“ยามเฝ้าแผ่นดิน” เรียกร้อง ปชช.ร่วมล่าชื่อขับ “ไชยา” พ้นกระทรวงหมอ ระบุสุดทนพฤติกรรมเอื้อบริษัทยา-เมินควสามทุกข์ชาวบ้าน กระตุกสำนึกไขก๊อกเอง หรือให้ “หมัก” ปลดออก เผย “สนธิ” ฝากบอก “เฉลิม” ไม่ต้องมาเคลียร์ เพราะอยู่คนละขั้วชัดเจนแล้ว ตอกกลับ “ดร.เหลิม” อุดมการณ์เปลี่ยน เห็นแก่ลาภยศ ยอมพลีตัวเองปกป้อง“แม้ว”
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันที่ 6 มี.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ช่วงแรกได้กล่าวถึงการล่าชื่อขับไล่นายไชยา สะสมทรัพย์ ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่า เป็นไปตาม เคยมีการจัดโผรัฐมนตรี 5 คนแรกที่จะถูกขับไล่ ทั้งนี้ ถือว่าเป็นบททดสอบของนักการเมืองที่อ้างว่าตัวเองมาจากการเลือกตั้งแต่ไม่ได้สนใจความทุกข์ร้อนในการดำรงชีวิตของประชาชน และใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการตามใจตัวเอง จนประชาชนเอือมระอา และต้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการล่าชื่อถอดถอนออกจากตำแหน่งดังกล่าว
ผู้ดำเนินรายการได้เรียกร้องให้ประชาชนเข้าร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและมูลนิธิแพทย์ชนบท ในการลงชื่อเพื่อถอดถอนนายไชยาออกจากตำแหน่ง ตามสิทธิในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 164 โดยการลงลายมือชื่อให้ประธานวุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งได้ โดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ www.cl4life.net หรือ www.consumerthai.org และส่งไปที่ ตู้ ปณ. 119 ปณจ.7 คลองหลวง 12120
“ตอนนี้ประชาชนกำลังเอือมนักการเมืองแม้มาจากการเลือกตั้งแต่ไม่ได้สนใจว่าประชาชนจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร และมีข้อสงสัยว่าทำเพื่อบริษัทยาหรือไม่ จึงอยากรณรงค์ให้ประชาชนมาร่วมลงชื่อตามรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อถอดถอนรัฐมนตรีที่ไม่สนใจประชาชน และต้องให้ถึงหมื่นถึงแสนรายชื่อให้ได้ เพื่อไม่ให้นักการเมืองย่ามใจ”
ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงพฤติกรรมของนายไชยาอีกว่า เมื่อวันก่อนได้ไปออกรายการทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ร่วมกับนางสารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และถูกจับโกหกกรณีนายไชยาอ้างถึงผลกระทบนับแสนล้านบาทหากมีการทำซีแอลยา และอ้างว่ากระทรวงพาณิชย์คัดค้านเรื่องนี้ ซึ่งก็ถูกโต้จากอดีตเลขาณุการรัฐมนตรีวส่ากากรระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลชุดที่ผ่านมาทันทีว่า กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้คัดค้านการทำซีแอลยา เพราะได้ศึกษาแล้วเห็นว่าสามารถทำได้ สำหรับหนังสือที่ส่งไปที่กระทรวงสาธารณสุขในช่วงปลายรัฐบาลชุดที่แล้ว เพียงแต่เห็นว่าหากจะทำซีแอลอีกให้ระมัดระวังเท่านั้น ไม่ได้บอกให้ยกเลิกแต่อย่างไร
นอกจากนี้ ในประเด็นการตัดจีเอสพีหากไทยถูกขึ้นบัญชีดำเป็นประเทศที่มีปัญหาละเมิดสิทธิบัตร ซึ่งนายไชยาอ้างว่าจะเสียหายเป็นแสนๆ ล้านนั้น ก็ถูกโต้จากนางสาวสารีว่า ในการตัดจีเอสพีนั้นจะมีการพิจารณาเป็นรายสินค้าไป ไม่ใช่ตัดแบบเหมารวมทั้งหมด
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า คนที่เป็นแพทย์นั้นถือว่าเป็นคนเก่งระดับหัวกะทิของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ที่ยังทำงานในโรงพยาบาลของรัฐในชนบทนั้น นอกจากเป้ฯคนเก่งแล้วยังเป็นคนที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูง พร้อมเสียสละและทำงานหนักเพื่อคนยากจน การที่นายแพทย์กลุ่มนี้ออกมาต่อสู้และขับไล่นายไชยาแสดงว่าทนไม่ได้จริงๆ และคนเหล่านี้จะไม่กลัว เพราะเชื่อมั่นว่าได้ทำเพื่อถูกต้อง เมื่อพวกเขาเห็นว่ารัฐมนตรีกำลังทำงานเพื่อเอื้อบริษัทยา จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะลุกขึ้นมาล่ารายชื่อ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดก็มีข่าวว่านายไชยาได้สั่งย้าย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบทไปเป็นหน้าห้องรัฐมนตรี หลังจากที่นพ.พงศ์เทพ ไปออกรายการ “ตอบโจทย์” ทาง ไทยพีบีเอส โดยได้ให้ข้อมูลขัดแย้งนายไชยา ทำให้ไชยาพูดกับ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่อยู่ในห้องส่งโทรทัศน์ว่าให้ย้าย นพ.พงศ์เทพ ซึ่งนพ.พงศ์เทพ ยืนยันว่าไม่ต้องการไปทำหน้าที่เป็นเสมียน และเรื่องนี้จะต่อสู้ถึงที่สุด เพื่อความถูกต้อง
“ผมว่ารัฐมนตรีคนนี้ไม่เข้าใจหมอ ไม่เข้าใจความลำบากของหมอ ความเป็นตัวตนของหมอที่รู้ว่าเขาทำงานเพื่อใคร หลายต่อหลายครั้งที่รัฐมนตรีมานั่งกระทรวงนี้ แล้วไม่เข้าใจเขา คิดว่าจะย้ายใครอย่างไรเขาก็จะยอมสยบ แต่คนเป็นหมอ เขามีสติปัญญา เขาไม่ยอมง่ายๆ หรอก”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า จากพฤติกรรมของนายไชยาที่ผ่านมา จึงขอเรียกร้องให้นายไชยาลาออกจากตำแหน่งรมว.สาธารณสุข เพราะนับตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ไม่มีใครมั่นใจได้ว่าจะให้ความเป็นธรรมได้ และขอเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หากเป็นว่านายไชยาทำไม่ถูกต้องให้ปรับนายไชยาออกด่วน แต่ถ้าหวังในจิตสำนึกของนายไชยาไม่ได้ หวังในความจงรักภักดีของนายสมัครที่จะทำงานเพื่อ 63 ล้านคน ไมได้ ประชาชนก็ต้องพึ่งกันเองด้วยการมาลงชื่อขับไล่
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มถอดถอนรัฐมนตรี ที่นี่!
** “เหลิม” ให้กุหลาบ “มาร์ค” เก็บคะแนน
ต่อมาผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ที่ปฏิเสธว่าไม่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป หากพรรคพลังประชาชนต้องถูกยุบ โดยอ้างว่าตนไม่มีความสามารถทางด้านเศรษฐกิจพอ และเป็นรมว.มหาดไทยก็มีความสุขแล้ว พร้อมบอกนักข่าวว่า อย่ามาถามเรื่องนี้ให้ต้องเดือดร้อนอีก
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า แม้ ร.ต.อ.เฉลิมจะปฏิเสธ แต่สีหน้ากลับยิ้มแย้มตลอด ทั้งนี้ เชื่อว่า ร.ต.อ.เฉลิมเป้ฯนายกฯ คนต่อไปได้ เพราะคนอย่างนายสมัคร ซึ่งไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจยังเป็นได้ และพรรคใหม่ที่ตั้งขึ้นมาซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิมเป็นหัวหน้าจะได้รับความนิยมสูงมาก เพราะหัวหน้าพรรคพูดเก่ง เป็นถึงดอกเตอร์ทางด้านกฎหมาย และถ้า ร.ต.อ.เฉลิมได้เป็นนายกฯ ก็อาจให้นายวัน อยู่บำรุง บุตรชายที่เป็นเลขาณุการ รมช.สาธารณสุข ขึ้นเป็น รมว.ได้
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม นำดอกกุหลาบสีขาวไปมอบให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอข้อมูลการแก้ไขปัญหาภาคใต้ว่า เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และถือเป็นความใจกว้างของหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่ออกมารับ ขณะเดียวกันก็มองว่าเป็นการฉวยโอกาสทำคะแนนของ ร.ต.อ.เฉลิมหรือไม่
** “สนธิ” บอก “ดร.เหลิม” ไม่ต้องมาเคลียร์
นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังบอกว่า ต่อไปจะมีการไปพูดคุยกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมอ้างว่ารู้จักสนิทสนมกันมา 30 กว่าปีแล้ว และถือว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นพันธมิตรกับรัฐบาล ตนจะไปพูดคุยด้วยเพื่อให้ชาติเกิดความสงบ
นายปานเทพ กล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดว่าเป็นเพื่อนรักนายสนธิมากว่า 30 ปีนั้น เป็นการช่วงชิงทางการเมือง ทำให้ดูเหมือนว่ามีความใกล้ชิดกันมาก ตนจึงได้ถามนายสนธิว่าที่ ร.ต.อ.เฉลิมจะมาเคลียร์นั้นจะทำอย่างไร ซึ่งนายสนธิได้บอกว่าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูด จึงไม่อยากให้สัมภาษณ์ผ่านรายการนี้
อย่างไรก็ตาม นายสนธิได้ฝากให้มาพูดในรายการว่า ร.ต.อ.เฉลิมจะมาเคลียร์เรื่องอะไร ทำอะไรผิดไว้ ถึงต้องมาเคลียร์ จริงอยู่แม้คนเราจะรู้จักกันมานาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ได้แปลว่าจะยังมีความใกล้ชิดกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อระยะเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าคนคนนี้อุดมการณ์เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน สำหรับตัวนายสนธินั้นไม่เคยเปลี่ยน แต่ไม่แน่ใจว่า ร.ต.อ.เฉลิมนั้นยังยึดมั่นอุดมการณ์เดิมอยู่หรือไม่
แต่วันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ร.ต.อ.เฉลิมไปร่วมมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยไม่สนใจการตรวจสอบของภาคประชาชน และยังใช้ตัวเข้าแลก เพื่อปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณอย่างเต็มที่ ร.ต.อ.เฉลิมเข้าหาพรรคพลังประชาชน ที่เป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย โดยไม่สนใจคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญที่ว่าพรรคการเมืองนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคง ไม่สนใจหลักการรัฐธรรมนูญและทำให้ประชาธิปไตยเสียหาย
