xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : หลักฐานชัด “นอมินี”...แต่เอาผิดไม่ได้ หรือ ไม่อยากเอาผิดกันแน่?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

แม้ประจักษ์พยาน ทั้ง “วีซีดีทักษิณ” และคำพูดของทักษิณ-ผู้เกี่ยวข้องที่ผ่านสื่อ จะชัดและมัดว่า พรรคพลังประชาชน คือ ตัวแทน (นอมินี) ของพรรคไทยรักไทย ที่ถูกสั่งยุบไปแล้ว จึงน่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย-ต้องถูกยุบพรรคซ้ำรอย ทรท.แต่อนุฯ กกต.ชุดที่มี “ไพฑูรย์ เนติโพธิ์” เป็น ปธ.กลับยอมรับแค่ว่า หลักฐานชัดเรื่องนอมินี แต่ไม่มีกฎหมายที่จะเอาผิด จึงต้องยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยการยกคำร้อง ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนหน้า ปธ.อนุฯ อย่างไพฑูรย์ คนนี้ ก็เพิ่งจะออกมาชี้ว่า มีกฎหมายถึง 3 ฉบับที่สามารถเอาผิด พปช.ได้ แต่เหตุไฉนไม่กี่วันให้หลัง ท่าทีจึงเปลี่ยนไปจาก “หน้ามือ” เป็น “หลังเท้า” แบบนี้ ...หวังว่า คงไม่ใช่เพราะเคยช่วยอะไรทักษิณมาก่อน?

 คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ 


หลัง 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี จากกรณีพรรคไทยรักไทยถูกตุลาการรัฐธรรมนูญมีมติ 9 : 0 ให้ยุบพรรค ฐานแก้ไขข้อมูลทะเบียนสมาชิกพรรคและจ้างพรรคเล็ก 2 พรรค (พรรคพัฒนาชาติไทย-พรรคแผ่นดินไทย) ลงเลือกตั้งเพื่อเลี่ยงเกณฑ์ 20% ปรากฏว่า หลายคนใน 111 ยังคงเคลื่อนไหวมีบทบาทสำคัญในการหารังใหม่หรือพรรคใหม่ให้อดีต ส.ส.ไทยรักไทย เรื่อยไปจนถึงการจัดคนลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550 เพื่อให้ไทยรักไทยภายใต้ชื่อใหม่กลับมาผงาดมีอำนาจในฐานะรัฐบาลอีกครั้ง

สังเกตได้จากข่าวที่ว่า มีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยอย่าง นายเนวิน ชิดชอบ และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เข้ามาร่วมจัดโผผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชาชน มีการเปลี่ยนโผ ปลดผู้สมัครเดิมบางคน แล้วนำแกนนำ นปก.2 คนอย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายมานิตย์ จิตต์จันกลับ มาสวมแทน กระทั่งเกิดความวุ่นวายไม่พอใจในหมู่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.อยู่พักหนึ่งถึงขั้นขู่จะยกพวกลาออก!

ต่อมาก็มีอดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย นำโดย นายจาตุรนต์ ฉายแสง ออกมาประกาศตั้งกลุ่ม “บ้านเลขที่ 111” โดยอ้างว่าเพื่อแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์บ้านเมือง ไม่เกี่ยวกับพรรคพลังประชาชน และไม่ได้ต้องการหาเสียงให้พรรคพลังประชาชนแต่อย่างใด

แต่ กกต.ก็ได้ออกมาปรามมิให้ 111 อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทยเคลื่อนไหวเกินขอบเขต โดยประกาศให้ 111 คนทราบว่า ผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรคนั้น จะทำอะไรไม่ได้บ้าง เช่น ห้ามมีส่วนในการจัดตั้งพรรคใหม่ ,ห้ามไปเป็นกรรมการบริหารพรรคใหม่หรือกระทำการใดใดอันเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคนั้นๆ และห้ามหาเสียงให้พรรคหรือผู้สมัครพรรคใด มิฉะนั้นพรรคนั้นอาจถูกยุบได้!

