อันที่จริงประมาณสัปดาห์เศษที่ผ่านมาหลังจากที่นายสมัคร สุนทรเวช ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย ก็ดูจะเห็นเค้าลางความแตกต่างทางความคิดในทางการเมืองและการทหารที่เกิดขึ้นในกลุ่มคนรอบข้างกับระบอบทักษิณเพิ่มมากขึ้น
เดิมทีหลายคนมีความเชื่อว่านายสมัคร สุนทรเวชจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเองเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สามารถถูกสั่งให้ซ้ายหันขวาหันตามที่ต้องการ แต่เอาเข้าจริงนายสมัครก็หาได้เป็นอย่างนั้นไม่
นายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีที่ออกมายอมรับต่อหน้าต่อตาคณะรัฐมนตรีชุดแรกว่า “ขี้เหร่” ดูไม่สวยงาม คนอย่างนายสมัครเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม การยอมรับว่า คณะรัฐมนตรีว่ามีความขี้เหร่ นั้นย่อมแสดงให้เห็นว่า นายสมัคร มีความไม่เห็นด้วยในหลายตำแหน่งที่เกิดขึ้นในคณะรัฐมนตรีและยังแสดงให้เห็นว่าตัวเองนั้นมีอำนาจไม่เต็มที่ในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเป็นอีกด้วย
หน้าตาของคณะรัฐมนตรี “ขี้เหร่” ชุดนี้ ด้านหนึ่งมีตั้งแต่คนที่เป็น “นอมินี” ให้กับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน ทั้งเมียแทนผัว, น้องแทนพี่, พ่อแทนลูก ในขณะอีกด้านหนึ่งก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ถูกปูนบำเหน็จอันเป็นผลที่ต่อสู้กับ คมช. และอำมาตยาธิปไตยหลังจากที่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550 เป็นต้นมา
สะท้อนให้เห็นว่าการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดนี้เป็นการจัดคนเพื่อสะสางปัญหาคดีความของระบอบทักษิณประการหนึ่ง และเป็นการเอาชนะทางการเมืองกับอำมาตยาธิปไตยให้ราบคาบประการหนึ่ง และเป็นการตอบแทนผู้ต่อสู้เพื่อระบอบทักษิณเป็นอีกประการหนึ่ง
และถึงแม้คณะรัฐมนตรีชุดนี้จะมีความ “ขี้เหร่” แต่แท้ที่จริงแล้วก็จะเห็นอาการและร่องรอยความขัดแย้งบางอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า นายสมัคร สุนทรเวช หลังจากได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็เริ่มแข็งขืนแสดงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นตามลำดับ
ประการแรกนายสมัคร สุนทรเวช ได้ดำเนินการปรับโผโยกย้ายคณะรัฐมนตรีด้วยตัวเองหลายต่อหลายตำแหน่ง แม้จะไม่สามารถดำเนินการปรับได้ทั้งหมด แต่ก็ยังแสดงอาการความไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จึงต้องออกมายอมรับว่าเป็น “ครม. ขี้เหร่”
ประการที่สองนายสมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์ถึงการคงอยู่ของรัฐบาลชุดนี้ว่า ถ้าอยู่สั้นจะอยู่ให้ครบวาระ 4 ปี ถ้าอยู่ยาวก็จะอยู่ถึง 8 ปี ตรงนี้เท่ากับเป็นการขัดกันในหลักการสำคัญระหว่างคนที่อยู่ในอำนาจแล้วในรัฐบาลชุดนี้ที่อยากอยู่ยาวที่สุด กับคนที่อยากกลับเข้าสู่อำนาจที่อยากเข้าสู่อำนาจให้เร็วที่สุด
ประการที่สามนายสมัคร สุนทรเวช ตัดสินใจจับมือกับฝ่ายทหารด้วยการนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยตัวเอง พร้อมๆกับการประกาศที่จะไม่แทรกแซงสถาบันทหารอย่างชัดเจน เป็นผลทำให้ฝ่ายทหารก็ได้แสดงท่าทีที่จะเป็นมิตรกับนายสมัครในบัดดล
ถ้าใครจำได้ก็คงจะรำลึกถึงความหลังที่มีความเอื้อเฟื้อต่อกันระหว่างนายสมัคร สุนทรเวช กับทหารตั้งแต่อดีตกาล จนแม้นายสมัคร สุนทรเวชมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนก็ยังสามารถประนีประนอมกับฝ่าย คมช. ได้ในเรื่องเอกสารลับที่ คมช.แทรกแซงการเมือง ได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยไม่มีการพิสูจน์กันว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายปลอมเอกสารลับชิ้นนั้นขึ้นมา
