ผู้จัดการออนไลน์ – “อภิรักษ์” เปิดใจกับไทยพีบีเอส กรณีประกาศยุติบทบาทผู้ว่าฯ กทม.ระบุ ไม่ได้ต้องการสร้างภาพ หรือหวังผลทางการเมือง ทำลายคู่แข่ง แต่ต้องการสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่ เผย อนาคตทางการเมืองส่วนตัวจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ยืนยันยังไม่คิดถึงเรื่องการลงสนามใหญ่
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ไทยพีบีเอสสัมภาษณ์เปิดใจ "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ในวันที่ต้องยุติบทบาทผู้ว่าฯ กทม.
วานนี้ (13 มี.ค.) รายการตอบโจทย์ ทางสถานีโทรทัศน์สาธารณะไทยพีบีเอส เชิญนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่วานนี้ประกาศยุติบทบาทการทำงานในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.เนื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ชี้มูลความผิดว่านายอภิรักษ์มีส่วนร่วมทุจริตโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กรุงเทพมหานคร
นายอภิรักษ์ เปิดเผยถึงการตัดสินใจยุติบทบาทในการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ว่า เนื่องจากเมื่อตนถูก คตส.ชี้มูลความผิด ก็ได้ทำการหารือกับทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้ว จนสุดท้ายตนเองได้ตัดสินใจยุติบทบาทผู้ว่าฯ กทม.เพื่อที่จะรับทราบข้อกล่าวหาและต่อสู้ข้อกล่าวหาต่อไป
“ผมขอยุติบทบาท เพื่อที่จะได้แสดงจุดยืน แสดงสปิริตที่มีความชัดเจน เพื่อที่จะไปรับทราบข้อกล่าวหา และต่อสู้ในกระบวนการชี้แจงข้อกล่าวหา และหวังว่าอนุฯ ไต่สวนได้เข้าใจถึงเหตุผลการดำเนินงานในช่วงสามปีที่แล้ว ผมก็หวังว่าประชาชนที่มีโอกาสเลือกผมมาเป็นผู้ว่าฯ ก็จะเกิดความสบายใจ เกิดกระบวนการตรวจสอบที่โปร่งใส” ผู้ว่าฯ กทม.กล่าว
เมื่อพิธีกรถามว่า ทำไมข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของรถดังเพลิงที่มีการเปิดเผยในช่วงหลังจึงแตกต่างจากดั้งเดิมมาก จนกลายเป็นเรื่องที่เด่นชัดว่ามีการทุจริตกัน โดยในประเด็นนี้นายอภิรักษ์ ตอบว่า เรื่องนี้มีการตกลงกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลออสเตรีย ก่อนที่ตนเข้ามาดำรงตำแหน่ง ทั้งยังมีการตกลงในรายละเอียดของคุณสมบัติรถดับเพลิงอย่างชัดเจน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และการลงนามเปิดแอลซี (หนังสือรับรองเครดิต) ก็เกิดขึ้นในช่วงที่ตนเพิ่งมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ส่วนรายละเอียดหลายๆ ประการนั้น เพิ่งมาปรากฏในตอนหลัง
ต่อมาพิธีกรถามว่าขณะที่ลงนามเปิดแอลซีนั้น นายอภิรักษ์ มีความรู้สึกว่าธุรกรรมครั้งนี้มีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ซึ่ง นายอภิรักษ์ ได้ตอบว่า
“การตัดสินใจหรือการทำหน้าที่ของผมนั้นต้องยึดอยู่ในกรอบของการทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามของ กทม.ซึ่งต้องดำเนินการภายใต้ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน คงไม่สามารถที่จะตัดสินใจด้วยความรู้สึกส่วนตัว โดยในส่วนของการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงก็ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างรอบคอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งก็คือกระทรวงมหาดไทย โดยในสมัยนั้นก็คือรัฐบาล (พรรคไทยรักไทย) และคือ ผู้ที่ลงนามในบันทึกข้อตกลงในนามของรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรีย และโครงการนี้ก็เป็นโครงการที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีการลงนามในสัญญาแสดงเจตนารมณ์ในการซื้อขายและมีการระบุถึงราคาและอุปกรณ์ไว้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผมเองเข้ามาในเดือนแรกก็พบว่าเรื่องนี้ได้ดำเนินการจนอาจเรียกว่าแล้วเสร็จแล้ว มีการดำเนินการเปิดแอลซีไปแล้วด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าในวันนั้นสิ่งที่ทำได้ในวันนั้นก็คือการระงับ ชะลอ และตรวจสอบให้ได้ดีที่สุด” ผู้ว่าฯ กทม.กล่าว
“ถ้าในวันนั้นตัดสินใจในอีกทางหนึ่ง เช่น ไม่ดำเนินการเปิดแอลซี ก็จะมีความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยคู่สัญญาคือกรุงเทพมหานครก็จะเป็นผู้ที่ผิดสัญญา และผลกระทบก็คือ บริษัทคู่สัญญาก็อาจจะไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายซึ่งอันนั้นก็อาจจะกลับไปในอีกทิศทางหนึ่งที่เรียกว่าเป็นค่าโง่ เหมือนกับที่เราเคยได้ยินในคดีอื่นๆ”
สำหรับรถดับเพลิงอื้อฉาวนั้น นายอภิรักษ์ กล่าวว่า รถและเรือดับเพลิงดังกล่าวนั้นมีการส่งเข้ามาสองล็อต โดยล็อตที่หนึ่งนั้นอยู่ในความดูแลของบริษัท สไตเออร์ ส่วนล็อตที่สองอยู่ที่บริเวณท่าเรือ ซึ่งทั้งหมดได้มีการกำชับให้มีการดูแลอยู่ในสภาพดีที่สุด ทั้งนี้ ในที่สุดแล้วรถเหล่านี้จะมีการทำอย่างไรต่อไปก็ขึ้นอยู่กับมติของ คตส.ซึ่งตนทราบอย่างไม่เป็นทางการมาว่าก็คงจะมีการยกเลิกสัญญา สิ่งต่างๆ ก็ต้องคืนทางคู่สัญญาไป เนื่องจาก คตส.ตัดสินว่ากระบวนการทำสัญญาระหว่างรัฐบาลไทย กับออสเตรีย นั้น มีความฉ้อฉล มิชอบ
ส่วนกรณีที่มีการชำระเงินค่ารถและเรือดับเพลิงกันไปนั้น นายอภิรักษ์ กล่าวว่า การชำระเงินแบ่งเป็น 9 งวด โดยเฉลี่ยงวดละประมาณ 800 กว่าล้านบาท โดยที่ผ่านมามีการดำเนินการไปแล้วสามงวด ซึ่งจะจ่ายทุกหกเดือน หรือรวมสองพันกว่าล้านบาท ทั้งนี้ ทุกครั้งที่มีการชำระเงินทาง กทม.เองได้ทำการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดว่าจำเป็นต้องจ่ายหรือไม่ สัญญาเป็นโมฆียะแล้วหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันนี้คณะกรรมการ คตส.ชี้มูลออกมาแล้วว่าสัญญามิชอบก็ต้องมีการแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ระงับการจ่ายเงินในงวดที่เหลือเสีย และดำเนินการฟ้องร้องเรียกเงินในส่วนที่จ่ายไปแล้วกลับคืนมา
ปัดคน ปชป.มีเอี่ยวหาผลประโยชน์
เมื่อพิธีกรถามว่า ในขณะนั้นบรรยากาศทางการเมืองที่พรรคไทยรักไทยกุมเสียงข้างมากในฝ่ายนิติบัญญัติและกุมอำนาจในฝ่ายบริหาร ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีเพียงแค่ กทม.เท่านั้นที่เป็นฐานที่ตั้ง เป็นแหล่งผลประโยชน์เดียวที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถมีเอี่ยวด้วย มีความเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไรกับคดีนี้
“ในประเด็นนี้ถ้าจะมองกันด้วยความเป็นธรรม ในบรรยากาศที่คนไทยได้เห็นในช่วงระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมาก็เป็นการต่อสู้ ที่อาจจะเรียกได้ว่าของพรรคการเมืองสองขั้วอย่างชัดเจน ... ผมเรียนยืนยันได้ว่าไม่มีใครในพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามามีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ โครงการนี้ตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริง และข้อจำกัดในเงื่อนเวลาและการตรวจสอบในช่วงที่ผมเริ่มเข้ามาทำงานในช่วงเดือนแรก และในที่สุดต้องตัดสินใจหลังจากที่คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นได้ตรวจสอบหนังสือสั่งการ หรือแม้แต่ กระบวนการทางกฎหมาย ยืนยันว่าอันนี้ตัดสินใจบนพื้นฐานของความจำเป็นในการดำเนินการของแอลซี หลังจากที่ได้มีการชะลอ ... ” นายอภิรักษ์ กล่าว