แต่กฎเหล็กดังกล่าวของ กกต.ก็ไม่ได้ทำให้อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ เกรงกลัว เพราะช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ได้มีการแจกจ่ายวีซีดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดหาเสียงให้พรรคพลังประชาชนแก่ประชาชนอย่างกว้างขวางทั้งภาคเหนือและอีสาน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เพียงท้าทายกฎหมายเลือกตั้งด้วยการชวนให้ประชาชนเลือกผู้สมัครพรรคพลังประชาชนเท่านั้น แต่ พ.ต.ท.ทักษิณยังเผยด้วยว่า ตนเป็นคนชวนให้อดีต ส.ส.ไทยรักไทยมารวมตัวกันและตั้งพรรคใหม่ชื่อ“พรรคพลังประชาชน

“...ผมก็เลยบอกกับ ส.ส.พรรคไทยรักไทยทั้งหลายที่พรรคถูกยุบ ก็บอกว่า ถ้าเรารักประชาชน เราห่วงประเทศชาติ เรามารวมตัวกันเถอะ เพราะประชาชนเข้าใจเรา และรู้ดีว่าเราถูกกระทำ เขาก็เรียกมารวมตัวกันและมารวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ชื่อพรรคพลังประชาชน ชื่อดีครับ เพราะเราจะต้องขอพลังจากพี่น้องประชาชน เพื่อจะเอาความมั่งคั่งของประเทศกลับคืนมา...สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาก็คือพี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องยังมีปัญหาในชีวิต ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มที่ การเมืองมีความเข้มแข็ง แต่นั่นแหละครับมันเป็นจุดที่บางคนเขาอยากเห็นว่า ถ้าการเมืองอ่อนแอเขาได้ประโยชน์ ก็เลยอยากเห็นการเมืองบ้านเมืองของเราอ่อนแอ...แต่พี่น้องประชาชนจะต้องเอาพลังประชาชนสอนให้เขารู้เลยว่า การเมืองจะอ่อนแอไม่ได้ เพราะประชาชนจะอ่อนแอ เพราะฉะนั้นจะเลือกพรรคเดียวเนี่ยให้ดู พี่น้องเลือกพลังประชาชนให้ดู และมันจะเป็นพลังประชาชนนั่นแหละครับที่นำสิ่งที่พี่น้องเคยมีความสุขกลับคืนมา และที่สำคัญ เมื่อความยุติธรรมกลับคืนสังคมไทย ผมจะกลับไปอยู่กับพี่น้องประชาชน จะไปหาพี่น้องประชาชน ก็ขอฝากพรรคพลังประชาชนและผู้สมัครพรรคพลังประชาชนทุกคนด้วยครับ”

ทั้งนี้ มีข่าวว่า วีซีดีดังกล่าวบันทึกที่กรุงลอนดอน และนำไปปั๊มที่ฮ่องกง โดยเพื่อนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างนายเหยียน ปิน หรือนายชาญชัย รวยรุ่งเรือง ก่อนส่งให้ น.พ.สุรพงษ์ ลืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน และ นายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง นำไปแจกจ่ายประชาชนในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ!

ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า วีซีดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณหาเสียงให้พรรคพลังประชาชน ไม่ได้มีแค่เวอร์ชั่นภาษากลางเท่านั้น แต่มีเวอร์ชั่นภาษาถิ่นด้วย

“วันนี้พี่น้องครับ ส.ส.พรรคไทยรักไทยเก่า เขาไปรวมตั๋ว(ตัว)กัน ไปอยู่พรรคใหม่จื้อ(ชื่อ)ว่าพรรคพลังประชาชน จื้อจะดี แปลว่าพลังของประชาชน เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากจะบอกปี้น้องว่า สิ่งดีงามที่ปี้(พี่)น้องเคยได้ฮับ(รับ)ทั้งหลาย สิ่งที่ปี้น้องเคยชื่นชอบไทยรักไทยทั้งหลาย วันนี้ได้แปรสภาพมาเป็นพรรคพลังประชาชน ถ้าปี้น้องจ้วย(ช่วย)กันออกแฮง(แรง)ลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนกู้(ทุก)เขตกู้เบอร์ ปี้น้องจะได้เห็นว่าพรรคพลังประชาชนจะเป็นพรรคของปี้น้องประชาชนอย่างแท้จริง และจะนำสิ่งที่ดีงามที่เคยได้ฮับกลับคืนมาหมด และผมก็จะได้มีโอกาสจะปิ๊ก(กลับ)มาอยู่กับปี้น้อง ถ้าบ่าอั้น(ถ้าไม่อย่างนั้น)เขาจะแกล้งผมต่อไป ก็วันนี้ผมคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้น 1 ปีที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นฝันร้ายของประเทศไทย เป็นฝันร้ายของปี้น้อง แต่ว่าฝันร้ายพวกนี้มันจะหายไปทันที ถ้าปี้น้องจ้วยกันลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชน ได้มาทำหน้าที่รับใช้พี่น้อง ผมขอฝากพรรคพลังประชาชนด้วยนะครับ”