การประนีประนอมกับทหารในยุคนี้ ย่อมเป็นการสถาปนาอำนาจของนายสมัครให้มีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น เพราะด้านหนึ่งก็ไม่ต้องระวังอำนาจของทหารในระบอบทักษิณที่จะมารัฐประหารตัวเองหากนายสมัครดื้อด้านต่อการสั่งการของระบอบทักษิณ แต่อีกด้านหนึ่งการสร้างมิตรที่เป็นทหารในยุคปัจจุบันย่อมสร้างความมั่นคงให้กับรัฐบาลให้รอดพ้นจากความเสี่ยงทางการทหาร
ประการที่สี่นายสมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์ที่จะนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนหมดวาระ เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้นักการเมืองที่จะโค่นล้มอำนาจนายสมัครมีอันต้องหยุดชะงักเสียก่อนที่จะไม่ได้นิรโทษกรรม
ต้องไม่ลืมว่าอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน คือคนที่มีศักยภาพในฐานะผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองและหัวเรือใหญ่ของกลุ่มการเมืองต่างๆที่จะเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, รัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี และแม้แต่นายกรัฐมนตรี ดังนั้นนักการเมืองที่นั่งอยู่ในตำแหน่งทั้งหลายคนไหนเล่าที่อยากจะให้ 111 ผีตายซากฟื้นคืนชีพมาแย่งตำแหน่งของตัวเอง
แต่การที่นายสมัครคิดการใหญ่ที่จะอยู่ยาวถึง 8 ปี การที่ระบุว่าจะไปนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหาร 111 นั่นหมายถึง การนิรโทษกรรมทั้งหมดอาจถูกเบี้ยวก็เป็นได้
ในทางตรงกันข้ามการทำงานของนายสมัครหลังจากนี้จะสามารถเริ่มสั่งสมบารมีขยายแนวร่วมคณะรัฐมนตรีและในสภาผู้แทนราษฎร ที่คงไม่อยากให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนมาแทนที่ตัวเอง
พ่อค้านายทุนทั้งหลายหากมีความเชื่อว่านายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเอง ก็จะหลั่งไหลมาเจรจากับนายสมัครจนอาจจะพร้อมเข้ามาสนับสนุนทุนโดยตรงชนิดที่สามารถสร้างแนวร่วมและอาณาจักรทางการเมืองของตัวเองขึ้นมาแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นได้
ผลประโยชน์ และอำนาจ ไม่เข้าใครออกใคร!
ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงมีอำนาจเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับเหล่านักการเมืองทั้งหลายและกุมสภาพได้อยู่จริง ก็ต้องเผชิญอำนาจต่อรองของนายสมัคร ที่มีอยู่ไม่แพ้กันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในสถานภาพของนายกรัฐมนตรี
นายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะนายกรัฐมนตรีสามารถให้คุณให้โทษโดยการปรับคณะรัฐมนตรีได้, สามารถชี้นำมติคณะรัฐมนตรีได้, และยังมีไม้ตายที่สามารถยุบสภาได้
มิพักต้องพูดถึงการได้มาซึ่งนายสมัครที่พลพรรคพลังประชาชนคาดหวังพึ่งพิงกับภาพลักษณ์ในเรื่องความจงรักภักดีมาเป็นหัวโขน ซึ่งหากพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคได้ไม่ดีพอ “ปาก” ของนายสมัครเองนี่แหละจะเป็นอาวุธฟาดฟันด้วยราคาแห่งภาพลักษณ์ในความจงรักภักดีเช่นเดียวกัน
นายสมัคร สุนทรเวช ย่อมได้รับบทเรียนมาเป็นอย่างดีว่ากว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้มีแกนนำในพรรคพลังประชาชนมาเลื่อยขาสกัดไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากน้อยเพียงใด
คนเดือนตุลาในอดีตที่มีความเจ็บปวดต่อนายสมัคร ย่อมทนไม่ได้กับภาพที่นายสมัครมาเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ คนในวงการสื่อสารมวลชนที่ไม่ชอบการพูดจาของนายสมัครก็เริ่มแสดงออกด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร
แต่สัญญาณที่น่าจับตาก็ตรงที่ สื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับที่เคยสนับสนุนเชียร์พรรคพลังประชาชนอย่างออกหน้าออกตา ก็เริ่มออกมาโจมตีนายสมัคร สุนทรเวช อย่างหนักหน่วงตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงาน
ความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชาชนได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างชัดเจน!
