“ยามเฝ้าแผ่นดิน”มองเหตุ “ทักษิณ” รีบกลับ หลังย้าย “สุนัย” พ้นดีเอสไอสำเร็จ เพื่อประกาศชัยชนะ ขณะเดียวกัน เริ่มไม่ไว้ใจ “สมัคร” ที่นับวันเป็นตัวของตัวเอง เชื่อ “ทั่นหมัก” กลับสู่สภาพ “นายกฯ หัวตอ” อีกครั้ง หลัง “แม้ว” ถึงไทย จับตาศึกนายกฯนอมินีปะทะนายกฯ นอกทำเนียบ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงแถลงการณ์ของนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการแถลงเพื่อทำความเข้าใจ หลังแถลงการณ์ฉบับที่ 1/2551 ของพันธมิตรฯ ถูกบิดเบือน พันธมิตรฯ ไม่เคยคัดค้านการกลับมาพิสูจน์ความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากแต่การกลับมาต้องไม่เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย มากำกับดูแลรักษาความปลอดภัยแบบใกล้ชิด พ่วงด้วย รมว.ต่างประเทศ อย่างนายนพดล ปัทมะ มาดูแลเรื่องทีมทนายความ นอกจากนี้ยังมี ส.ส.พรรคพลังประชาชน,รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยแกนนำคนสำคัญร่วมใจกันตั้งคณะต้อนรับ
“คงไม่แปลกหากวันนี้เราจะมองว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ คือ หัวหน้าพรรคพลังประชาชน” ตัวจริง หากลองสังเกตทันทีที่พันธมิตรฯ กลับมารวมตัวกันครั้งแรก ด้วยเหตุผลที่เชื่อได้ว่าเกิดการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมจากอำนาจรัฐ หลังจากนั้นทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นอดีต ส.ส.,อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย หรือแม้กระทั้งกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ต่างออกมาแสดงตัวเพื่อเอาหน้าด้วยการบินไปต้อนรับการกลับประเทศ บางคนก็ออกมาแถลงข่าวตอบโต้พันธมิตรฯ นี่คือการแสดงความรู้สึกที่ไม่สามารถคาดเดากันได้ อีกทั้งมันก็ชัดเจนว่า พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย”
ผู้ดำเนินรายการ มองว่า การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ เพราะ 1.สามารถย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้แล้ว 2.เพื่อแสดงถึงความอหังการ คิดว่าตัวเองคือ ผู้ชนะ และ 3.รีบกลับเนื่องจากเริ่มรู้สึกและเห็นว่า จะควบคุมกำกับตัวนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ เพราะนายสมัครได้ดูแลหน่วยงานเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมและทหาร และเริ่มที่จะเป้ฯตัวของตัวเองมากขึ้น
นอกจากนี้เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ไว้ใจในตัวนายสมัคร นี่ยังไม่นับรวมไปถึงแนวร่วมอำนาจ ทั้งส่วนการเมืองและส่วนข้าราชการ ต่างๆ ไม่สามารถทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้ใจได้ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่มีทางเลือกอื่น ต้องกลับมาประชิดตัวนายสมัคร เพื่อลดอำนาจให้เร็วที่สุด ถึงแม้การกลับมาจะเสี่ยงเพียงใดก็ตาม แต่หากกลับมาแล้วสามารถคุมเกมไว้ได้ มันก็คุ้ม
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไปจากประเทศไทยสักระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ประเทศก็ไม่มีความสงบ เพราะกลุ่มคนที่รักทักษิณทั้งหลายได้สบโอกาส จัดตั้งประชาชนมาต่อต้านรัฐประหารโดยอ้างการเรียกร้องประชาธิปไตยมาบังหน้าเพื่อปกป้อง เมื่อเลือกตั้งเสร็จ ก็ไม่สงบอีก เพราะยังมี พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ หาก พ.ต.ท.ทักษิณ เดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยปลอดการแทรกแซง ปัญหาทุกอย่างน่าจะจบ
แต่หากหากกระบวนการถูกแทรกแซง ไม่มีการพิสูจน์ความชอบธรรม ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และคนที่รักและเชียร์จะไม่ที่ยอมรับของสังคม แม้จะมีคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ จำนวนมากถึง 12 ล้านคน ที่แสดงออกด้วยการลงคะแนนให้กับพรรคพลังประชาชน แต่ก็มีประชาชนอีกจำนวน 20 ล้านคนที่ไม่เลือกพรรคพลังประชาชน และในจำนวนประชาชนเหล่านี้อาจมีจำนวนคนที่เกลียด กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไม่ใช่น้อย และการลอบสังหารสามารถเกิดขึ้นได้โดยฝีมือเพียงแค่คนคนเดียวเท่านั้น
