อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
ในที่สุด รบ.ผสม 6 พรรคภายใต้การนำของพรรคพลังประชาชน (พปช.) ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้การเมืองไทยด้วยการ มี ปธ.สภา อย่าง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ที่พัวพันคดีทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย และคดีพยายามฆ่ากรณีร่วมกับ ตร.กองปราบ บุกยิงบ้านตระกูลศตะกูรมะ ที่ศาลรับฟ้องแล้ว เมื่อ 15 ต.ค.2550 นอกจากนี้ ยังมีรอง ปธ.สภา อย่าง “พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย” อดีตแกนนำ นปก.ที่ยกพวกบุกบ้านป๋าเปรมและก่อจลาจลเมื่อเดือน ก.ค.ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ในมืออัยการแล้ว ส่วน “ว่าที่นายกฯ” ที่จะมีการโหวตกันในที่ประชุมสภา 28 ม.ค.นี้ เห็นทีจะหนีไม่พ้น “สมัคร สุนทรเวช” ผู้ที่ประกาศตัวพร้อมเป็นนอมินีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลองไปย้อนดูบทบาทของบุรุษผู้นี้ดูหน่อยเป็นไร
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปแล้วว่า “พรรคพลังประชาชน” ก็คือ พรรคนอมินี (ตัวแทน) ของพรรคไทยรักไทย โดยมีวีซีดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (1 ใน 111 อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีจากกรณีที่พรรคถูกตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งยุบฐานจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.49) หาเสียงให้ผู้สมัครพรรคพลังประชาชนเป็นเครื่องยืนยัน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดชัดว่า ตนเป็นผู้ที่ชักชวนให้อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย มารวมตัวกันและตั้งพรรคใหม่ คือ พรรคพลังประชาชน
“...ผมก็เลยบอกกับ ส.ส.พรรคไทยรักไทย ทั้งหลายที่พรรคถูกยุบ ก็บอกว่า ถ้าเรารักประชาชน เราห่วงประเทศชาติ เรามารวมตัวกันเถอะ เพราะประชาชนเข้าใจเรา และรู้ดีว่าเราถูกกระทำ เขาก็เรียกมารวมตัวกัน และมารวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ชื่อพรรคพลังประชาชน ชื่อดีครับ เพราะเราจะต้องขอพลังจากพี่น้องประชาชน เพื่อจะเอาความมั่งคั่งของประเทศกลับคืนมา... เพราะฉะนั้นจะเลือกพรรคเดียวเนี่ยให้ดู พี่น้องเลือกพลังประชาชนให้ดู และมันจะเป็นพลังประชาชนนั่นแหละครับที่นำสิ่งที่พี่น้องเคยมีความสุขกลับคืนมา และที่สำคัญ เมื่อความยุติธรรมกลับคืนสังคมไทย ผมจะกลับไปอยู่กับพี่น้องประชาชน จะไปหาพี่น้องประชาชน ก็ขอฝากพรรคพลังประชาชนและผู้สมัครพรรคพลังประชาชนทุกคนด้วยครับ”
นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีบทบาทสำคัญในการหา “รังใหม่” ให้อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ด้วยการเข้าเทกโอเวอร์พรรคพลังประชาชนแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็น “โต้โผ” ในการวางตัว “หัวหน้าพรรค” ด้วย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เหตุผลที่เลือก นายสมัคร สุนทรเวช มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ระหว่างให้สัมภาษณ์ นายจอม เพชรประดับ ในรายการ “ตัวจริง ชัดเจน” เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ยังไม่ทันได้แพร่ภาพทางทีไอทีวี ก็มีอันเปลี่ยนสถานะเป็น “ทีวีสาธารณะ” เสียก่อน โดย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า