ด้านแกนนำพรรคพลังประชาชนต่างออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ แถมอ้างว่าวีซีดังกล่าวน่าจะไม่ผิด โดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน บอก ไม่เคยเห็นคลิปดังกล่าวมาก่อน และว่า เท่าที่ดูเนื้อหาน่าจะมีการถ่ายทำก่อนที่ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งจะประกาศใช้ ด้านนายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน(ขณะนั้นยังเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ) อ้างว่า วีซีดีดังกล่าวเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสามารถทำได้ และไม่ได้ทำในฐานะสมาชิกพรรค เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีตำแหน่งใดใดในพรรคพลังประชาชน!?!

ด้าน นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น เห็นว่า วีซีดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณหาเสียงให้พรรคพลังประชาชน ไม่เพียงเข้าข่ายผิดกฎหมายที่ห้ามผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองมีส่วนในการจัดตั้งพรรคใหม่ แต่ยังผิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 97 ที่ห้าม"ผู้ใด"ชี้นำให้เลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งด้วย นายวีระจึงได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานวีซีดีดังกล่าวให้ กกต.ตรวจสอบเพื่อเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.50

“ในคำร้องก็บอกถึงรายละเอียดที่ชี้ให้เห็นว่าคุณทักษิณเนี่ย แกกระทำผิดกฎหมายในการที่แกไม่ใช่คนที่จะมาชี้นำหรือจะมาช่วยหาเสียง ตัวคุณทักษิณก็มีความผิด เพราะคุณทักษิณเป็นผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองใน 111 คน คุณไม่สามารถไปช่วยเขาหาเสียงได้ และคุณก็ไม่สามารถไปช่วยชี้นำให้เขาเลือกพรรคการเมืองได้ อย่าว่าแต่ตัวคุณทักษิณเลย ประชาชนอย่างผมอย่างคุณก็ไม่มีสิทธิ กฎหมายใช้คำว่า "ผู้ใด" ใครก็ได้ คุณทักษิณไม่ใช่ผู้ใดธรรมดานะ ไม่ใช่ประชาชนอย่างคุณอย่างผม คุณทักษิณเป็นคนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้วด้วย และในส่วนของพรรคพลังประชาชนมันยืนยันชัด เพราะคุณทักษิณเป็นคนพูดเองว่าแกเป็นคนจัดการ ชักชวนชี้นำจัดตั้งพรรคพลังประชาชนและหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏมาโดยตลอด ก็แสดงให้เห็นเลยว่า พรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนหรือเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย ดังนั้นในเมื่อพรรคไทยรักไทย ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพรรคการเมืองนี้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตย ทำลายความมั่นคงของประเทศ และมีคำวินิจฉัยมีคำสั่งยุบพรรคไปแล้ว ดังนั้นตัวแทนหรือนอมินีก็จะต้องถูกยุบพรรคไปด้วย เพราะการกระทำของพรรคพลังประชาชนเนี่ยก็เป็นความผิดเช่นเดียวกัน”

หลังนายวีระ ยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ กกต.ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. โดยมีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน ต่อมา(14 ธ.ค.)นายวีระ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต.อีกครั้ง โดยเรียกร้องให้ กกต.วินิจฉัยให้ใบแดงพรรคพลังประชาชน เพราะเป็นที่ชัดเจนว่า พรรคพลังประชาชนเป็น “นอมินี”(ตัวแทน)พรรคไทยรักไทย จึงไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไปได้ ซึ่งนายไพฑูรย์ ได้เป็นประธานสอบเรื่องนอมินีเช่นกัน