การวางหมากใช้คนที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปทำหน้าที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นรองนายกรัฐมนตรี หรือกระทรวงสำคัญๆที่จะไปมีความเกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ถ้ามองผิวเผินก็ดูเหมือนจะเป็นการช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ กับครอบครัว แต่หากมองให้ลึกถึงเหลี่ยมคูทางการเมืองแล้ว การวางหมากแบบนี้คือการนำเรื่อง “เผือกร้อน” และ “ความเสี่ยงต่อคุกตะราง” ให้ไปตกมือคนอื่นให้รับกรรมกันเอาเอง หากทำได้ก็ต้องยอมเสี่ยง หากไม่ทำก็ถูกกดดันทางการเมืองจากนายใหญ่
เพราะโจทย์สำคัญของนายสมัครในวันนี้ได้คิดการใหญ่แบบไม่ธรรมดาเสียแล้ว การคิดที่จะอยู่ยาวเป็นการกดดันอันใหญ่หลวงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ที่ต้องการจัดการปัญหาทุกอย่างให้เร็วที่สุด
นายสมัคร จึงทำงานแบบ “ชิมไปบ่นไป” ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ และอยากอยู่ยาวนานที่สุด ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อคดีความทั้งหลายดำเนินต่อไปโดยที่ไม่สามารถเข้าสู่อำนาจทางการเมืองได้
เพราะถ้าปัญหาของระบอบทักษิณถูกคลี่คลายได้เร็ว ความจำเป็นของนายสมัครต่อระบอบทักษิณก็ยิ่งลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จนต้องถูกกำจัดในท้ายที่สุด!!!
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่จะสรุปว่า นายสมัคร สุนทรเวช ดีเลิศประเสริฐศรี เพราะคดีความทั้งหลายจะต้องใช้เวลาพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม
แต่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีตัวตน พยายามเป็นตัวของตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกตราหน้าว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีหัวตอ” และยังอาจจะคิดการใหญ่ที่จะรวบอำนาจกินหัว กินหาง กินตรงกลางตลอดทั้งตัวตามวิถีแห่งเกมอำนาจที่เป็นเช่นนี้อยู่เสมอ
นี่คือราคาที่ระบอบทักษิณต้องจ่ายกับภาพลักษณ์ในความจงรักภักดีของนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ที่ชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช!!!
เดิมทีหลายคนมีความเชื่อว่านายสมัคร สุนทรเวชจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเองเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สามารถถูกสั่งให้ซ้ายหันขวาหันตามที่ต้องการ แต่เอาเข้าจริงนายสมัครก็หาได้เป็นอย่างนั้นไม่
นายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีที่ออกมายอมรับต่อหน้าต่อตาคณะรัฐมนตรีชุดแรกว่า “ขี้เหร่” ดูไม่สวยงาม คนอย่างนายสมัครเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม การยอมรับว่า คณะรัฐมนตรีว่ามีความขี้เหร่ นั้นย่อมแสดงให้เห็นว่า นายสมัคร มีความไม่เห็นด้วยในหลายตำแหน่งที่เกิดขึ้นในคณะรัฐมนตรีและยังแสดงให้เห็นว่าตัวเองนั้นมีอำนาจไม่เต็มที่ในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเป็นอีกด้วย
หน้าตาของคณะรัฐมนตรี “ขี้เหร่” ชุดนี้ ด้านหนึ่งมีตั้งแต่คนที่เป็น “นอมินี” ให้กับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน ทั้งเมียแทนผัว, น้องแทนพี่, พ่อแทนลูก ในขณะอีกด้านหนึ่งก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ถูกปูนบำเหน็จอันเป็นผลที่ต่อสู้กับ คมช. และอำมาตยาธิปไตยหลังจากที่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550 เป็นต้นมา
สะท้อนให้เห็นว่าการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดนี้เป็นการจัดคนเพื่อสะสางปัญหาคดีความของระบอบทักษิณประการหนึ่ง และเป็นการเอาชนะทางการเมืองกับอำมาตยาธิปไตยให้ราบคาบประการหนึ่ง และเป็นการตอบแทนผู้ต่อสู้เพื่อระบอบทักษิณเป็นอีกประการหนึ่ง
และถึงแม้คณะรัฐมนตรีชุดนี้จะมีความ “ขี้เหร่” แต่แท้ที่จริงแล้วก็จะเห็นอาการและร่องรอยความขัดแย้งบางอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า นายสมัคร สุนทรเวช หลังจากได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็เริ่มแข็งขืนแสดงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นตามลำดับ
ประการแรกนายสมัคร สุนทรเวช ได้ดำเนินการปรับโผโยกย้ายคณะรัฐมนตรีด้วยตัวเองหลายต่อหลายตำแหน่ง แม้จะไม่สามารถดำเนินการปรับได้ทั้งหมด แต่ก็ยังแสดงอาการความไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จึงต้องออกมายอมรับว่าเป็น “ครม. ขี้เหร่”
ประการที่สองนายสมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์ถึงการคงอยู่ของรัฐบาลชุดนี้ว่า ถ้าอยู่สั้นจะอยู่ให้ครบวาระ 4 ปี ถ้าอยู่ยาวก็จะอยู่ถึง 8 ปี ตรงนี้เท่ากับเป็นการขัดกันในหลักการสำคัญระหว่างคนที่อยู่ในอำนาจแล้วในรัฐบาลชุดนี้ที่อยากอยู่ยาวที่สุด กับคนที่อยากกลับเข้าสู่อำนาจที่อยากเข้าสู่อำนาจให้เร็วที่สุด
ประการที่สามนายสมัคร สุนทรเวช ตัดสินใจจับมือกับฝ่ายทหารด้วยการนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยตัวเอง พร้อมๆกับการประกาศที่จะไม่แทรกแซงสถาบันทหารอย่างชัดเจน เป็นผลทำให้ฝ่ายทหารก็ได้แสดงท่าทีที่จะเป็นมิตรกับนายสมัครในบัดดล
ถ้าใครจำได้ก็คงจะรำลึกถึงความหลังที่มีความเอื้อเฟื้อต่อกันระหว่างนายสมัคร สุนทรเวช กับทหารตั้งแต่อดีตกาล จนแม้นายสมัคร สุนทรเวชมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนก็ยังสามารถประนีประนอมกับฝ่าย คมช. ได้ในเรื่องเอกสารลับที่ คมช.แทรกแซงการเมือง ได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยไม่มีการพิสูจน์กันว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายปลอมเอกสารลับชิ้นนั้นขึ้นมา
การประนีประนอมกับทหารในยุคนี้ ย่อมเป็นการสถาปนาอำนาจของนายสมัครให้มีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น เพราะด้านหนึ่งก็ไม่ต้องระวังอำนาจของทหารในระบอบทักษิณที่จะมารัฐประหารตัวเองหากนายสมัครดื้อด้านต่อการสั่งการของระบอบทักษิณ แต่อีกด้านหนึ่งการสร้างมิตรที่เป็นทหารในยุคปัจจุบันย่อมสร้างความมั่นคงให้กับรัฐบาลให้รอดพ้นจากความเสี่ยงทางการทหาร
ประการที่สี่นายสมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์ที่จะนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนหมดวาระ เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้นักการเมืองที่จะโค่นล้มอำนาจนายสมัครมีอันต้องหยุดชะงักเสียก่อนที่จะไม่ได้นิรโทษกรรม
ต้องไม่ลืมว่าอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน คือคนที่มีศักยภาพในฐานะผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองและหัวเรือใหญ่ของกลุ่มการเมืองต่างๆที่จะเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, รัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี และแม้แต่นายกรัฐมนตรี ดังนั้นนักการเมืองที่นั่งอยู่ในตำแหน่งทั้งหลายคนไหนเล่าที่อยากจะให้ 111 ผีตายซากฟื้นคืนชีพมาแย่งตำแหน่งของตัวเอง
แต่การที่นายสมัครคิดการใหญ่ที่จะอยู่ยาวถึง 8 ปี การที่ระบุว่าจะไปนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหาร 111 นั่นหมายถึง การนิรโทษกรรมทั้งหมดอาจถูกเบี้ยวก็เป็นได้
ในทางตรงกันข้ามการทำงานของนายสมัครหลังจากนี้จะสามารถเริ่มสั่งสมบารมีขยายแนวร่วมคณะรัฐมนตรีและในสภาผู้แทนราษฎร ที่คงไม่อยากให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนมาแทนที่ตัวเอง
พ่อค้านายทุนทั้งหลายหากมีความเชื่อว่านายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเอง ก็จะหลั่งไหลมาเจรจากับนายสมัครจนอาจจะพร้อมเข้ามาสนับสนุนทุนโดยตรงชนิดที่สามารถสร้างแนวร่วมและอาณาจักรทางการเมืองของตัวเองขึ้นมาแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นได้
ผลประโยชน์ และอำนาจ ไม่เข้าใครออกใคร!
ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงมีอำนาจเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับเหล่านักการเมืองทั้งหลายและกุมสภาพได้อยู่จริง ก็ต้องเผชิญอำนาจต่อรองของนายสมัคร ที่มีอยู่ไม่แพ้กันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในสถานภาพของนายกรัฐมนตรี
นายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะนายกรัฐมนตรีสามารถให้คุณให้โทษโดยการปรับคณะรัฐมนตรีได้, สามารถชี้นำมติคณะรัฐมนตรีได้, และยังมีไม้ตายที่สามารถยุบสภาได้
มิพักต้องพูดถึงการได้มาซึ่งนายสมัครที่พลพรรคพลังประชาชนคาดหวังพึ่งพิงกับภาพลักษณ์ในเรื่องความจงรักภักดีมาเป็นหัวโขน ซึ่งหากพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคได้ไม่ดีพอ “ปาก” ของนายสมัครเองนี่แหละจะเป็นอาวุธฟาดฟันด้วยราคาแห่งภาพลักษณ์ในความจงรักภักดีเช่นเดียวกัน
นายสมัคร สุนทรเวช ย่อมได้รับบทเรียนมาเป็นอย่างดีว่ากว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้มีแกนนำในพรรคพลังประชาชนมาเลื่อยขาสกัดไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากน้อยเพียงใด
คนเดือนตุลาในอดีตที่มีความเจ็บปวดต่อนายสมัคร ย่อมทนไม่ได้กับภาพที่นายสมัครมาเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ คนในวงการสื่อสารมวลชนที่ไม่ชอบการพูดจาของนายสมัครก็เริ่มแสดงออกด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร
แต่สัญญาณที่น่าจับตาก็ตรงที่ สื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับที่เคยสนับสนุนเชียร์พรรคพลังประชาชนอย่างออกหน้าออกตา ก็เริ่มออกมาโจมตีนายสมัคร สุนทรเวช อย่างหนักหน่วงตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงาน
ความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชาชนได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างชัดเจน!
การวางหมากใช้คนที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปทำหน้าที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นรองนายกรัฐมนตรี หรือกระทรวงสำคัญๆที่จะไปมีความเกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ถ้ามองผิวเผินก็ดูเหมือนจะเป็นการช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ กับครอบครัว แต่หากมองให้ลึกถึงเหลี่ยมคูทางการเมืองแล้ว การวางหมากแบบนี้คือการนำเรื่อง “เผือกร้อน” และ “ความเสี่ยงต่อคุกตะราง” ให้ไปตกมือคนอื่นให้รับกรรมกันเอาเอง หากทำได้ก็ต้องยอมเสี่ยง หากไม่ทำก็ถูกกดดันทางการเมืองจากนายใหญ่
เพราะโจทย์สำคัญของนายสมัครในวันนี้ได้คิดการใหญ่แบบไม่ธรรมดาเสียแล้ว การคิดที่จะอยู่ยาวเป็นการกดดันอันใหญ่หลวงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ที่ต้องการจัดการปัญหาทุกอย่างให้เร็วที่สุด
นายสมัคร จึงทำงานแบบ “ชิมไปบ่นไป” ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ และอยากอยู่ยาวนานที่สุด ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อคดีความทั้งหลายดำเนินต่อไปโดยที่ไม่สามารถเข้าสู่อำนาจทางการเมืองได้
เพราะถ้าปัญหาของระบอบทักษิณถูกคลี่คลายได้เร็ว ความจำเป็นของนายสมัครต่อระบอบทักษิณก็ยิ่งลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จนต้องถูกกำจัดในท้ายที่สุด!!!
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่จะสรุปว่า นายสมัคร สุนทรเวช ดีเลิศประเสริฐศรี เพราะคดีความทั้งหลายจะต้องใช้เวลาพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม
แต่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีตัวตน พยายามเป็นตัวของตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกตราหน้าว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีหัวตอ” และยังอาจจะคิดการใหญ่ที่จะรวบอำนาจกินหัว กินหาง กินตรงกลางตลอดทั้งตัวตามวิถีแห่งเกมอำนาจที่เป็นเช่นนี้อยู่เสมอ
นี่คือราคาที่ระบอบทักษิณต้องจ่ายกับภาพลักษณ์ในความจงรักภักดีของนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ที่ชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช!!!