ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าค่าตากันไปแล้วสำหรับรัฐบาล “หุ่นเชิด” ก่อรูปภายใต้ “หมัก 1” เริ่มกระจายกำลังเข้ายึดคืนอำนาจรัฐกันทุกจุดสำคัญอย่างเบ็ดเสร็จ ไร้การต่อต้านอย่างสิ้นเชิง
ตั้งแต่ทำเนียบฯไปจนจบทุกกระทรวงทบวงกรมล้วนเงียบฉี่ ตรงกันข้ามกลับได้ยินแต่เสียงไชยโยต้อนรับกันไปตลอดทาง
แม้กระทั่งกองทัพก็ไร้ปฏิกิริยา ทุกอย่างโล่งเตียน
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาสังคมเริ่มสังเกตเห็นอาการแปลกๆของ สมัคร สุนทรเวช หลังจากก้าวถึงฝั่งฝันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 25 เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เริ่มทำหน้าที่เหมือนพ่อครัวยำโผครม.ใบสั่งรวดเดียวถึง 12 เก้าอี้
แถมตั้งฉายาให้เสร็จสรรพว่า “ครม.ขี้เหร่”
พฤติกรรมแปลกๆแบบนี้สร้างความหวั่นไหวไปทั่ว โดยเฉพาะคนที่คอยชักใยมาจากฮ่องกงถึงกับหลุดปากลอยลมเข้าหูในทำนองว่า “อะไร(ว่ะ)เป็นนายกฯแค่สองวันพูดไม่รู้เรื่องแล้ว”
อาการดังกล่าวแม้จะยังพิสูจน์อะไรไม่ได้มากนัก เพราะยังเร็วเกินไป อีกทั้งตำแหน่งที่รื้อสับเปลี่ยนส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ระดับเกรดซี เกรดดี ไม่ค่อยมีความหมาย
เพราะยังไม่ได้เข้าล้วงลูกแตะต้องในตำแหน่งหลัก บรรดาหัวใจ-สายตรง ของนายใหญ่-นายหญิงทั้งหลาย
ทั้ง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ นพดล ปัทมะ ฯลฯ ยังอยู่กันครบ ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปจากเก้าอี้สำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายอนาคตเลยแม้แต่น้อย
บรรดาขุนพล หุ่นเชิด นอมินี หรืออะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียกขานกันยังโดดเด่นเช่นเดิม
อย่างไรก็ดีนับจากนี้ไปมีเรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะมีระดับสำคัญกว่า ต้องการแยกประเด็นออกมาต่างหาก หลังจากเริ่มเห็นร่องรอยผิดปกติบางอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นกับ นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ
ถ้าเกาะติดสถานการณ์มาตั้งแต่ต้นรับรองว่าก็จะเห็นบทบาทของ “น้องเขย” คนสำคัญ อย่าง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ถูกวางตัวเป็นรองนายกฯ อันดับ 1 เนื่องจากมันซ่อนนัยทางการเมืองให้เห็น จนไม่อาจปกปิดกันได้
ที่ผ่านมารับรู้กันไปทั่วแล้วว่า สถานะของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ธรรมดาสำหรับสถานการณ์การเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในช่วงเริ่มต้นในบางภารกิจต้องใช้คนที่ไว้ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะตัวเลือกมีจำกัด ถูกจับยัดเข้าบ้านเลขที่ 111 แบบยกเข่งแบบนี้
จำเป็นต้องพึ่งระดับ “หุ่นเชิดเกรดเอ” เท่านั้น
แม้ยังไม่ประกาศชัดเจน แต่รับรองว่า นอกจากจะได้รั้งเก้าอี้รองนายกฯอันดับ 1 แล้ว ยังคาดว่าจะได้กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมอีกด้วย
ทุกอย่างเริ่มเข้าเค้า
เริ่มพิจารณาตั้งแต่การเข้ามาดูแลงานด้านยุติธรรมก่อน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเจ้ากระทรวงโดยตรง แต่ทุกอย่างต้องรายงานความคืบหน้าให้รับรู้ทุกขั้นตอน
และหากพิจารณาจากหน่วยงานภายในแล้ว มีทั้ง ปปง. ดีเอสไอ ราชทัณฑ์ ก็ยิ่งไม่น่าแปลกใจว่าทำไมต้องส่งสมชาย มาคุม