“(เหตุผล) ก็ตรงไปตรงมา ผมถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมว่าไม่เคารพสถาบัน ...ทั้งที่ผมมีประวัติ ตั้งแต่สมรสพระราชทาน เป็นนักเรียนนายร้อย ไปเรียนต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาล และได้มีโอกาสถวายงานรับใช้พระองค์ท่านมา เป็นพลร่มด้วย แล้วถูกกล่าวหาแบบนี้ เจ็บปวดยิ่งกว่ากล่าวหาอย่างอื่นอีก ...เพราะฉะนั้นคนที่ผมแนะนำ สำหรับมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่ได้แนะนำเพื่อนๆ จะต้องเป็นคนที่ทำงานถวายเบื้องพระยุคลบาท และถวายความจงรักภักดีอย่างชัดเจน ซึ่งคุณสมัครคือหนึ่งในนั้น ผมก็เสนอไป พรรคพวกก็บอกว่า เออ ใช่เลย ก็ไปเชิญท่าน ท่านก็รับ”
และสิ่งที่ทำให้คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า นายสมัคร สุนทรเวช คือ ตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะมากอบกู้พรรคนอมินีของไทยรักไทย และช่วยแก้ข้อกล่าวหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือ คำพูดที่ออกจากปากนายสมัครเองหลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2550 โดยยอมรับว่า ที่ตัดสินใจมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนก็เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณออกปากขอให้ช่วย ซึ่ง นายสมัคร ก็ไม่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องผิดหวัง ด้วยการรีบแก้ข้อกล่าวหาต่างๆ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทันที โดยเฉพาะเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกมองว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน
“...ที่กล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีนั้น จะพิสูจน์ยังไง มันเป็นไปไม่ได้ นั่นคือข้อที่ 1 จะพิสูจน์ก็ไม่ได้เพราะเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วผมเป็นใคร ผมก็เป็นพสกนิกร ผมกับนายกฯ ทักษิณ ผมได้รับพระราชทาน (เครื่องราชอิสริยาภรณ์) ตราทุติยจุลจอมเกล้าพร้อมกัน คนที่ได้รับตราทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษทั้งคู่เนี่ย คนอย่างนี้เหรอที่ไม่จงรักภักดีต่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คนได้รับพระราชทานตราขนาดนี้ อย่างนี้เหรอที่ไม่จงรักภักดี ผมเห็นว่าเขาโดนเหยียบย่ำชนิดที่เป็นไม่ได้ ผมจึงต้องตัดสินใจเมื่อเขาออกปากว่า ช่วยหน่อยได้มั้ย มีนักการเมือง 270 คน ซึ่งมีสถานะเป็นอดีต ส.ส.(ทรท.) ซึ่งยังลงเลือกตั้งได้ แต่ถูกฟาดฟันและถูกกำหนดการให้กระจัดกระจาย สับเป็นชิ้นเป็นท่อน เจตนาเพื่อจะให้นักการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งได้เป็นตัวหลักในการบริหาร และพวกนี้จะต้องสับเป็นท่อนหมด ไปอยู่พรรคเล็กพรรคน้อย อย่างนี้ละก็ถ้ากอบกู้กันไม่ได้ ก็จะเป็นไปตามนั้น แล้วบ้านเมืองก็จะเป็นไปตามเขากำหนด...”
และวันนี้ นายสมัคร ก็สามารถกอบกู้พรรคนอมินีของพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สำเร็จแล้ว และใกล้จะไปถึงฝันในการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทยแล้ว ถ้าไหนๆ คนไทยจะต้องมีนายกฯ ที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช แล้ว เรามาย้อนดูปูมหลัง-บทบาทในบางแง่มุมที่น่าสนใจของชายผู้นี้กันหน่อยเป็นไร เพื่อจะได้ไม่ลืมว่า เขาเคยพูดอะไร จนเป็นเรื่องใหญ่สะเทือนไปทั้งสังคมบ้าง?