ระบุยุติบทบาทเพื่อสร้างบรรทัดฐานการเมืองใหม่
เมื่อพิธีกรถามว่า การแสดงสปิริตด้วยการยุติบทบาทการทำงานในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ของนายอภิรักษ์มีจุดมุ่งหมายในการส่งสัญญาณไปยังบุคคล หรือสร้างแรงกดดันให้กับคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมมนตรี หรือไม่ เนื่องจากมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าการที่นายอภิรักษ์ทำอย่างนี้นั้นเป็นการแสดงสปิริตที่สูงเกินไป และก็มีปัจจัยมาจากการที่นายอภิรักษ์ใกล้หมดวาระในการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ แล้วด้วย ซึ่งในประเด็นนี้นายอภิรักษ์ได้ตอบปฏิเสธ
“ผมคิดว่าอันนี้เป็นการแสดงจุดยืนทางการเมือง ในการทำหน้าที่ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งก็เป็นการตัดสินใจส่วนตัวในการที่จะแสดงจุดยืนของผม เพื่อที่จะให้สังคมได้เห็นถึงบรรทัดฐานของการทำงานการเมืองใหม่ ที่ผู้ถูกกล่าวหาต้องแสดงความรับผิดชอบในการที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองให้กับสังคมหรือแม้แต่ประชาชนได้รับทราบ” ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมทั้งปฏิเสธด้วยว่า กรณี คตส.ตัดสินว่าตนมีส่วนร่วมกับการทุจริตนั้นมีการเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เพราะคณะอนุกรรมการที่ตรวจสอบเรื่องนี้ในทั้งสมัย คมช.หรือรัฐบาลชุดนี้ต่างก็ให้ความเห็นว่าตนไม่มีความผิดเกี่ยวกับคดีนี้
กรณีที่มีข้อกล่าวหาว่า นายอภิรักษ์ ยุติบทบาทเพื่อเตรียมการหาเสียงลงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ใหม่อีกครั้งนั้น นายอภิรักษ์ กล่าวว่า จริงๆ แล้วหากตนยังดำรงตำแหน่งอยู่ ตนน่าจะมีความได้เปรียบเสียด้วยซ้ำในการหาเสียง และการยุติบทบาทของตนในวันนี้ไม่ได้ส่งผลดีอะไรเลยหากตนต้องการจะลงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ในสมัยหน้า นอกจากนี้ยังตอบคำถามพิธีกรด้วยว่าตนก็ไม่ได้ยุติบทบาทเพื่อเตรียมตัวไปเล่นการเมืองในสนามระดับประเทศเช่นกัน
ต่อข้อถามถึงกรณีที่ว่า นายอภิรักษ์ มองเส้นทางการเมืองของตนเองในอนาคตอย่างไร โดยในประเด็นนี้ นายอภิรักษ์ ตอบว่า ก็ขึ้นอยู่กับการต่อสู้เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมในเรื่องเกี่ยวกับกรณีรถดับเพลิงนี้ว่ามีผลออกมาอย่างไร ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วมีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน อย่างไรก็ตามหากรูปการณ์เปลี่ยนไปก็คงจำเป็นต้องตัดสินใจอีกอย่าง ทั้งนี้ทั้งนั้นการดำเนินงานทางการเมืองในสนามใหญ่นั้นตนยังไม่ได้ตัดสินใจ
ในช่วงสุดท้ายของรายการ นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ตนหวังว่า โครงการที่ตนได้ริเริ่มไว้และใกล้จะแล้วเสร็จอย่างเช่นส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมถึงการเชื่อมโยงระบบรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินนั้นคงจะได้รับการสานต่อให้สำเร็จหากผู้บริหารประเทศหรือกทม.เห็นผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังปฏิเสธข้อสงสัยด้วยว่า นายอภิรักษ์ พยายามสร้างผลงานเพื่อมาทาบรัศมีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์