ลองมาดูกันว่า อะไรบ้างที่สะท้อนชัดเจนว่า พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย เริ่มจากการที่นายสมัคร สุนทรเวช ได้ประกาศทันทีหลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคเมื่อวันที่ 24 ส.ค.50 โดยนอกจากจะพูดทำนองยอมรับว่าตนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังอ้างด้วยว่า การเป็นนอมินีนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีและทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า ไม่ใช่คำที่เลวทรามต่ำช้า

“นอมินีภาษาอังกฤษภาษาไทยมันเป็นคำที่มีคุณต่อบ้านเมืองนี้นะ เพราะนอมินีแหละเศรษฐกิจบ้านเมืองนี้จึงเจริญก้าวหน้ามาทุกวันนี้ ไอ้บริษัทรถยนต์จากญี่ปุ่นใหญ่โตมโหฬารที่มันมาลงทุนเมื่อ 40 กว่าปีก่อนมาลงหลักปักฐานเนี่ย เป็นบริษัทใหญ่โตเอาเงินมาถือหุ้นได้ 25% นอกนั้นต้องคนไทยถือ แล้วคนไทยที่ไหนมี 75% ไปลงทุนกิจการธุรกิจ ตระกูลใหญ่โตมโหฬาร ใครเป็นประธานมูลนิธิบริษัทรถยนต์ที่ชื่อ โตโยต้า ตระกูลไหน? เพราะฉะนั้นใครเป็นนอมินีให้โตโยต้า ตระกูลไหนเป็นนอมินีให้นิสสัน ตระกูลไหนเป็นนอมินีให้ฮอนด้าที่ปักหลักจนแข็งแรงทุกวันนี้ ธุรกิจทั้งหลายที่ถือหุ้น 25% ถ้าไม่มีนอมินี ใครเขาจะมาลงทุน บัดนี้จะเอานอมินีให้ตาย นอมินีเป็นความเลว นอมินีต่างหากที่ทำให้บ้านเมืองเจริญ เพราะฉะนั้นผมตอบคำถามตรงนี้ว่า ผมจะเป็นนอมินีให้นายกฯ ทักษิณหรือไม่ก็สุดแท้แต่ แต่ผมเป็นตัวของตัวของผมเองที่จะมาประกบกับพรรคนี้ และจะเอาคนที่ทำการเมืองได้ จะทำพรรคการเมืองนี้ให้แข็งแรง เพื่อจะเอาประชาธิปไตยกลับมาให้บ้านเมืองนี้”

ส่วนทางด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีคำพูดที่ยืนยันได้ชัดเจนว่า ตนมีส่วนสำคัญในการกำหนดตัวนอมินีที่จะมาเป็น “หัวหน้าพรรคพลังประชาชน” โดย พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับระหว่างให้สัมภาษณ์นายจอม เพชรประดับ ในรายการ “ตัวจริง ชัดเจน”เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.50 ที่ยังไม่ทันได้แพร่ภาพทางทีไอทีวี ก็มีอันเปลี่ยนสถานะเป็น”ทีวีสาธารณะ”เสียก่อน โดยยอมรับว่า ตนเป็นผู้ที่เสนอชื่อนายสมัครให้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พ.ต.ท.ทักษิณ บอกเหตุผลที่เลือกนายสมัครว่า “ก็ตรงไปตรงมา ผมถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมว่าไม่เคารพสถาบัน ...ทั้งที่ผมมีประวัติ ตั้งแต่สมรสพระราชทาน เป็นนักเรียนนายร้อย ไปเรียนต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาล และได้มีโอกาสถวายงานรับใช้พระองค์ท่านมา เป็นพลร่มด้วย แล้วถูกกล่าวหาแบบนี้ เจ็บปวดยิ่งกว่ากล่าวหาอย่างอื่นอีก ...เพราะฉะนั้นคนที่ผมแนะนำ สำหรับมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่ได้แนะนำเพื่อนๆ จะต้องเป็นคนที่ทำงานถวายเบื้องพระยุคลบาท และถวายความจงรักภักดีอย่างชัดเจน ซึ่งคุณสมัครคือหนึ่งในนั้น ผมก็เสนอไป พรรคพวกก็บอกว่า เออ ใช่เลย ก็ไปเชิญท่าน ท่านก็รับ