นั่นแสดงว่า ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้ยืนอยู่ข้างเดียวกับนายสนธิ ถือว่าอุมการณ์ไม่เหมือนกันแล้ว ขอให้เดินทางกันคนละเส้นและประทะกันด้วยเหตุผล เพราะร่วมทางกันไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่ ร.ต.อ.เฉลิมหลงในอำนาจ ลาภ ยศ อายุก็มากแล้ว ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ทำไมไม่ใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตทำคุณความดีให้แผ่นดิน แทนที่จะหลงในอำนาจ ลาภ สักการณ เมื่อไหร่ จะรู้ตัวเสียที
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า วันนี้ถือว่านายสนธิและ ร.ต.อ.เฉลิม ยืนกันคนละขั้วแล้ว ที่คาดหมายกันว่าจะเห็นภาพ ร.ต.อ.เฉลิม หอบช่อดอกไม้สีขาวเข้าพบนายสนธินั้น คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เมื่อมองภาพรวมจะเห็นว่าพรรคพลังประชาชนกำลังพยายามดำเนินการเพื่อให้ฝ่ายต่างๆ สยบยอมต่ออำนาจ เป็นวิธีการที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่กรณีนายสนธินั้น แปลว่าไม่ต้องมาแล้ว เพราะไม่มีอะไรที่ต้องทำความเข้าใจกัน
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าล่อแหลม บ้านเมืองตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งมีความพยายามฟื้นระบอบทักษิณด้วยวิธีการ 3 อย่าง คือ 1.โยกย้ายข้าราชการ แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อล้างมลทินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ 2.กระชับอำนาจตำรวจ ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ และกระชับอำนาจทหาร และ 3.สร้างประเทศไทยให้เป็นระบบทักษิณอย่างแท้จริงในระยะยาว
ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง คือพันธมิตรฯ และประชาชนที่ต้องการรบกับระบบทักษิณ ซึ่งจะมีการจัดตั้งมวลชนให้รับรู้ข่าวสารมากที่สุด เตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวทุกรูป ล่ารายชื่อ การบอกต่อ และจัดตั้งมวลชนที่เป็นระบบกว่าแต่ก่อน ซึ่งถ้ารวมกันได้สัก 1 ล้านคน และคิดเหมือนกันว่าจะต้องเคลื่อนไหว นักการเมืองก็ต้องฟัง
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังคิดหนักว่า หากเดินทางออกไปต่างประเทศแล้วจะได้กลับมาหรือไม่ ซึ่ง หาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่กลับมาก็แสดงว่าแพ้แล้ว แต่ถ้ากลับมาก็ต้องเผชิญความเสี่ยงว่าจะชนะคดีหรือไม่ เราขอเรียกร้อง ให้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่สู้คดี อย่าหนีไปไหน ให้เห็นใจทั้งคนที่ต่อต้านและคนที่รักจริงด้วย
** “ผู้ช่วย รมต.” ส่อขัดกฎหมาย
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงการประชุม ครม.ในวันอังคารหน้า ว่า จะมีวาระสำคัญอันหนึ่ง คือการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรี แต่ความจริงแล้วเป็นกลุ่มคณะและแบ่งกันไปช้วยงานตามกระทรวงต่างๆ และเป็นตำแหน่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ได้ยกเลิกไปในช่วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และฟื้นกลับมาอีกครั้งในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า ตั้งขึ้นอย่างถูกกฎหมายหรือไม่
ทั้งนี้ ตำแหน่งการบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญนั้น จะมี 1.ข้าราชการการเมือง ซึ่งก็ไมได้ระบุถึงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี 2.ตำแหน่งข้าราชการประจำก็ไม่ใช่เช่นกัน และ 3.ข้าราชกาท้องถิ่นก็ไม่มีตำแหน่งนี้ ดังนั้น ถ้าจะอาศัยตามกฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลสามารถตั้งเป็นคณะกรรมการขึ้นมาได้ แต่จะมีค่าตอบแทนเฉพาะเบี้ยประชุมตามจำนวนครั้งที่มีการประชุม ไม่มีเงินเดือน
อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า ตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรียุครัฐบาลทักษิณนั้นรับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน และยังจะเสนอให้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วย จึงน่าสงสัยว่าให้ผ่านไปได้อย่างไร หรือใช้หลักเกณฑ์อะไร น่าจะมีการพิสูจน์เรื่องนี้ว่าผิดถูกอย่างไรด้วย
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )