วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 คือวันที่มีกระแสข่าวหนาหูมากที่สุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะกลับประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีของคนไทยทั้งปวง
เพราะถ้าไม่กลับมาประชาชนที่รอเก้ออยู่อาจจะต้องผิดหวัง หนำซ้ำยังอาจถูกเยาะเย้ยถากถางว่าขี้ขลาดไม่กล้ามาเผชิญหน้าเพื่อสู้คดีความ ความเสียหายย่อมตกอยู่กับพรรคพลังประชาชนและประชาชนที่คอยให้กำลังใจต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอย่างแน่นอน
ในเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอยู่ในประเทศไทยก่อนรัฐประหาร ก็ได้มีข้อกล่าวหามากมายว่า รัฐบาลชุดนั้นมีการทุจริตคอร์รัปชัน หลบเลี่ยงการจ่ายภาษีอากร มีพฤติกรรมเผด็จการรัฐสภา คุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง แปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อพวกพ้อง ขายสิทธิสัมปทานของรัฐให้กับชาวต่างชาติ ครอบงำองค์กรตรวจสอบอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และยังมีพฤติกรรมและคำพูดที่ไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ประชาชนที่ทนไม่ได้จึงต้องออกมาชุมนุมตามรัฐธรรมนูญอย่างสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นมาจนกระทั่งได้สลายองค์กรและและยุติบทบาทการชุมนุมหลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ฝ่ายคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ก็อ้างว่าจะมีการจัดม็อบมาชนกับการชุมนุมอย่างสงบของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงอ้างเหตุผลในการรัฐประหาร จำนวน 4 ข้อ อันได้แก่ ประชาชนมีความแตกแยก มีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง มีการแทรกแซงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ จน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องระหกระเหินไปจากประเทศไทยถึงเกือบปีครึ่ง
แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไปจากประเทศไทยสักระยะหนึ่งก็ตาม แต่ประเทศก็หาได้มีความสงบร่มเย็นไม่ เพราะกลุ่มคนที่รักทักษิณทั้งหลายได้สบโอกาสจัดตั้งประชาชนมาต่อต้านรัฐประหารโดยอ้างการเรียกร้องประชาธิปไตยมาบังหน้าเพื่อปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะเดียวกันพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไปโดยคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญก็กลับถือกำเนิดขึ้นมาด้วยบุคลากรของพรรคไทยรักไทยในนามพรรคพลังประชาชนที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยอีก 110 คนที่ถูกเพิกถอนสิทธิในการเลือกตั้งคอยสนับสนุนอยู่อย่างโจ่งแจ้ง
เมื่อพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ประเทศชาติก็หาได้สงบนิ่งไม่อีก เพราะเริ่มตั้งแต่การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ขี้เหร่ พร้อมๆ กับการนำบุคลากรที่ไร้ความสามารถและมีประวัติด่างพร้อยเข้าทำงานทางการเมือง ต่อมารัฐบาลได้ลุแก่อำนาจข่มขู่คุกคามการทำงานของสื่อสารมวลชน เหิมเกริมแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมด้วยการโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน จนทำให้ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่เคยได้สลายตัวไปแล้วกว่าปีครึ่งต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
นับตั้งแต่การชุมนุมครั้งแรกในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 เมื่อเวลาผ่านพ้นไปถึงกว่า 2 ปีแล้ว ปัญหาของแผ่นดินก็ยังไม่จบสิ้นไปเสียที
ทั้งนี้เพราะปัญหาของแผ่นดินก็ยังคงเป็นชายหน้าเหลี่ยมที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว !
ดังนั้นปัญหาของแผ่นดินครั้งนี้ไม่สามารถคลี่คลายลงไปได้หากไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุแห่งปัญหาที่ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น
การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับคนไทยทุกหมู่เหล่าที่จะได้มีโอกาสคลี่คลายทั้งหมดเสียที ที่จะไม่ต้องเห็นต้นเหตุแห่งปัญหาหลบหนีเอาตัวรอดไปต่างประเทศท่ามกลางความวุ่นวายของคนในชาติบ้านเมืองตลอดเวลา
เพราะคนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนก็คงอยากเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีโอกาสชดใช้กรรมของตัวเองที่ได้ก่อเอาไว้เสียทีไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม โดยไม่ต้องปล่อยให้ประชาชนทั้งประเทศต้องเดือดเนื้อร้อนใจแทนการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างทุกวันนี้
อย่างน้อยไม่ว่าจะเป็นประชาชนที่อยู่ฝ่ายไหนก็ตาม ในฐานะคนไทยด้วยกันก็คงอยากเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เสียชีวิตลงในประเทศไทยโดยที่ไม่ต้องไปหาที่เสียชีวิตที่อื่นที่ไม่ใช่แผ่นดินเกิดของตัวเอง เพราะการอยู่ในประเทศไทยก็ยังมีโอกาสที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาทั้งหลายในประเทศที่ตัวเองก่อเหตุเอาไว้ได้จนสำเร็จสิ้นสุดในกระบวนการยุติธรรม
อย่างน้อยก็น่าจะเชื่อได้ว่าคนไทยทั้งหมดที่รักและเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอายุสั้นจนไม่สามารถที่จะชดใช้กรรมของตนที่ได้ก่อเอาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้นหากใครก็ตามที่มีความปรารถนาที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอายุขัยสั้นด้วยความพยายามลอบสังหารก็จงหยุดการกระทำเหล่านั้นเสีย เพราะแม้จะทำให้ปัญหาทั้งหลายจบลงในด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถทำให้การต่อสู้ของภาคประชาชนทั้งสองฝ่ายที่รักและเกลียดการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณได้รับการพิสูจน์ในคุณค่าในการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนแต่ประการใด
ที่ต้องเตือนเช่นนี้เพื่อต้องการให้รับรู้และตั้งสติว่าประชาชนในประเทศนี้แม้จะมีคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวนมากถึง 12 ล้านคน ที่แสดงออกด้วยการลงคะแนนให้กับพรรคพลังประชาชน แต่ก็มีประชาชนอีกจำนวน 20 ล้านคนที่ไม่เลือกพรรคพลังประชาชน และในจำนวนประชาชนเหล่านี้อาจมีจำนวนคนที่เกลียด เกลียดมาก จนถึงเกลียดที่สุดต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไม่ใช่น้อย และการลอบสังหารสามารถเกิดขึ้นได้โดยฝีมือเพียงแค่คนคนเดียวเท่านั้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงสมควรกลับมาในประเทศไทยเพื่อพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมที่อิสระและปราศจากการแทรกแซง เพื่อเห็นแก่ประชาชนที่รักและเกลียดทักษิณ เห็น
แก่ชาติบ้านเมือง และเห็นแก่ความปลอดภัยของตัวเอง
การมีกระบวนการยุติธรรมที่ไม่มีการถูกแทรกแซงนอกจากจะสามารถสร้างความสงบเรียบร้อยให้กับแผ่นดินแล้ว ยังสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันความปลอดภัยในชีวิตของพ.ต.ท.ทักษิณได้ เมื่อทุกฝ่ายมีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
แต่การกระทำของรัฐบาลที่เริ่มต้นด้วยการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมด้วยการโยกย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม ให้พ้นจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่มีหน้าที่ดำเนินคดีต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว พร้อมๆกับโยกย้ายคนที่มีความใกล้ชิดครอบครัวชินวัตร อย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่องมาทำหน้าที่แทนนั้น จึงกลายเป็นบาดแผลและเป็นความน่าอับอายขายหน้าต่อคนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะต้องถูกดูหมิ่นดูแคลนเยาะเย้ยถากถางเอาได้ว่า ไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์ในตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วใช่หรือไม่?
