“ยามเฝ้าแผ่นดิน”ติง “สดศรี”อย่าใช้ 2 มาตรฐาน หากจะสอบกรณีมติใบแดงรั่ว ต้องสอบกรณีเอกสารลับหลุดถึงมือ “ยุทธตู้เย็น”ด้วย เผย“นายกฯหมัก”ดิ้นสลัดภาพหุ่นเชิด หลังแบ่งงานรองนายกฯ คุมงานสำคัญเอง เชื่อ“ทักษิณ”เริ่มอึดอัด เดินแผนแซะเก้าอี้ แต่ “หมัก”รู้ทัน ฉวยโอกาสพูดข้างนอก กดดันภายในพรรค
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรก ได้กล่าวถึงกรณีคณะอนุกรรมการสอบสวนของ กกต.มีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ฐานทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย ซึ่งล่าสุดนางสดสรี สัตยธรรม กกต. จะให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ว่า มติดังกล่าวหลุดลอดออกมาก่อนที่จะเสนอ กกต.ชุดใหญ่ได้อย่างไร เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นความลับทางราชการ เอามาเปิดเผยก่อนไม่ได้
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า เห็นด้วยกับนางสดศรี ที่ไม่ควรจะให้ความลับของ กกต.แพร่งพราย โดยเฉพาะในชั้นการสอบสวน ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดการกดดันในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าการกดดันพยาน การกดดันต่อ กกต. การใช้จำนวนประชาชนเข้าไปกดดันการตัดสินใจของ กกต.ชุดใหญ่ แต่อยากจะให้ใช้มาตรฐานเดียวกัน กับกรณีเอกสารลับประกอบสำนวนการสอบสวนคดีเดียวกันที่รั่วไปถึงมือนายยงยุทธด้วย
ขณะเดียวกันก็อยากให้ กกต.แสดงความโปร่งใส ด้วยการชี้แจง อาจจะติดรายชื่อพยาน แต่ต้องเปิดเผยว่า มีการทุจริตอะไรต่อสาธารณชน เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่า การทำงานของ กกต.นั้นเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมประชาชนทั่วไปก็อยากรู้ว่า กกต.นั้นทำงานอย่างรัดกุมหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สมยอม หรือผ่อนปรนกับผู้สมัคร ที่พยายามมากดดันต่อ กกต.
เชื่อว่าในอนาคตนี้ไม่มีความลับอีกต่อไป การเลือกตั้ง การสอบสวน ก็ควรต้องเปิดเผยทางสาธารณะ แม้แต่การพิจารณางบประมาณแผ่นดินประจำปี สมควรมีการถ่ายทอดสดในชั้นอนุกรรมการด้วยซ้ำไป ว่ามีการทำงานอย่างโปร่งใสหรือไม่ มีการอนุมัติโครงการ มีใครวิ่งเต้นหรือไม่ เชื่อว่าการทำงานอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งที่สะดวกใจที่สุด ทำให้ประชาชนเข้าใจได้มากที่สุดและถือว่าตรวจสอบได้ง่ายที่สุด
นอกจากนี้ คดีของนายยงยุทธ ยังสะเทือนไปถึงตำแหน่งประธานสภาฯ ด้วยข้อครหาเรื่องของการไม่สุจริตต่อการเลือกตั้ง เนื่องจากถ้าประธานสภาฯ กระทำการผิดกฎหมายเลือกตั้งเสียเอง ในนามประธานสภาฯ คิดว่าอย่างน้อยที่สุดคนที่ยกมือให้นายยงยุทธ ในสภาฯ ต้องแสดงความรับผิดชอบ คนที่รับรองขึ้นมาไม่รู้สึกละอายบ้างหรือไม่ ต้องรู้สึกสำนึกว่าตัวเองนั้นได้กระทำอะไรลงไป เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญไม่ใช่ตำแหน่งที่มีรอยมลทินแล้วจะเอาใครมาเป็นก็ได้
** “หมัก”สลัดภาพหุ่นเชิด
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันศุกร์(15 ก.พ.)ว่า นายสมัครได้พยายามแสดงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะในการตอบคำถามกรณีที่จะให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ ซึ่งนายสมัครได้ปฏิเสธ และบอกว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความคิดของอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเพียงคนเดียวที่ไปพูดกับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง แล้วนพ.สุรพงษ์ เป็นสุภาพบุรุษจึงนำมาพูดให้