และสิ่งที่ทำให้คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณชัดเจนยิ่งขึ้นว่า นายสมัคร สุนทรเวช คือนอมินีหรือตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะมากอบกู้พรรคนอมินีของไทยรักไทยและช่วยแก้ข้อกล่าวหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือคำพูดที่ออกจากปากนายสมัครเองหลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 24 ส.ค.50 โดยยอมรับว่า ที่ตัดสินใจมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนก็เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณออกปากขอให้ช่วย ซึ่งนายสมัคร ก็ไม่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องผิดหวัง ด้วยการรีบแก้ข้อกล่าวหาต่างๆ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณทันที โดยเฉพาะเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกมองว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน

“...ที่กล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีนั้น จะพิสูจน์ยังไง มันเป็นไปไม่ได้ นั่นคือข้อที่ 1 จะพิสูจน์ก็ไม่ได้เพราะเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วผมเป็นใคร ผมก็เป็นพสกนิกร ผมกับนายกฯ ทักษิณ ผมได้รับพระราชทาน(เครื่องราชอิสริยาภรณ์)ตราทุติยจุลจอมเกล้าพร้อมกัน คนที่ได้รับตราทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษทั้งคู่เนี่ย คนอย่างนี้เหรอที่ไม่จงรักภักดีต่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คนได้รับพระราชทานตราขนาดนี้ อย่างนี้เหรอที่ไม่จงรักภักดี ผมเห็นว่าเขาโดนเหยียบย่ำชนิดที่เป็นไม่ได้ ผมจึงต้องตัดสินใจเมื่อเขาออกปากว่า ช่วยหน่อยได้มั้ย มีนักการเมือง 270 คน ซึ่งมีสถานะเป็นอดีต ส.ส.(ทรท.)ซึ่งยังลงเลือกตั้งได้ แต่ถูกฟาดฟันและถูกกำหนดการให้กระจัดกระจาย สับเป็นชิ้นเป็นท่อน เจตนาเพื่อจะให้นักการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งได้เป็นตัวหลักในการบริหาร และพวกนี้จะต้องสับเป็นท่อนหมด ไปอยู่พรรคเล็กพรรคน้อย อย่างนี้ละก็ถ้ากอบกู้กันไม่ได้ ก็จะเป็นไปตามนั้น แล้วบ้านเมืองก็จะเป็นไปตามเขากำหนด...”

คำพูดต่างๆ ที่ออกจากปาก พ.ต.ท.ทักษิณ และนายสมัครในหลายกรรมหลายวาระ ทั้งผ่านรายการโทรทัศน์และผ่านวีซีดี น่าจะมากพอแล้วกระมังที่จะสรุปว่า นายสมัครก็คือนอมินีหรือตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนพรรคพลังประชาชนก็คือนอมินีหรือตัวแทนของพรรคไทยรักไทย และไม่แปลกที่ประจักษ์พยานเหล่านี้จะทำให้อนุกรรมการของ กกต.ที่สอบเรื่องนอมินีที่มีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน สรุปผลเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ว่า พรรคพลังประชาชนเข้าลักษณะเป็น “ตัวการตัวแทน”หรือนอมินีของพรรคไทยรักไทย

โดยนายไพฑูรย์ เผย(13 มี.ค.)ว่า อนุกรรมการลงลึกไปถึงขนาดว่า พรรคพลังประชาชนทำโลโก้พรรคเลียนแบบพรรคไทยรักไทย ,การชำระภาษีอากร ,สัญญาเช่าตึกที่ได้รับสิทธิพิเศษจากเจ้าของอาคารที่ให้ใช้ฟรี ,การลอกนโยบายจากพรรคไทยรักไทย ,สมาชิกพรรคพลังประชาชนซึ่งหนุนพรรคไทยรักไทยมาก่อน และเงินบริจาคพรรค เป็นต้น ซึ่งนายไพฑูรย์ ชี้ว่า แม้ในแง่กฎหมาย จะไม่มีคำว่า “นอมินี” แต่สามารถดูในเชิงพฤติกรรมได้ว่า นายสมัครและพรรคพลังประชาชนมีความเกี่ยวเนื่องกับพรรคไทยรักไทยหรือไม่ ซึ่งหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏทั้งทางสื่อมวลชนและวีซีดีต่างยืนยันได้ชัดเจนแล้ว

ซึ่งนายไพฑูรย์ มองว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวน่าจะเป็นความผิดที่สามารถเทียบเคียงกับกฎหมายได้ 3 ฉบับ คือ รธน.2550 ,พ.ร.บ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. และ พ.ร.บ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยพรรคการเมือง!