อีกทั้งที่ผ่านมาเคยนั่งในตำแหน่งปลัดกระทรวงจนรากงอกคาเก้าอี้กันไปแล้ว มีเส้นสายภายในทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งเกิดพลิกผันในช่วงปฏิวัติ 19 ก.ย. 49
ดังนั้นไม่ต้องอธิบายกันมากความก็รู้ทันทีว่า “คนนี้แหละ ตัวจริงไช่เลย”
อีกมุมหนึ่งหากวกกลับมาที่ตำแหน่งรองนายกฯอันดับ 1 ถือว่ามีความหมาย เพราะนอกเหนือจากต้องได้รับการภารกิจสำคัญในการดูแลกระทรวงยุติธรรม มีความเชื่อมโยงไปถึงคดีสำคัญที่บรรดาคนในครอบครัวกำลังทยอยกันขึ้นโรงขึ้นศาลในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว
ยังมีประเด็นในเรื่องอำนาจซ้อนอำนาจมาเป็นเรื่องหลัก
อย่างที่บอกไปแล้วว่าในบางสถานการณ์ต้องใช้ “คนในครอบครัว” ไม่ใช่เด็กในบ้าน อย่างน้อยก็เป็นหลักประกัน “บล็อก” เอาไว้อีกชั้น เพื่อความชัวร์
เพราะต้องไม่ลืมว่า เวลานี้ลุงหมัก ยังมีคดีติดตัวนุงนัง ทั้งเรื่องคดีหมิ่นประมาทที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ติดคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา เรื่องกำลังอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ ยังลูกผีลูกคน
อีกคดีคือเรื่องทุจริตซื้อรถ-เรือดับเพลิง ทุจริตโรงกำจัดขยะของกทม.ก็กำลังงวดเข้ามา ถ้าเกิดซวยมีรายการแจ็กพอต ตามกฎหมายต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่แล้วกัน
ดังนั้นถ้าเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ ดันน้องเขยไปรอเสียบป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร หรือถ้าในช่วงสำคัญ หากนายกฯสมัคร มีความจำเป็นต้องเดินสายไปจับมือกับผู้นำประเทศในต่างแดน คนที่ต้องรักษาการทำหน้าที่เป็นผู้นำรัฐบาล นั่งหัวโต๊ะประชุมครม.มีสิทธิ์ได้ดูแล “วาระจร” หากบังเอิญจำเป็นต้องเสนอเข้ามา
นี่ว่ากันเฉพาะข้อกฎหมายล้วนๆ ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาเจือปน เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวขึ้นมาจริงๆก็จะได้ไม่ฉุกละหุก รอเสียบได้ทันที
แต่อีกเรื่องนี่ซิสำคัญกว่า หากพิจารณาในแง่มุมทางการเมือง ในเรื่องอำนาจที่ไม่อาจไว้วางใจใครกันไม่ได้ง่ายนัก
ยิ่งมีอาการแปลกๆให้ชวนสงสัยตั้งแต่เพิ่งเข้ามานั่งเก้าอี้นายกฯได้เพียงแค่สองวันก็ทำท่าจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ตามที่มีเสียงบ่นจากฮ่องกงนั่นแหละ
มีเสียงวิจารณ์กันหนาหูขึ้นเรื่อยๆว่างานนี้ “สมัครตั้งใจจริง” ต้องการสร้างชื่อไว้ลายก่อนตาย หลังจากใช้ยุทธศาสตร์ “ไม่คำนึงถึงวิธีการ” เพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีตามที่วาดฝันเอาไว้
ที่น่าจับตาก็คือหลังจากมีอำนาจในมือค่อยว่ากันอีกเรื่อง และน่าจะมั่นใจว่า “คนอย่างหมักไม่น่าจะยอมเป็นหุ่นเชิดใครไปตลอดชีวิตมันก็น่ากลุ้ม
อย่างไรก็ดีนั่นเป็นเรื่องอนาคตต้องรอพิสูจน์กันไปในวันข้างหน้า
แต่สำหรับ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ การรับภาระเป็นนายกฯอันดับ 1 หากไม่พูดเกินเลยในทางการเมือง รวมทั้งพิจารณาจากแบ็กกราวด์ทั้งหลายทั้งปวงแล้วไม่อาจมองข้ามไปได้เลย
ว่ากันว่าคนๆนี้แหละน่าจะเป็นจุด “พัก” คำสั่งจากข้างนอก ก่อนกระจายส่งต่อไปยังเป้าหมาย ไล่กันไปทั้ง เลี้ยบ มิ่ง ที่เข้าข่ายขุนพลระดับรองลงมาอีกทอดหนึ่ง
ขณะเดียวกันยังเป็นการประกบนายกฯสมัครไม่ให้เคลื่อนไหวได้อิสระมากนัก แม้ว่าในทางกฎหมายแล้วอาจไม่ทัดทานได้มากนัก แต่อย่างน้อยเป็นการทำลายจังหวะก็ยังดี
ดังนั้นนาทีนี้นอกจาก สมัคร สุนทรเวช แล้วถ้าจะโฟกัสก็ต้อง “น้องเขย” คนสำคัญนี่แหละ !!