เพราะเมื่อใดก็ตามหากสังคมเชื่อได้ว่าการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมแล้ว ต่อให้ไม่ว่าจะมีการตัดสินให้เป็นคุณต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มากเท่าใดก็ตาม ประเทศชาติก็จะไม่สงบต่อไปอยู่ดี
การประกาศตัวของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่หยุดเคลื่อนไหวไปเป็นเวลานานว่าจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อต่อสู้ทุกรูปแบบจึงเป็นการส่งสัญญาณของกลุ่มคนที่ สงบ อหิงสา ปราศจากอาวุธ และไม่เคยก่อความรุนแรงใดๆ แม้แต่ครั้งเดียวที่เตือนให้รู้ว่าต้องตระหนักและทบทวนการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมให้ดี
เพราะนอกจากกลุ่มที่แสดงความสงบเรียบร้อยอย่าง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”แล้ว ใครจะรู้ได้บ้างว่าในประเทศไทยยังมีอีกกี่กลุ่มที่ไม่ประกาศตัวเองแต่เกลียดพ.ต.ท.ทักษิณและพร้อมจะใช้ความรุนแรงในทุกวิถีทางเมื่อไม่สามารถพึ่งพากระบวนการยุติธรรมได้อีกต่อไป?
เพราะหากเกิดอะไรขึ้นนับจากวันนี้ประวัติศาสตร์อาจจะต้องจารึกเอาไว้ว่า นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นจุดเริ่มต้นสาเหตุของความวุ่นวายในบ้านเมืองครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตรรกะง่ายๆ ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความเชื่อมั่นต่อตัวเองว่าบริสุทธิ์จริงๆ ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
เมื่อประชาชนมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องออกมาเคลื่อนไหว
เมื่อไม่มีใครออกมาต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรือหนีไปต่างประเทศอีกต่อไป
แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีความบริสุทธิ์แต่ต้องการกลับเข้ามาในประเทศไทยเพื่อฟอกตัวเองโดยการตัดตอนและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมแล้ว นอกจากจะต้องระมัดระวังการต่อสู้ “ทุกรูปแบบ” ภายใต้ความ สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” แล้ว...
อาจจะต้องระมัดระวังการต่อสู้ทุกรูปแบบของ “มือที่มองไม่เห็น” ของจริงเอาไว้ด้วย!
เพราะถ้าไม่กลับมาประชาชนที่รอเก้ออยู่อาจจะต้องผิดหวัง หนำซ้ำยังอาจถูกเยาะเย้ยถากถางว่าขี้ขลาดไม่กล้ามาเผชิญหน้าเพื่อสู้คดีความ ความเสียหายย่อมตกอยู่กับพรรคพลังประชาชนและประชาชนที่คอยให้กำลังใจต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอย่างแน่นอน
ในเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอยู่ในประเทศไทยก่อนรัฐประหาร ก็ได้มีข้อกล่าวหามากมายว่า รัฐบาลชุดนั้นมีการทุจริตคอร์รัปชัน หลบเลี่ยงการจ่ายภาษีอากร มีพฤติกรรมเผด็จการรัฐสภา คุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง แปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อพวกพ้อง ขายสิทธิสัมปทานของรัฐให้กับชาวต่างชาติ ครอบงำองค์กรตรวจสอบอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และยังมีพฤติกรรมและคำพูดที่ไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ประชาชนที่ทนไม่ได้จึงต้องออกมาชุมนุมตามรัฐธรรมนูญอย่างสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นมาจนกระทั่งได้สลายองค์กรและและยุติบทบาทการชุมนุมหลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ฝ่ายคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ก็อ้างว่าจะมีการจัดม็อบมาชนกับการชุมนุมอย่างสงบของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงอ้างเหตุผลในการรัฐประหาร จำนวน 4 ข้อ อันได้แก่ ประชาชนมีความแตกแยก มีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง มีการแทรกแซงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ จน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องระหกระเหินไปจากประเทศไทยถึงเกือบปีครึ่ง
แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไปจากประเทศไทยสักระยะหนึ่งก็ตาม แต่ประเทศก็หาได้มีความสงบร่มเย็นไม่ เพราะกลุ่มคนที่รักทักษิณทั้งหลายได้สบโอกาสจัดตั้งประชาชนมาต่อต้านรัฐประหารโดยอ้างการเรียกร้องประชาธิปไตยมาบังหน้าเพื่อปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะเดียวกันพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไปโดยคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญก็กลับถือกำเนิดขึ้นมาด้วยบุคลากรของพรรคไทยรักไทยในนามพรรคพลังประชาชนที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยอีก 110 คนที่ถูกเพิกถอนสิทธิในการเลือกตั้งคอยสนับสนุนอยู่อย่างโจ่งแจ้ง
เมื่อพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ประเทศชาติก็หาได้สงบนิ่งไม่อีก เพราะเริ่มตั้งแต่การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ขี้เหร่ พร้อมๆ กับการนำบุคลากรที่ไร้ความสามารถและมีประวัติด่างพร้อยเข้าทำงานทางการเมือง ต่อมารัฐบาลได้ลุแก่อำนาจข่มขู่คุกคามการทำงานของสื่อสารมวลชน เหิมเกริมแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมด้วยการโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน จนทำให้ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่เคยได้สลายตัวไปแล้วกว่าปีครึ่งต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
นับตั้งแต่การชุมนุมครั้งแรกในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 เมื่อเวลาผ่านพ้นไปถึงกว่า 2 ปีแล้ว ปัญหาของแผ่นดินก็ยังไม่จบสิ้นไปเสียที
ทั้งนี้เพราะปัญหาของแผ่นดินก็ยังคงเป็นชายหน้าเหลี่ยมที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว !
ดังนั้นปัญหาของแผ่นดินครั้งนี้ไม่สามารถคลี่คลายลงไปได้หากไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุแห่งปัญหาที่ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น
การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับคนไทยทุกหมู่เหล่าที่จะได้มีโอกาสคลี่คลายทั้งหมดเสียที ที่จะไม่ต้องเห็นต้นเหตุแห่งปัญหาหลบหนีเอาตัวรอดไปต่างประเทศท่ามกลางความวุ่นวายของคนในชาติบ้านเมืองตลอดเวลา
เพราะคนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนก็คงอยากเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีโอกาสชดใช้กรรมของตัวเองที่ได้ก่อเอาไว้เสียทีไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม โดยไม่ต้องปล่อยให้ประชาชนทั้งประเทศต้องเดือดเนื้อร้อนใจแทนการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างทุกวันนี้
อย่างน้อยไม่ว่าจะเป็นประชาชนที่อยู่ฝ่ายไหนก็ตาม ในฐานะคนไทยด้วยกันก็คงอยากเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เสียชีวิตลงในประเทศไทยโดยที่ไม่ต้องไปหาที่เสียชีวิตที่อื่นที่ไม่ใช่แผ่นดินเกิดของตัวเอง เพราะการอยู่ในประเทศไทยก็ยังมีโอกาสที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาทั้งหลายในประเทศที่ตัวเองก่อเหตุเอาไว้ได้จนสำเร็จสิ้นสุดในกระบวนการยุติธรรม
อย่างน้อยก็น่าจะเชื่อได้ว่าคนไทยทั้งหมดที่รักและเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอายุสั้นจนไม่สามารถที่จะชดใช้กรรมของตนที่ได้ก่อเอาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้นหากใครก็ตามที่มีความปรารถนาที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอายุขัยสั้นด้วยความพยายามลอบสังหารก็จงหยุดการกระทำเหล่านั้นเสีย เพราะแม้จะทำให้ปัญหาทั้งหลายจบลงในด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถทำให้การต่อสู้ของภาคประชาชนทั้งสองฝ่ายที่รักและเกลียดการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณได้รับการพิสูจน์ในคุณค่าในการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนแต่ประการใด