หลังอนุกรรมการชุดนายไพฑูรย์สรุปผลสอบเสนอ กกต.เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ว่า พรรคพลังประชาชนเข้าข่ายเป็นตัวการตัวแทนหรือนอมินีพรรคไทยรักไทย ที่ประชุม กกต.ได้ให้อนุกรรมการฯ ไปสอบเพิ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งสอบนายวีระ สมความคิด และนายศุภผล เอี่ยมเมธาวี ที่เป็นผู้ร้องให้ กกต.สอบคดีนอมินี โดยให้เวลา 15 วัน

ขณะที่นายไพฑูรย์ บอก(12 มี.ค.)ว่า คณะอนุกรรมการสอบนายวีระมาแล้ว 12 ชั่วโมง ไม่ทราบว่าจะสอบในประเด็นใดแล้ว และในฐานะที่เป็นผู้ทำสำนวนคิดว่า สำนวนนี้มีความสมบูรณ์แล้ว เพราะมีพยานหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงปรากฏตามซีดีและหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว แต่เมื่อ กกต.ต้องการให้สอบเพิ่ม ก็ไม่ขัดข้อง

แต่ให้หลังไม่กี่วัน(17 มี.ค.)ก็มีข่าวว่า จริงๆ แล้ว แม้อนุกรรมการฯ จะสรุปผลว่า พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย แต่ที่สุดแล้ว อนุกรรมการฯ ก็มีมติให้ “ยกคำร้อง”เพราะไม่มีกฎหมายที่จะเอาผิดความเป็นนอมินี!?!

นอกจากนี้ท่าทีของนายไพฑูรย์ ประธานอนุกรรมการดังกล่าวก็ดูเปลี่ยนไป จากที่เคยบอกเมื่อวันก่อนว่า หลักฐานชัดว่าพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนหรือนอมินีของพรรคไทยรักไทย สามารถเอาผิดตามกฎหมายได้ 3 ฉบับ แต่ล่าสุด(18 มี.ค.) นายไพฑูรย์กลับออกอาการว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดกฎหมาย โดยวันดังกล่าว อนุกรรมการชุดนายไพฑูรย์ได้เรียกนายวีระมาสอบเพิ่ม เมื่อนายวีระขอบันทึกวีดีโอการสอบสวนไว้ด้วยเพื่อเป็นหลักฐานดังเช่นที่นายวีระเคยบันทึกในการชี้แจงต่ออนุกรรมการชุดอื่น แต่นอกจากอนุกรรมการชุดนายไพฑูรย์จะไม่อนุญาต(โดยอ้างว่าการให้ปากคำและสำนวนต้องเป็นความลับ) ทำให้นายวีระตัดสินใจไม่ชี้แจงใดใดเพิ่มแล้ว นายไพฑูรย์ ยังพูดแปลกๆ โดยกล่าวถึงการสอบเพิ่ม พ.ต.ท.ทักษิณว่า เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่มาชี้แจงและคงไม่ติดใจ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเพียงพยานบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างว่าพูดบันทึกเทปลงวีซีดี และนำมาแจกในประเทศไทย ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร!?!

เมื่อท่าทีของประธานอนุกรรมการที่สอบเรื่องนอมินีอย่างนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ ทำให้หวนนึกถึงผลงานของนายไพฑูรย์เมื่อครั้งที่ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการสอบกรณีนางพจนีย์ ณ ป้อมเพชร มารดาคุณหญิงพจมานหรือแม่ยาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แจกผ้าโพกหัวและเสื้อ “ทักษิณสู้ๆ”ให้ม็อบคาราวานคนจน ซึ่งขณะนั้นหลายฝ่ายมองว่า พยานหลักฐานชัดเจนว่าการแจกเสื้อดังกล่าว เข้าข่ายซื้อเสียงเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับเลือกตั้งเมื่อปี 2549 แต่อนุกรรมการชุดนายไพฑูรย์กลับยกคำร้อง โดยบอกว่า หลักฐานไม่พอ...