เริ่มด้วยพฤติกรรม-คำพูดที่ทำให้นายสมัครถูกสังคมสวดยับ เพราะดันออกอาการปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษเมื่อวันที่ 9 ก.พ.2549 เรื่องมีอยู่ว่า พล.อ.เปรม ได้ไปกล่าวปาฐกถาเรื่อง “แนวทางพระราชดำริสู่การบริหารจัดการภาครัฐ” ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต โดย พล.อ.เปรม กล่าวตอนหนึ่งว่า ดีใจที่คนไทยทุกระดับพูดถึงเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมกันมากขึ้น และว่า ความเก่ง ความฉลาดเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่มีคุณธรรม ไม่มีจริยธรรม ไม่น่าจะดี นอกจากนี้ พล.อ.เปรม ยังได้ยกแนวพระราชดำริ 14 ประการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาบอกเล่าพร้อมแนะนำให้ประชาชนนำไปปฏิบัติ ได้แก่ การบริหารประเทศจะต้องไม่เอาประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ของญาติพี่น้อง ประโยชน์ของบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องเป็นการบริหารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามกฏเกณฑ์ เที่ยงธรรม เที่ยงตรง มีประสิทธิภาพ และผู้บริหารจะต้องมีมาตรฐานเดียวเสมอหน้ากัน ทั่วถึงกัน ต้องไม่มีหลายมาตรฐานหรือไม่มีมาตรฐานเลย หรือไม่ใช้มาตรฐานตามอารมณ์
ทันทีที่คำพูด พล.อ.เปรม เป็นข่าวพาดหัวตัวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์วันรุ่งขึ้น นายสมัคร สุนทรเวช ก็ออกอาการเดือดร้อนแทนใครบางคนขึ้นมาทันที จากนั้นก็ได้พูดตอบโต้ พล.อ.เปรม ออกรายการ”เช้าวันนี้ที่เมืองไทย” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 และสถานีวิทยุคลื่น FM.105 หาว่า พล.อ.เปรมพูดไม่ถูกกาละเทศะ พร้อมอ้างว่า พล.อ.เปรม ยกพระราชดำริ 14 ข้อขึ้นมาเพราะต้องการให้กระทบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
“ท่าน พล.อ.เปรม รับเชิญปาฐกถาที่เนี่ย บัณฑิตปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตเนี่ย ทั้งหมดก็ 14 ข้อ คือ เมื่อประมาณสักปีก่อน คุณเปรม เอ๊ย! ท่านองคมนตรีท่านปาฐกถาไม่เป็นปัญหา รออีก 3 เดือนปาฐกถาก็ไม่เป็นปัญหา แต่เขากำลังล่อกันอยู่เนี่ย กำลังจะขับไล่นายกฯ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ออกจากตำแหน่งเนี่ย ไม่มีสิทธิไม่มีนั่นแล้วนะ ท่านประธานองคมนตรีปาฐกถา (ดุสิต ศิริวรรณ ผู้ดำเนินรายการร่วมพูดว่า เป็นเหยื่อเลย) เป็นเหยื่อเลย 14 ข้อ ทุกข้ออ่านมาแล้วเนี่ย แปลว่ากระทบใคร กระทบนายกรัฐมนตรี (ดุสิต ถามว่า คุณสมัครไม่คิดมากเกินไปนะ?) คิดมากเลย ผมคิดมากเลยเรื่องนี้ ผมคิดเลยว่าทำไม ทำไมจะต้อง ผมอยากใช้คำว่า เอากะเขาด้วย ทำไม? บ้านเมืองกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน กำลังจะล่อ-ไม่ล่อกันอยู่เนี่ย องคมนตรี 2 ท่านออกมาแสดงอย่างนี้ทำไม คือ ท่านไม่ต้องทำอะไร เฉยๆ ใครจะว่าอะไร ใครจะไปเดือดร้อนกับท่าน ใครจะไปอะไรกับท่าน หา!”
หลังนายสมัครจาบจ้วง พล.อ.เปรม ส่งผลให้หลายภาคส่วนในสังคม ทั้งประชาชนและทหารแสดงความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง พร้อมจี้ให้นายสมัครขอโทษ พล.อ.เปรม และให้ช่อง 5 ถอดรายการของนายสมัคร ขณะที่ชาวบ้านจากสงขลาบางส่วนทนไม่ได้ เดินทางมาเรียกร้องถึงช่อง 5 ให้นายสมัครแสดงความรับผิดชอบ แต่สุดท้ายนายสมัครก็ไม่รับผิดชอบ เพราะแค่ยอมยุติรายการ แต่ไม่ยอมขอโทษ พล.อ.เปรม แต่อย่างใด!?!