นอกจากนี้นายสมัครยังยอมรับว่าหากพูดในพรรคตนก็เป็นหุ่นเชิดเหมือนเดิม แต่ถ้าพูดข้างนอกก็ต้องเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด และยอมรับอีกว่าตนไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ก็ไปคนเดียว ส่วนสมาชิกพรรคนั้นก็มาจากพรรคไทยรักไทยเก่าครึ่งหนึ่งสมาชิกใหม่ครึ่งหนึ่ง และมีกรรมการบริหารพรรค 37 คน ที่นายสมัครจะต้องเชื่อฟัง อย่างไรก็ตาม นายสมัครยังอ้างว่าตนก็มีความสัมพันธ์กับ ส.ส.แต่ละคนอยู่บ้าง เพราะตอนเลือกตั้ง ตนต้องออกเดินสายปราศรัยหาเสียงทุกจังหวัด ตามสคริปต์ที่ทางพรรคจัดให้
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายสมัครเข้ามาเที่ยวนี้ไม่มีอะไรมาเลย คนของตัวเองก็ไม่มี คะแนนที่เลือกพรรคพลังประชาชนก็เลือกเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนก่อนจะเป็นนายกฯ ก็ยังมีคนพยายามเลื่อยขาเก้าอี้เพื่อไม่ให้เป็น อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นเป็นนายกฯ ได้แล้ว นายสมัครก็พยายามสร้างอำนาจต่อรองให้กับตัวเอง ด้วยการคุมกระทรวงกลาโหมเอง และไปจับมือกับ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เท่ากับว่าได้กุมอาวุธไว้ในมือแล้ว
ขณะที่อีกด้านหนึ่งนายสมัครก็ได้ถือดาบอาญาสิทธิ เพราะเอางานกระทรวงยุติธรรม ปปง. อัยการสูงสุด มาดูแลเอง เพราะไม่ไว้ใจนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นรองนายกฯ ที่จ่อคอหอยพร้อมจะขึ้นเป็นนายกฯ แทนนายสมัครได้ทุกเมื่อ
เท่ากับว่า ขณะนี้ นายสมัครมีอาวุธในมือทั้ง 2 ข้าง ทั้งยังมีอาวุธเป็นสำนักงบประมาณที่นายสมัครคุมเองอีก รวมทั้งการให้ นายสหัส บัณทิตกุล รองนายกฯ ที่มีความใกล้ชิด คุมกระทรวงพลังงานและกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นกระทรวงที่มีความสำคัญด้วย
“ตอนนี้คุณสมัครมีทั้งอาวุธ และขนมปัง หรือเสบียงพร้อม แถมมีปาก ที่จะใช้ประชาสัมพันธ์ผ่านรายการโทรทัศน์ได้ทุกวันอาทิตย์ เพราะฉะนั้น เชื่อว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มอึดอัดแล้ว เพราะคุมเกมได้ยากขึ้น”
ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่า นายสมัครพยายามจะไม่ตอบเมื่อถูกนักข่าวถามถึงการแบ่งงาน โดยเอาหน่วยงานสำคัญๆ มาอยู่ในมือตัวเอง และหาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่อึดอัดแล้ว นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.สำนักนายกฯ คงไม่ออกมาโวยวายว่า ตนเป็นรัฐมนตรีที่ดูแลด้านกฎหมาย แต่นายสมัครกลับไม่แบ่งงานด้านนี้ไปให้ดูแลเลย
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านายสมัคร มีแนวร่วมจากกลุ่ม ส.ส.ปัจจุบัน ที่ไม่อยากให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนกลับมา ทำให้นายสมัครแสดงความเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น แม้แต่ความคิดที่จะเลิกซีแอลยา นายสมัครก็ตีกลับ การยกเลิกมาตรการ 30% ก็โยนให้ นพ.สุรพงษ์ไปพิจารณาใหม่ รวมไปถึงเรื่องการตั้งคนในกลุ่ม 111 คน ไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ซึ่งนายสมัครอ้างว่าไม่เคยมีความคิดที่จะเอามา ดังนั้น คนที่เดินหมากโค่นนายสมัครต้องรอคอยและอดทน
