจักรภพกล่าวปฏิเสธว่าไม่มีรายชื่ออดีตแกนนำนปก.อยู่ในข่าย พร้อมระบุว่าการบริหารงานบริษัท อสมท ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์อาจไม่เหมาะกับแกนนำ นปก.

ส่วนคำถามที่ว่า นายดุสิต ศิริวรรณ มีรายชื่อเป็นตัวเลือกที่จะเข้ามาเป็นกรรมการของสถานีโทรทัศน์สาธารณะ ไทยพีบีเอสหรือไม่ นายจักรภพตอบว่า นายดุสิตยังไม่มีชื่ออยู่ในรายชื่อใดเลย

ในเรื่องข่าวลือที่ว่ารัฐบาลจะเดินหน้าแก้ไข พ.ร.บ.โทรทัศน์สาธารณะหรือไม่นั้น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ให้คำตอบว่า คงจะยังไม่แก้ในตอนนี้ เพราะ ตนมีความมุ่งหวังที่จะให้ไทยพีบีเอสเป็นคู่แข่งของช่องเอ็นบีที หรือ ช่อง 11 โฉมใหม่

ไม่ต่อสัญญา 5 คลื่นกรมประชาฯ เดินหน้าจัดระเบียบวิทยุชุมชน

ในช่วงท้ายของรายการนายจักรภพได้เปิดเผยว่าตนมีนโยบายว่าจะไม่ต่อสัญญาคลื่นวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ทั้ง 5 คลื่น แต่ยังเปิดโอกาสให้เอกชนที่เคยได้สัมปทานมาร่วมผลิตด้วย โดยจุดประสงค์หลักในการดึงคลื่นกลับมาทำเองนั้นก็เนื่องจากเมื่อเกิด กสทช.ขึ้นมา กรมประชาสัมพันธ์จะได้มีเหตุผลรองรับในการเก็บคลื่นเหล่านี้ไว้บริหาร

“จุดใหญ่ก็คือการบรรลุนโยบายหลักของผมซึ่งก็คือการรื้อฟื้นสมดุลข้อมูลข่าวสารในเมืองไทย คือความเป็นกลาง ความไม่เอนเอียง ที่สื่อไทยเลอะเทอะไปมากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา” รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าว

ขณะที่ในส่วนของวิทยุชุมชนนั้นนายจักรภพระบุว่า ตนกำลังจะดำเนินการตั้งกฎเกณฑ์และคณะกรรมการในการกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะทำให้วิทยุชุมชนทั้งหลายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือภาครัฐในการเผยแพร่ข่าวสาร

ปฏิเสธหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

นายจักรภพกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ต.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามให้ดำเนินคดีในข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ในการบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2550 ที่ผ่านมาว่า กรณีนี้เป็นข้อกล่าวหาฉกรรจ์ ที่ตนต้องขอโอกาสในการชี้แจง และแก้ข้อกล่าวหา โดยตนกำลังนำซีดีมาพิจารณาเพื่อแก้ข้อกล่าวหา

ทั้งนี้ นายจักรภพ ได้ตั้งข้อสงสัยว่า กรณีนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองไม่ว่าจะเป็นกรณีการบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ของกลุ่ม นปก.เมื่อปีที่แล้ว การสัมมนาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ รวมถึงการเปิดตัวช่องเอ็นบีที (ช่อง 11) ใหม่ด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น