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายสมัครจาบจ้วง พล.อ.เปรม ได้ไม่นานประมาณ 4 เดือน (29 มิ.ย.49) พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ออกมากล่าวหาว่า “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” เข้ามาวุ่นวายองค์กรในรัฐธรรมนูญ ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ซึ่งหลายฝ่ายในสังคมข้องใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวหาใครกันแน่ กล่าวหา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หรือกล่าวหาสถาบันที่ประชาชนเคารพสูงสุด จึงได้มีการเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณรับผิดชอบในคำพูดด้วยการพูดให้ชัดว่า ใครคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่สักแต่กล่าวหา แต่สุดท้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่รับผิดชอบ-ไม่ยอมบอก!
ด้าน นายสมัคร นอกจากมีผลงานจาบจ้วง พล.อ.เปรมแล้ว ยังมีความสามารถในการหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วย สังเกตได้จากเคยพูดหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ออกรายการโทรทัศน์ (ระหว่าง 12-19 ม.ค.49) ว่า ทุจริตโครงการ กทม.10 โครงการ 3 พันล้าน แถมยังหาว่า นายสามารถรับสินบนจากผู้รับเหมาเป็นรถบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 สุดท้ายนายสมัครก็ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา (เมื่อ 12 เม.ย.50)
นอกจากนายสมัครจะมีชนักติดหลังในคดีหมิ่นประมาทแล้ว นายสมัครยังเป็น 1 ในผู้ที่ถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวโทษในคดีทุจริตรถ-เรือดับเพลิงของ กทม. เพราะนายสมัครเป็นผู้ลงนามจัดซื้อระหว่างที่รักษาการผู้ว่าฯ กทม.ในวันสุดท้าย (27 ส.ค.47) อีกด้วย
ลองไปดูพฤติกรรม-คำพูดเด่นๆ ของนายสมัคร หลังดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนกันบ้าง ซึ่งคงหนีไม่พ้นกรณีที่นายสมัครฉุนนักข่าวที่ถามเรื่องที่ตัวเองไม่อยากตอบ จึงโยนคำถามที่หยาบคายใส่นักข่าวว่า “เมื่อคืนคุณไปร่วมเมถุนกับใครหรือไม่?”
คงยังไม่ลืมว่า เหตุที่นักข่าวต้องพยายามถามหาความจริงจากนายสมัคร เพราะขณะนั้นได้เกิดปัญหากับรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 6 (กรุงเทพฯ-นนทบุรี-สมุทรปราการ) ของพรรคพลังประชาชน โดยมีการตัดรายชื่อผู้สมัครเดิมออก 2 คน(นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณและนายคณวัฒน์ วสินสังวร) แล้วนำรายชื่อแกนนำ นปก.2 คนมาใส่แทน คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงรายชื่อดังกล่าวส่งผลให้ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชาชนไม่พอใจเป็นอันมาก ถึงขนาดขู่ว่า จะยกพวกลาออกทั้งหมด ถ้าพรรคไม่จัดการเรื่องนี้ โดยประเด็นสำคัญก็คือ มีข่าวหลุดออกมาว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโผรายชื่อผู้สมัครดังกล่าว ก็คือ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้ว 2 คน นายเนวิน ชิดชอบ และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์!