** แผนแซะเก้าอี้ “สมัคร”?
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายสมัครอาจไม่ต้องการที่จะทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อำนาจต่อรองของนายสมัครที่มีมากขึ้น ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่พอใจแน่นอน ดังนั้น จึงอาจมีแผนกำจัดนายสมัคร ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การคาดหวังจากการตรวจสอบของ คตส.คดีรถ-เรือดับเพลิง โรงกำจัดขยะ มีกระแสข่าวออกมาว่า เอกสารคดีรถ-เรือดับเพลิงบางส่วนที่ยังหายไปนั้น อยู่ ๆ ก็กลับไปวางเป็นแฟ้มอยู่ที่ คตส. เพื่อให้ดำเนินคดีความได้ง่ายขึ้น
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า คดีรถ-เรือดับเพลิงที่นายสมัครอ้างว่ามีมือที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลังนั้น คนทั่วไปอาจคิดว่าเป็นมือเดียวกันกับคนที่มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ แต่จริงๆ แล้วเป็นมือที่อยู่ใกล้ๆ นายสมัคร ซึ่งอยากจะให้นายสมัครหลุดจากตำแหน่งนายกฯ
อย่างไรก็ตาม แผนนี้ นายสมัครรู้ตัวก่อน เพราะเห็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อยู่ใกล้ๆ จึงเอางานของอัยการสูงสุดและกระบวนการยุติธรรมมาดูแลเอง ไม่ยอมให้มีการถอดถอนผ่านกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายๆ คดีความของนายสมัครจึงเหลือเรื่องเดียว ที่ยังเสี่ยงอยู่ คือคดีหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ซึ่งจะต้องต่อสู้ถึงขั้นฎีกา อย่างน้อยก็ใช้เวลาเป็นปี นายสมัครจึงมั่นใจมากขึ้น พอๆ กับความไม่พอใจของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
สังเกตได้ว่าตอนนี้ นายสมัครเริ่มทำคะแนนอย่างรวดเร็ว ทั้งในพรรค ทั้งนอกพรรค นายสมัครใช้วิธีพูดผ่านสื่อว่าพูดอยู่ข้างในเหมือนหุ่นเชิด ก็เพราะว่ากรรมการบริหารพรรค และคนที่มีอิทธิพลในภาคอีสาน อยู่ภายใต้ พ.ต.ท.ทักษิณแต่เดิม ดังนั้นการพูดที่ไปข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ครม.ขี้เหร่ ไม่เห็นด้วยกับการที่ 111 คนมาเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ เหล่านี้คือการพูดโยนออกไปให้สังคมกดดันกรรมการบริหารพรรคข้างใน ว่าประชาชนรู้ทุกเรื่อง อย่ามางุบงิบอยู่ข้างในพรรค แล้วมากดดันให้นายสมัครต้องทำตาม
"สังเกตนิดหนึ่งว่าคุณนพดล ก็ดี หรือคุณเฉลิม พยายามจะบอกว่าคุณทักษิณจะกลับให้เร็วที่สุด แต่คุณสมัครพูดว่าอะไร คุณสมัครบอกว่าผมไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วๆ นี้ มันมีความหมายอะไรที่ดูเหมือนว่าจะมีการปีนเกลียว และผมก็เชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีต่อสื่อตอนนี้ที่คุณสมัครเปลี่ยนท่าทีไปเยอะมาก ปรับตัวอย่างที่ไม่มีใครคิดมาก่อน ถึงแม้จะพลาดเรื่องเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2519 เป็นเรื่องเดียวที่พลาด แต่เรื่องอื่นๆ คุณสมัครเป็นตัวของตัวเองชัดเจนเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่แบ่งอำนาจการมอบหมายงานให้กับรองนายกรัฐมนตรี"
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า เพราะฉะนั้นเหลี่ยมคูทางการเมืองครั้งนี้ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องคิดหนัก ได้ข่าวมาว่า มีการคุยกับระหว่างแกนนำระดับสูงที่ใกล้ชิดกับพรรคพลังประชาชน บอกว่า วันที่ พ.ต.ท.ทักษิณพลาดที่สุด คือวันที่ตัดสินใจเลือกนายสมัครเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และนายกรัฐมนตรี และทราบว่าก่อนที่จะมีการเลือกโหวตนายกรัฐมนตรีนั้น ชื่อยังแกว่งๆ อยู่ ทำนองว่าภายในพรรคยังเห็นไม่ตรงกัน
“สรุปแล้ว หมากสำคัญ 1. ใช้กระบวนการยุติธรรมเล่นคุณสมัคร ปรากฏว่า คุณสมัครจับอยู่ในมือแล้ว 2. ปั่นป่วนในพรรคแล้วใช้มติพรรคกดดันคุณสมัคร คุณสมัครก็พูดข้างนอกกดดันข้างในแทน เรื่องที่ 3 คืออภิปรายไม่ไว้วางใจคุณสมัครโดยใช้ฝ่ายค้าน ถ้าฝ่ายค้านเล่นเกมด้วย แล้วไปผสมกับพรรคพลังประชาชนบางส่วนไปหักคุณสมัครตอนท้าย คุณสมัครยังมีอำนาจสุดท้ายคือ อำนาจยุบสภา เพราะฉะนั้นเกมนี้ถือว่าสูสีกันมากทีเดียว”ผู้ดำเนินรายการกล่าว