ที่ต้องเตือนเช่นนี้เพื่อต้องการให้รับรู้และตั้งสติว่าประชาชนในประเทศนี้แม้จะมีคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวนมากถึง 12 ล้านคน ที่แสดงออกด้วยการลงคะแนนให้กับพรรคพลังประชาชน แต่ก็มีประชาชนอีกจำนวน 20 ล้านคนที่ไม่เลือกพรรคพลังประชาชน และในจำนวนประชาชนเหล่านี้อาจมีจำนวนคนที่เกลียด เกลียดมาก จนถึงเกลียดที่สุดต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไม่ใช่น้อย และการลอบสังหารสามารถเกิดขึ้นได้โดยฝีมือเพียงแค่คนคนเดียวเท่านั้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงสมควรกลับมาในประเทศไทยเพื่อพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมที่อิสระและปราศจากการแทรกแซง เพื่อเห็นแก่ประชาชนที่รักและเกลียดทักษิณ เห็น
แก่ชาติบ้านเมือง และเห็นแก่ความปลอดภัยของตัวเอง
การมีกระบวนการยุติธรรมที่ไม่มีการถูกแทรกแซงนอกจากจะสามารถสร้างความสงบเรียบร้อยให้กับแผ่นดินแล้ว ยังสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันความปลอดภัยในชีวิตของพ.ต.ท.ทักษิณได้ เมื่อทุกฝ่ายมีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
แต่การกระทำของรัฐบาลที่เริ่มต้นด้วยการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมด้วยการโยกย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม ให้พ้นจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่มีหน้าที่ดำเนินคดีต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว พร้อมๆกับโยกย้ายคนที่มีความใกล้ชิดครอบครัวชินวัตร อย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่องมาทำหน้าที่แทนนั้น จึงกลายเป็นบาดแผลและเป็นความน่าอับอายขายหน้าต่อคนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะต้องถูกดูหมิ่นดูแคลนเยาะเย้ยถากถางเอาได้ว่า ไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์ในตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วใช่หรือไม่?
เพราะเมื่อใดก็ตามหากสังคมเชื่อได้ว่าการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมแล้ว ต่อให้ไม่ว่าจะมีการตัดสินให้เป็นคุณต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มากเท่าใดก็ตาม ประเทศชาติก็จะไม่สงบต่อไปอยู่ดี
การประกาศตัวของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่หยุดเคลื่อนไหวไปเป็นเวลานานว่าจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อต่อสู้ทุกรูปแบบจึงเป็นการส่งสัญญาณของกลุ่มคนที่ สงบ อหิงสา ปราศจากอาวุธ และไม่เคยก่อความรุนแรงใดๆ แม้แต่ครั้งเดียวที่เตือนให้รู้ว่าต้องตระหนักและทบทวนการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมให้ดี
เพราะนอกจากกลุ่มที่แสดงความสงบเรียบร้อยอย่าง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”แล้ว ใครจะรู้ได้บ้างว่าในประเทศไทยยังมีอีกกี่กลุ่มที่ไม่ประกาศตัวเองแต่เกลียดพ.ต.ท.ทักษิณและพร้อมจะใช้ความรุนแรงในทุกวิถีทางเมื่อไม่สามารถพึ่งพากระบวนการยุติธรรมได้อีกต่อไป?
เพราะหากเกิดอะไรขึ้นนับจากวันนี้ประวัติศาสตร์อาจจะต้องจารึกเอาไว้ว่า นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นจุดเริ่มต้นสาเหตุของความวุ่นวายในบ้านเมืองครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตรรกะง่ายๆ ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความเชื่อมั่นต่อตัวเองว่าบริสุทธิ์จริงๆ ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
เมื่อประชาชนมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องออกมาเคลื่อนไหว
เมื่อไม่มีใครออกมาต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรือหนีไปต่างประเทศอีกต่อไป
แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีความบริสุทธิ์แต่ต้องการกลับเข้ามาในประเทศไทยเพื่อฟอกตัวเองโดยการตัดตอนและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมแล้ว นอกจากจะต้องระมัดระวังการต่อสู้ “ทุกรูปแบบ” ภายใต้ความ สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” แล้ว...
อาจจะต้องระมัดระวังการต่อสู้ทุกรูปแบบของ “มือที่มองไม่เห็น” ของจริงเอาไว้ด้วย!