ตั้งแต่ทำเนียบฯไปจนจบทุกกระทรวงทบวงกรมล้วนเงียบฉี่ ตรงกันข้ามกลับได้ยินแต่เสียงไชยโยต้อนรับกันไปตลอดทาง
แม้กระทั่งกองทัพก็ไร้ปฏิกิริยา ทุกอย่างโล่งเตียน
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาสังคมเริ่มสังเกตเห็นอาการแปลกๆของ สมัคร สุนทรเวช หลังจากก้าวถึงฝั่งฝันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 25 เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เริ่มทำหน้าที่เหมือนพ่อครัวยำโผครม.ใบสั่งรวดเดียวถึง 12 เก้าอี้
แถมตั้งฉายาให้เสร็จสรรพว่า “ครม.ขี้เหร่”
พฤติกรรมแปลกๆแบบนี้สร้างความหวั่นไหวไปทั่ว โดยเฉพาะคนที่คอยชักใยมาจากฮ่องกงถึงกับหลุดปากลอยลมเข้าหูในทำนองว่า “อะไร(ว่ะ)เป็นนายกฯแค่สองวันพูดไม่รู้เรื่องแล้ว”
อาการดังกล่าวแม้จะยังพิสูจน์อะไรไม่ได้มากนัก เพราะยังเร็วเกินไป อีกทั้งตำแหน่งที่รื้อสับเปลี่ยนส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ระดับเกรดซี เกรดดี ไม่ค่อยมีความหมาย
เพราะยังไม่ได้เข้าล้วงลูกแตะต้องในตำแหน่งหลัก บรรดาหัวใจ-สายตรง ของนายใหญ่-นายหญิงทั้งหลาย
ทั้ง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ นพดล ปัทมะ ฯลฯ ยังอยู่กันครบ ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปจากเก้าอี้สำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายอนาคตเลยแม้แต่น้อย
บรรดาขุนพล หุ่นเชิด นอมินี หรืออะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียกขานกันยังโดดเด่นเช่นเดิม
อย่างไรก็ดีนับจากนี้ไปมีเรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะมีระดับสำคัญกว่า ต้องการแยกประเด็นออกมาต่างหาก หลังจากเริ่มเห็นร่องรอยผิดปกติบางอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นกับ นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ
ถ้าเกาะติดสถานการณ์มาตั้งแต่ต้นรับรองว่าก็จะเห็นบทบาทของ “น้องเขย” คนสำคัญ อย่าง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ถูกวางตัวเป็นรองนายกฯ อันดับ 1 เนื่องจากมันซ่อนนัยทางการเมืองให้เห็น จนไม่อาจปกปิดกันได้
ที่ผ่านมารับรู้กันไปทั่วแล้วว่า สถานะของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ธรรมดาสำหรับสถานการณ์การเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในช่วงเริ่มต้นในบางภารกิจต้องใช้คนที่ไว้ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะตัวเลือกมีจำกัด ถูกจับยัดเข้าบ้านเลขที่ 111 แบบยกเข่งแบบนี้
จำเป็นต้องพึ่งระดับ “หุ่นเชิดเกรดเอ” เท่านั้น
แม้ยังไม่ประกาศชัดเจน แต่รับรองว่า นอกจากจะได้รั้งเก้าอี้รองนายกฯอันดับ 1 แล้ว ยังคาดว่าจะได้กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมอีกด้วย
ทุกอย่างเริ่มเข้าเค้า
เริ่มพิจารณาตั้งแต่การเข้ามาดูแลงานด้านยุติธรรมก่อน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเจ้ากระทรวงโดยตรง แต่ทุกอย่างต้องรายงานความคืบหน้าให้รับรู้ทุกขั้นตอน
และหากพิจารณาจากหน่วยงานภายในแล้ว มีทั้ง ปปง. ดีเอสไอ ราชทัณฑ์ ก็ยิ่งไม่น่าแปลกใจว่าทำไมต้องส่งสมชาย มาคุม
อีกทั้งที่ผ่านมาเคยนั่งในตำแหน่งปลัดกระทรวงจนรากงอกคาเก้าอี้กันไปแล้ว มีเส้นสายภายในทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งเกิดพลิกผันในช่วงปฏิวัติ 19 ก.ย. 49