อย่างน้อยไม่ว่าจะเป็นประชาชนที่อยู่ฝ่ายไหนก็ตาม ในฐานะคนไทยด้วยกันก็คงอยากเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีโอกาสที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาทั้งหลายในประเทศที่ตัวเองก่อเหตุเอาไว้ได้จนสำเร็จสิ้นสุดในกระบวนการยุติธรรมอย่าให้เกิดกระบวนการแทรกแซงไม่ว่าจะเป็นทางใดทางหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่จำเป็นที่จะต้องหลบๆ ซ่อนในประเทศไทย หากคิดว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์
** “หมัก” คืนสภาพ “นายกฯ หัวตอ”
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่นายสมัครบอกกับนักข่าวญี่ปุ่นว่าตนไม่ทราบเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้เดินกลับ เพราะไม่มีใครบอก ได้ทราบผ่านสื่อเท่านั้น ขณะที่ก่อนหน้านี้นายสมัครเคยพูดว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่น่าจะกลับเร็ว แสดงให้เห็นว่า ทั้ง 2 คนไม่ได้สื่อสารกัน เพราะคนหนึ่งกำลังสถาปนาอำนาจของตัวเองขึ้นและคุมอำนาจรัฐในฐานะเป็นนายกฯ ขณะที่อีกคนก็มีอำนาจอยู่แต่เดิม ทั้งอำนาจเงิน และ ส.ส.รายล้อม ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจนอกทำเนียบ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายสมัครคงไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเร็ว ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณจำเป็นต้องกลับมาเพื่อจัดการเรื่องคดีของตัวเอง ซึ่งจะทำให้นายสมัครมีสภาพเป็นนายกหัวหลักหัวตอ เพราะนับจากนี้ หาก ส.ส.มีเรื่องจากเสนอหรือปรึกษาหารือจะไม่ไปหานายสมัครแล้ว แต่จะไปที่บ้านจัทร์ส่องหล้าอีกแทน จะทำให้บ้านของนายสมัครกลับไปเงียบเหงาเหมือนตอนจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีใครไปหาเลย จนกระทั่งวันที่ได้เป็นนายกฯ
“ตอนนี้คุณสมัครจะเป็นนายกฯ หัวตออีกครั้ง เพราะไม่มีอะไรในมือแล้ว มีแต่อำนาจการเป็นนายกฯ ในมือ แต่ความนิยมสู้คุณทักษิณไม่ได้ อำนาจเงินก็สู้ไม่ได้ ส.ส.รอบข้างก็ไม่มี มีแต่รายการทางช่อง 11 ที่จัดทุกวันอาทิตย์ แต่อย่าลืมว่าก็ยังมีคุณจักรภพที่พร้อมทำงานให้คุณทักษิณอย่างเต็มที่ เมื่อสักครู่นี้ก็เอาเทปการสัมภาษณ์คุณทักษิณไปออกช่อง 11”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ตอนนี้นายสมัครอยู่ในฐานะที่ลำบากมากขึ้น เพราะถูกจำกัดในกรอบแคบๆ ทั้งๆ ที่ได้พยายามสร้างอำนาจของตัวเองขึ้นมา นายสมัครกุมหัวใจสำคัญอยู่ที่เดียวคือสำนักงานอัยการสุงสุด ที่จะตัดสินว่าจะฟ้องหรือไม่ เมื่อมีคดีต่างๆ ส่งเข้ามา โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ได้โยงถึงตัวเขา นายสมัครจะตัดสินใจอย่างไร
“ตอนที่เขาอยู่ไกล คุณสมัครก็ประกาศว่าจะไม่เป็นนายกฯ หัวตอ แต่พอมาอยู่ใกล้แล้ว ก็ยอมหรือไม่แต่ถ้าดูอาการตอนนี้คุณสมัครไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ ต่อให้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือก็จริง แต่ก็ไม่สมบูรณ์ ถ้าเทียบกับตอนที่คุณทักษิณมีอำนาจ ซึ่งมีทั้งอำนาจรัฐ มีฐานมวลชน มี ส.ส. ขณะที่คุณสมัครเข้ามาแทน แล้วจริงๆ เขากะจะจัดการตั้งแต่ตอน พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมแล้ว คุณทักษิณถึงได้บอกว่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย กลับมาก็ไปเช่าโรงแรมอยู่”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ประชาชนควรจะให้กำลังใจใคร ระหว่างนายกฯ นอกทำเนียบ กับนายกฯ หัวตอ กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่คลาสสิกของการต่อสู้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นทุนใหม่ ขณะที่นายสมัครนั้น น่าจะเป็นตัวแทนของทุนเก่า แต่กลับมาอยู่ในคอกเดียวกัน และกำลังแตกกันเอง ปัญหาอยู่ที่ว่า นายสมัครจะยืนหยัดอย่างไร จะเป็นนายกฯ ที่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา แม้ไม่มีอำนาจเงิน ความนิยม หรือ ส.ส.รายล้อม แต่อย่างน้อยก็จะมีคุณงามความดี ก็ทำไป แต่ถ้าไม่กล้าทำเราก็อย่าตั้งความหวัง แค่เฝ้าดูว่าใครจะชนะในตอนสุดท้าย ทั้งนี้แม้ว่านายสมัครดูจะโตเร็วเพราะทุนที่ไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณเข้าไปหา แต่ก็โตไม่ทันเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเร็ว