ดังนั้น เมื่อนายสมัครเปิดแถลงเรื่องนี้ (เมื่อวันที่ 8 พ.ย.50) โดยอ้างว่า เรื่องรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ดังกล่าวไม่มีปัญหาแล้ว ผู้สื่อข่าวจึงได้ถามว่า “มีข่าวว่าคุณหญิงสุดารัตน์ และนายเนวิน เข้ามาร่วมจัดโผ ส.ส.สัดส่วน จริงหรือไม่?” แต่นายสมัคร กลับออกอาการไม่พอใจ โดยบอกว่า ตนไม่มีหน้าที่ต้องมาแถลง แล้วนายสมัครก็ตั้งข้อกล่าวหาผู้สื่อข่าวหลายคนที่พยายามถามเรื่องดังกล่าวว่า จงใจทำให้พรรคพลังประชาชนแตกแยก ก่อนที่นายสมัครจะหลุดคำถามที่หยาบคายใส่ผู้สื่อข่าว
“เมื่อกี้บอกแล้วไงว่า ใครจะแคะไค้เรื่องนี้นะ แปลว่ามีเจตนาต้องการจะทำให้พรรคพลังประชาชนมันเกิดความยุ่งยากเสียหาย เขาจบเรื่องกันเรียบร้อยแล้ว ยังแคะอีก คุณอยู่ฉบับไหน บอกซิ? (ผู้สื่อข่าวตอบว่า “สยามรัฐ”) สยามรัฐ ถามซิว่า ถ้าใครเขากล่าวหาสยามรัฐในทางเสียหาย คุณจะรู้สึกยังไง? (ผู้สื่อข่าวตอบว่า “ต้องชี้แจง”) ต้องชี้แจง แล้วไง แล้วถ้าเผื่อคนเขากล่าวหาโดยไม่มีเหตุผลล่ะ นี่เขากล่าวหาบอกว่าสยามรัฐมีแผนการต้องการจะทำลายพรรคพลังประชาชน เขากล่าวหาอย่างนี้ คุณชี้แจงยังไง ถ้าเขาถามว่า เมื่อคืนนี้คุณไปร่วมเมถุนกับใครหรือเปล่า ร่วมหรือเปล่าเมื่อคืนนี้? (ผู้สื่อข่าวตอบว่า “ไม่ร่วม”) ไม่ร่วมก็โอเค ก็จบเรื่องไปใช่มั้ย(ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหัวเราะชอบใจ)แต่ปัญหาว่า ไอ้คนที่ถามอย่างนี้ เลวมั้ย”
หลังสื่อมวลชนทุกแขนงนำเสนอข่าวคำพูดดังกล่าวของนายสมัคร ส่งผลให้นายสมัครไม่พอใจและเก็บอาการไม่อยู่อีกครั้ง โดยคราวนี้ นายสมัครด่าสื่อว่าเลวทรามต่ำช้าที่ตีข่าวเรื่องนี้ พร้อมยืนยันว่า คำพูดของตนเป็นคำที่สุภาพที่สุดแล้ว นายสมัครยังท้าด้วยว่า หากใครเห็นว่าคำพูดของตนไม่สุภาพ ก็อย่าลงคะแนนให้ในการเลือกตั้ง และว่า ถ้าหัวหน้าพรรคเป็นอย่างนี้ แล้วพรรคมันจะเจ๊งก็ให้มันรู้ไป!
นอกจากการมีปัญหากับสื่อโดยไม่จำเป็นแล้ว ในการปราศรัยหาเสียงให้ผู้สมัครและพรรคพลังประชาชน นายสมัครยังมีกลยุทธกล่าวหาผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเพื่อเรียกคะแนนให้พรรคด้วย ซึ่งคำพูดของนายสมัครทำให้สังคมเข้าใจว่า ผู้ที่นายสมัครกล่าวหาก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั่นเอง ตัวอย่างเช่น ในการปราศรัยที่วงเวียนใหญ่ (เมื่อ 12 ธ.ค.50) นายสมัคร อ้างว่า มีอีแอบบางคนด่าอดีตนายกฯ ว่าไม่เคารพสถาบันและเอาสถาบันไปเหยียบย่ำ และว่า “อีแอบผมขาวเป็นคนเรียกร้องให้สื่อมวลชนเขียนข่าวด่าผม ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เพราะไอ้คนหัวโจกคนนี้ เป็นคนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง ยังไม่มีใครคิดบัญชี”
ไม่แค่นั้น นายสมัคร ยังพูดทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง ว่า มีมือสกปรก มือที่มองไม่เห็นพยายามสกัดไม่ให้พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและไม่ให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งอ้างด้วยว่า มือที่มองไม่เห็นดังกล่าวพยายามจะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลได้รับความกระทบกระเทือน ตนจึงต้องรีบแถลงจัดตั้งรัฐบาลกับ 3 พรรคเล็กไปก่อนเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.50 (ก่อนกำหนดเดิมที่วางไว้ว่าจะรอการตัดสินใจของพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดินแล้วแถลงทีเดียววันที่ 4 ม.ค.)