ดังนั้นไม่ต้องอธิบายกันมากความก็รู้ทันทีว่า “คนนี้แหละ ตัวจริงไช่เลย”
อีกมุมหนึ่งหากวกกลับมาที่ตำแหน่งรองนายกฯอันดับ 1 ถือว่ามีความหมาย เพราะนอกเหนือจากต้องได้รับการภารกิจสำคัญในการดูแลกระทรวงยุติธรรม มีความเชื่อมโยงไปถึงคดีสำคัญที่บรรดาคนในครอบครัวกำลังทยอยกันขึ้นโรงขึ้นศาลในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว
ยังมีประเด็นในเรื่องอำนาจซ้อนอำนาจมาเป็นเรื่องหลัก
อย่างที่บอกไปแล้วว่าในบางสถานการณ์ต้องใช้ “คนในครอบครัว” ไม่ใช่เด็กในบ้าน อย่างน้อยก็เป็นหลักประกัน “บล็อก” เอาไว้อีกชั้น เพื่อความชัวร์
เพราะต้องไม่ลืมว่า เวลานี้ลุงหมัก ยังมีคดีติดตัวนุงนัง ทั้งเรื่องคดีหมิ่นประมาทที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ติดคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา เรื่องกำลังอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ ยังลูกผีลูกคน
อีกคดีคือเรื่องทุจริตซื้อรถ-เรือดับเพลิง ทุจริตโรงกำจัดขยะของกทม.ก็กำลังงวดเข้ามา ถ้าเกิดซวยมีรายการแจ็กพอต ตามกฎหมายต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่แล้วกัน
ดังนั้นถ้าเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ ดันน้องเขยไปรอเสียบป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร หรือถ้าในช่วงสำคัญ หากนายกฯสมัคร มีความจำเป็นต้องเดินสายไปจับมือกับผู้นำประเทศในต่างแดน คนที่ต้องรักษาการทำหน้าที่เป็นผู้นำรัฐบาล นั่งหัวโต๊ะประชุมครม.มีสิทธิ์ได้ดูแล “วาระจร” หากบังเอิญจำเป็นต้องเสนอเข้ามา
นี่ว่ากันเฉพาะข้อกฎหมายล้วนๆ ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาเจือปน เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวขึ้นมาจริงๆก็จะได้ไม่ฉุกละหุก รอเสียบได้ทันที
แต่อีกเรื่องนี่ซิสำคัญกว่า หากพิจารณาในแง่มุมทางการเมือง ในเรื่องอำนาจที่ไม่อาจไว้วางใจใครกันไม่ได้ง่ายนัก
ยิ่งมีอาการแปลกๆให้ชวนสงสัยตั้งแต่เพิ่งเข้ามานั่งเก้าอี้นายกฯได้เพียงแค่สองวันก็ทำท่าจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ตามที่มีเสียงบ่นจากฮ่องกงนั่นแหละ
มีเสียงวิจารณ์กันหนาหูขึ้นเรื่อยๆว่างานนี้ “สมัครตั้งใจจริง” ต้องการสร้างชื่อไว้ลายก่อนตาย หลังจากใช้ยุทธศาสตร์ “ไม่คำนึงถึงวิธีการ” เพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีตามที่วาดฝันเอาไว้
ที่น่าจับตาก็คือหลังจากมีอำนาจในมือค่อยว่ากันอีกเรื่อง และน่าจะมั่นใจว่า “คนอย่างหมักไม่น่าจะยอมเป็นหุ่นเชิดใครไปตลอดชีวิตมันก็น่ากลุ้ม
อย่างไรก็ดีนั่นเป็นเรื่องอนาคตต้องรอพิสูจน์กันไปในวันข้างหน้า
แต่สำหรับ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ การรับภาระเป็นนายกฯอันดับ 1 หากไม่พูดเกินเลยในทางการเมือง รวมทั้งพิจารณาจากแบ็กกราวด์ทั้งหลายทั้งปวงแล้วไม่อาจมองข้ามไปได้เลย
ว่ากันว่าคนๆนี้แหละน่าจะเป็นจุด “พัก” คำสั่งจากข้างนอก ก่อนกระจายส่งต่อไปยังเป้าหมาย ไล่กันไปทั้ง เลี้ยบ มิ่ง ที่เข้าข่ายขุนพลระดับรองลงมาอีกทอดหนึ่ง
ขณะเดียวกันยังเป็นการประกบนายกฯสมัครไม่ให้เคลื่อนไหวได้อิสระมากนัก แม้ว่าในทางกฎหมายแล้วอาจไม่ทัดทานได้มากนัก แต่อย่างน้อยเป็นการทำลายจังหวะก็ยังดี
ดังนั้นนาทีนี้นอกจาก สมัคร สุนทรเวช แล้วถ้าจะโฟกัสก็ต้อง “น้องเขย” คนสำคัญนี่แหละ !!