ขนาดกรณีดังกล่าวความผิดเบากว่า เพราะถ้าสรุปว่าหลักฐานพอ อย่างมาก พ.ต.ท.ทักษิณก็คงถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง ไม่ถึงขั้นยุบพรรค อนุกรรมการชุดนายไพฑูรย์ ยังบอกว่าหลักฐานไม่พอเอาผิด แล้วคราวนี้ ความผิดหนักกว่า เพราะถ้าสรุปและเอาผิดพรรคพลังประชาชนฐานเป็นตัวแทนหรือนอมินีพรรคไทยรักไทยที่ถูกตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไปแล้ว โทษจะถึงขั้น“ยุบพรรคพลังประชาชน” แล้วอนุกรรมการฯ อย่างนายไพฑูรย์ที่ทำให้สังคมเห็นว่าวันหนึ่งพูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง จะกล้าสรุปว่าผิดอย่างนั้นหรือ?

ทั้งที่หลายฝ่ายในสังคมต่างเห็นว่าพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งที่ผ่านวีซีดีและผ่านสื่อเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งและโทษถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชน ยกตัวอย่างเช่น อ. ปรีชา สุวรรณทัต นายกสภามหาวิทยาลัยวงศ์ชวลิตกุล นครราชสีมา และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า วีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณที่หาเสียงให้พรรคพลังประชาชนและชี้ชวนอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยตั้งพรรคใหม่คือพรรคพลังประชาชน ถือว่าเข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมืองอย่างชัดเจน มีโทษถึงขั้นยุบพรรค และว่า แกนนำพรรคพลังประชาชนไม่สามารถอ้างได้ว่า วีซีดีดังกล่าวผลิตขึ้นก่อนมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง เพราะผลิตเมื่อไหร่ไม่สำคัญ สำคัญว่านำวีซีดีมาแจกในช่วงที่ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งมีผลบังคับแล้ว คำอ้างของแกนนำพรรคพลังประชาชนจึงเป็นคำอ้างที่ฟังไม่ขึ้น

“อันนี้ฟังไม่ขึ้นหรอก แม้จะเป็นข้อเท็จจริงว่าทำมาก่อน พ.ร.ฎ.ก็แล้วแต่ ฟังไม่ขึ้น แต่แกนำมาเผยแพร่เอามาใช้ประโยชน์ในตอนนี้นี่ แกเอามาใช้ในตอนนี้หลัง พ.ร.ฎ.เลือกตั้งประกาศแล้ว มันก็เข้าข่ายแล้ว อันนี้ฟังไม่ขึ้นหรอก (ถาม-มันเป็นความเข้าใจผิดมั้ย แกนนำพรรคพลังประชาชนบางคนบอก คำพูดคุณทักษิณเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ทำได้ในฐานะประชาชนทั่วไปที่จะสนับสนุนพรรคไหนก็ได้?) แก(พ.ต.ท.ทักษิณ)ไม่ใช่ประชาชนทั่วไปแล้ว แกอยู่ใน 111 คนตามที่ตุลาการรัฐธรรมนูญได้ต้องห้ามไว้แล้ว อันนี้ประเด็นนี้มันฟังไม่ขึ้น จะอ้างว่ามีสิทธิเหมือนประชาชนทั่วไป มันไม่มีสิทธิประชาชนทั่วไปเขาไม่ต้องห้ามไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ...ไปย้อนอ่านดูสิคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญเนี่ย ที่เขายกมายุบพรรค และต้องห้าม 111 คนเนี่ยมีเหตุอะไรบ้าง แกต้องไปย้อนอ่านในอันนั้น ประชาชนทั่วไปเขาไม่ได้ต้องห้ามตามนั้น อันนี้เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย”

ด้านนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา และอดีต กกต.กทม.ก็ยืนยันเช่นกันว่า พรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนหรือนอมินีพรรคไทยรักไทย พูดง่ายๆ ก็คือพรรคเดียวกัน เพียงแต่แปรรูปไป ซึ่งในแง่กฎหมาย แม้จะไม่สามารถเอาผิดทางอาญาได้ แต่สามารถเอาผิดทางการเมืองได้ เพราะถือเป็น “อาชญากรรมทางการเมือง” ดังนั้น ไม่ควรอิงเรื่องตัวแทนหรือนอมินีกับกฎหมายอาญา แต่ต้องใช้กฎหมายมหาชน เพราะกฎหมายมหาชนถือว่า ถ้าการกระทำใดใดมีผลกระทบต่ออำนาจรัฐ คือการปกครองแล้ว การกระทำเช่นนั้น จะทำมิได้ ซึ่งไม่ต้องเขียนเป็นกฎหมายพิเศษแต่อย่างใด

“กฎหมายมหาชนเขาถือว่า ถ้าการกระทำใดใดมันมีผลกระทบกับอำนาจรัฐ คือการปกครองแล้วเนี่ย การกระทำเช่นนั้นทำมิได้ ไม่ต้องมี กม.เขียนพิเศษ หลักมีแค่นี้ ถ้าถามผม ผมมองว่า หลักฐานทั้งหมด ทั้งซีดีทั้งหมดที่ออกมา ก็คือพรรคนี้คือพรรคเดียวกัน แปรรูปไปเปลี่ยนโฉมไป ผมก็ถือว่าเป็นความผิดแล้วล่ะ ผมมีความเห็นว่า ไม่น่าจะนำหลักเรื่องที่ไม่มีกฎหมายเนี่ย มาใช้ในกรณีนอมินี เพราะนอมินีเนี่ยมันมีความชัดเจนในการที่จะทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง และตัวเองนั้นถูกตัดสิทธิตามกฎหมายตามคำพิพากษาของตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญนั้นถือเป็นกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ นี่คือหลักอันหนึ่งว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญเขาวางหลักไว้ว่าต้องถือปฏิบัติ ถือเป็นกฎหมายนะ คำสั่งตุลาการรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคน่ะ ถือเป็นกฎหมายนะ แม้จะไม่ผ่านนิติบัญญัติก็ตาม และที่ถามว่า ทำไมผมเชื่อว่านอมินีต้องผิด นอมินีก็คือตัวคนเชิดหนังตะลุงน่ะ จริงๆ แล้วนอมินีคือคนเชิด เราจะเห็นได้ว่าตัวหนังไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญที่คนเชิด ถ้าคนเชิดเป็น 111 คน ไอ้พวกที่ถูกยุบพรรคเนี่ย ผมถือว่าต้องรับโทษแล้ว รับโทษทำไม รับโทษเพราะว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญห้ามคุณยุ่งเกี่ยวในการเมือง ห้ามนี่ห้ามยังไง ห้ามภายใต้กฎหมายเลือกตั้ง คุณถูกตัดสิทธิ ต้องโยงอย่างนี้ โยงกลับมา”

ส่วนกรณีที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง บอกว่า ไม่อยากให้มีการยุบพรรค เพราะไม่อยากให้มีการเลือกตั้งบ่อย เพราะเลือกตั้งแต่ละครั้งใช้เงินมากกว่า 2,000 ล้านบาทนั้น นายวรินทร์ ให้ข้อคิดเตือนสติไว้อย่างน่าสนใจว่า “ปรัชญาการเลือกตั้ง”เขียนไว้ชัดว่า ต้องสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งนักกฎหมายก็มีปรัชญาเหมือนกันว่า เราจะต้องประสาทความยุติธรรม แม้ฟ้าจะถล่มดินจะทลายก็ตาม ดังนั้น ถ้า กกต.คิดจะดำรงความยุติธรรมไว้ในบ้านเมือง กกต.ก็ต้องไม่ทิ้งหลักเรื่องการอำนวยความยุติธรรม แม้การกระทำนั้นจะต้องแลกด้วยชีวิต หรือต้องแลกด้วยเงินในการจัดการเลือกตั้งมากแค่ไหน ก็ต้องทำ เพื่อประสาทความยุติธรรม ความสุจริต และเที่ยงธรรมให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน!!






กำลังโหลดความคิดเห็น