เมื่อพูดถึง “มือสกปรก-มือที่มองไม่เห็น” ที่นายสมัครอ้างแล้ว อดไม่ได้ที่จะนำบทความที่น่าสนใจของ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ที่ชื่อ “มือสกปรกและปากโสมม”ที่เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์มติชน (เมื่อ 5 ม.ค.51) มาเล่าสู่กันฟัง เพราะนอกจากข้อเขียนดังกล่าวจะยกคำพูดของนายสมัครเรื่องมือสกปรก-มือที่มองไม่เห็นมาให้ดูว่าพูดอย่างไรแล้ว ยังมีการยกตัวอย่างมือสกปรกและปากโสมมที่มีบทบาทในช่วงเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 ด้วย ขออนุญาตยกมาบางช่วงบางตอน
“...นายสมัคร กล่าวว่า ขอใช้สิทธิที่เคยถูกเตะออกจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จากการยึดอำนาจ (เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549)... แต่หลังยึดอำนาจมาบ้านเมืองเสียหายย่อยยับ ตนต้องมากอบกู้ ....นายสมัครยังอ้างด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีปากที่มองไม่เห็นสั่งให้เขียนการ์ตูนด่าตนว่าเป็นคนก้าวร้าว ไม่ควรเป็นนายกฯ”
“ถ้าใครที่ไม่รู้จัก นายสมัคร ฟังคำให้สัมภาษณ์นี้แล้ว คงเข้าใจว่า นายสมัครเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตย ต่อต้านการรัฐประหาร แต่ความจริงแล้วนายสมัครมีพฤติกรรมอย่างไรในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมา เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักหนังสือพิมพ์อาวุโส นักการเมืองและนิสิตนักศึกษาในยุคนั้น นายสมัครที่อ้างว่า ต่อต้านการรัฐประหารในวันนี้ โดดเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร (คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน)ซึ่งมีการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนจนเลือดนองท้องสนามหลวงและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519”
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสมัยนั้นคุมทั้งกรมตำรวจ กรมอัยการ กรมราชทัณฑ์ กรมการปกครองและกรมอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก จึงเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจกว้างขวางกว่าตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในปัจจุบันมาก โดยเฉพาะอำนาจในการสั่งเปิดหนังสือพิมพ์ที่ถูกคำสั่งคณะรัฐประหารสั่งปิดเมื่อเจ้าของหนังสือพิมพ์ไปขออนุญาตเปิดหนังสือพิมพ์ มี'มือสกปรก'ที่มองไม่เห็นสั่งให้เจ้าของหนังสือพิมพ์ให้เด็ดหัวนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์ที่ผู้มีอำนาจในยุคนั้นไม่ชอบหน้าเสียก่อนเพราะรู้ “กำพืด” ตัวเองดี จึงจะเปิดหนังสือพิมพ์ต่อไปได้ ปรากฏว่า มีนักข่าวนักหนังสือพิมพ์จำนวนมากต้องถูกไล่ออกจากงาน เช่น วิภา สุขกิจ ผุสดี คีตวรนาฏ ซึ่งทั้งคู่เป็นนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยในเวลาต่อมา”
“นอกจาก “มือสกปรก” ที่มองไม่เห็นสั่งเด็ดหัวนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แล้ว ยังมี “ปากโสมม” ที่มองไม่เห็นเสนอให้มีการกวาดล้างนิสิตนักศึกษาสัก 2,000 คน ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวาย น่าเสียดายที่นักหนังสือพิมพ์บางคนลืมบทเรียนในอดีตและนักข่าวรุ่นหลังไม่มีโอกาสเรียนรู้'กำพืด'ของคนบางคน เช่นเดียวกับบุคคลที่อ้างตัวว่า เป็นคนเดือนตุลาฯที่ลืมความเจ็บปวดที่เพื่อนพี่น้องถูกเข่นฆ่าในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อย่างโหดเหี้ยม ยอมทำทุกวิถีทางแม้แต่ผสมพันธุ์กับผู้คนไม่เลือกหน้าเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐและสนองตอบคำสั่งของ “นายใหญ่”…”
มาถึงบรรทัดนี้ คงไม่ต้องยกตัวอย่างบทบาทใดๆ ของ นายสมัคร สุนทรเวช อีก เพราะน่าจะเพียงพอต่อการสรุปได้แล้วว่า ชายคนนี้เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ของไทยหรือไม่?