** ใบแดง “ยุทธ” ทำสถานการณ์เปลี่ยน
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการมองกรณีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎรเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่กรุงปักกิ่งว่า น่าจะไปรายการเรื่องคดีทุจริตที่เชียงรายด้วย โดยนายยงยุทธรายงานว่าไม่มีปัญหา พ.ต.ท.ทักษิณจึงนัดวันแถลงข่าวการเดินทางกลับในวันที่ 26 ก.พ.ซึ่งเป็นวันที่ กกต.จะตัดสินคดีนายยุงยุทธ โดยคาดหมายว่าจะเป็นใบขาว แล้วจะได้ประกาศกำหนดวันเดินทางกลับในวันเดียวกัน
แต่สถานการณ์ พลิกผันเมื่อ กกต.มีมติให้ใบแดง ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณลังเล จึงไม่ได้แถลงข่าวการเดินทางกลับในวันดังกล่าว แต่ถ้าไม่เดินทางกลับมาตามที่เป็นข่าวไปก่อนแล้ว และมีประชาชนจำนวนมากรอต้อนรับ นายสมัครจะดูดีขึ้นมาทันที ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณจะกลายเป้ฯคนหมดสภาพ ไม่กล้าเผชิญหน้าต่อสู้ กลายเป้ฯหมกที่บังคับให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องเดินทางเข้ามา
ทั้งนี้ แม้ พ.ต.ท.ทักษิณอาจดูมั่นใจ แต่ที่ไม่มีใครรู้คือศาลจะตัดสินใจอย่างไร ก่อนหน้านี้คนในพรรคพลังประชาชนได้พูดไปก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะประกันตัว และจะไม่อยู่ในประเทศไทยนาน ทำให้ศาลเกิดมลทิน เหมือนกับว่าไปตกลงกันมาก่อน แต่ในระยะหลังก็เงียบๆ ลงไป ไม่มีใครกล้าพูดไปก่อน แม้แต่ ร.ตงอ.เฉลิม ฮญุ่บำรุง รมว.มหาดไทย
“เราอยากเห็นคุณทักษิณมาอยู่ในไทย คราวนี้ขอให้เผชิญหน้ากระบวนการยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องหนีไปไหน มาอยู่แล้วให้อยู่เลย” ผู้ดำเนินรายการ กล่าว
** ปลุก ขรก.ต้านนักการเมืองรังแก
ต่อมาผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข สั่งย้าย นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขว่า นพ.ศิริวัฒน์นั้นสำคัญในการเจรจาเพื่อทำซีแอลยาให้โปร่งใสตามขั้นตอนจนประเทศสามารถใช้สิทธิในการผลิตยาราคาที่ถูกลงมาได้ การย้าย นพ.ศิริวัฒน์จึงเป็นปัญหาที่ท้าทายมาก เพราะได้ย้ายหมดที่ทำเพื่อประชาชนออกไป มีเหตุผลอะไร เป็นเพราะต้องการเอาใจบริษัทยาใช่หรือไม่ เพราะนายไชยาไม่เห็นด้วยกับการทำซีแอลยามาตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ นายไชยาซ้ำยังได้เอาคนที่มีปัญหามาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ อย.แทน โดย นพ.ชาตรี บานชื่นนั้น มีประวัติเคยถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง และมีการลงโทษตัดเงินเดือนไปแล้ว เพิ่งมีการอภัยโทษเมื่อวันที่ 5 .ค.ที่ผ่านมา ตำแหน่งที่สำคัญและอยู่ในช่วงเจรจาหัวเลี้ยวต่อ สมควรจะเอาคนมีประวัติด่างพร้อยมาเป็นหรือไม่
“คุณไชยากำลังเผชิญหน้ากับประชาชน และผู้ป่วย รวมทั้งหมอทั่วประเทศที่สงสัยว่าคุณไชยาทำเพื่อประโยชน์ของบริษัทยาหรือไม่”
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า กรณีนี้ แสดงให้เห็นว่า กระบวนการคุกคามกลั่นแกล้งรังแกข้าราชการประจำนั้นเกิดขึ้นจริง จึงขอเรียกร้องให้ข้าราชการได้แสดงพลัง คนที่ทุ่มเทในฐานะเป็นข้าราชการที่ทำเพื่อประชาชนต้องได้รับการปกป้อง คนในกระทรวงต้องช่วยกัน ส่วนคนที่ถูกกระทำก็ต้องดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการอุทธรณ์ การฟ้องร้อง ซึ่งเรื่องนี้ทั้งข้าราชการและประชาชนต้องช่วยกัน
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )