xs
xsm
sm
md
lg

คตส.ไม่แยแส อสส.นัดสั่งคดีหวยเองพรุ่งนี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คตส.ลั่นหมดเวลา อสส.สั่งคดีหวยบนดินพรุ่งนี้ ระบุกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา สั่งสรรพากรเก็บภาษีชินแซท เกือบ 400 ล้าน ฐานรับเงินเคลมประกันไทยคม 3 เข้าข่ายเงินได้พึงประเมิน


วันนี้ (11 ก.พ.) ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แถลงภายหลังการประชุมถึงความคืบหน้าในการติดตามสำนวนคดีการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2-3 ตัว หรือหวยบนดินคืนจากอัยการสูงสุด ว่า ในวันที่ 12 ก.พ.นี้จะครบกำหนดกรอบระยะเวลา 14 วัน ในการที่ คตส.จะยื่นฟ้องเองตามกฎหมาย แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารสำนวนคืนจากอัยการสูงสุด ซึ่งทำให้งานของ คตส.สะดุด เนื่องจากต้องใช้สำนวนตัวจริงแนบไปกับคำฟ้องในการส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนในคดีดังกล่าว เป็นผู้ประสานงาน โดยหวังว่าจะได้สำนวนคืนโดยเร็ว และภายใน 1-2 วันนี้ คณะทำงานตรวจสอบเอกสารและสำนวนที่ คตส.ตั้งขึ้นจากทีมสภาทนายความ จะมีการรายงานการสรุปผลให้ที่ประชุมใหญ่ คตส.ทราบต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองเจตนาของอัยการสูงสุดอย่างไร นายสัก กล่าวว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายมีหน้าที่ทำตามกฎหมายให้ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องประกอบด้วย คตส.ที่เป็นองค์กรสอบสวน ไม่ใช่พนักงานสอบสวน และอัยการสูงสุด และศาลซึ่งเป็นอิสระต่อกัน ความเห็นใดๆ ทางกฎหมายต้องเป็นไปตามขั้นตอนและวิธีพิจารณาตามกฎหมายด้วยความยุติธรรม

เมื่อถามว่า หากอัยการสูงสุดไม่ส่งสำนวนคืนจะทำให้คดีตกไปหรือไม่ นายสัก กล่าวว่า ไม่ตกไป เพราะกฎหมายกำหนดว่า หากส่งฟ้องไม่ทันภายใน 14 วัน ก็สามารถยื่นฟ้องได้ภายในอายุความ

นายสัก กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ กรรมการคตส.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เสนอให้ คตส.ทำหนังสือถึงกรมสรรพากร ให้ทบทวนและพิจารณาเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมจากบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 377.48 ล้านบาท โดยยังไม่รวมเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับ

นายวิโรจน์ แถลงว่า สาเหตุที่ต้องให้กรมสรรพากรทบทวนเรียกเก็บภาษีจากบริษัท ชินแซท เพราะเงินค่าสินไหมทดแทนความเสียหายของดาวเทียมไทยคม 3 ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที ให้บริษัท ชินแซท จำนวน 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อนำไปเช่าช่องสัญญาณดาวเทียม จำนวน 6,765,299 ดอลลาร์สหรัฐฯ และสร้างดาวเทียมดวงใหม่ทดแทนจำนวน 26,263,661 ดอลลาร์สหรัฐฯนั้น เงินดังกล่าวถือเป็นเงินได้ของกระทรวงไอซีที ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดาวเทียมไทยคม 3 แม้บริษัท ชินแซท จะเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันและทำสัญญาประกันภัยให้กระทรวงไอซีที เป็นผู้รับประโยชน์ร่วมก็ตาม แต่เป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของกระทรวงไอซีที ใช่เป็นการประกันภัยทรัพย์สินของกระทรวงไอซีที ไม่ใช่ทรัพย์สินของชินแซท

“ดังนั้น เงินดังกล่าวจึงถือเป็นเงินได้ของบริษัท ชินแซท ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าทางบริษัท ชินแซท ได้ยื่นเสียภาษีตามแบบ ภ.ง.ด.51 แต่ภายหลังได้สอบถามมายังกรมสรรพากรว่าต้องเสียภาษีหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรตอบไปว่าไม่ต้องเสียภาษี บริษัท ชินแซท จึงขอเงินคืนไปจำนวน 336 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คตส.เห็นว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน จึงต้องแจ้งให้กรมสรรพากรพิจารณาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลใหม่ได้ถูกต้อง โดยจะต้องเสียภาษีเงินได้ในแต่ละปีจากปี 2547-2549 รวม 41.48 ล้านบาท และต้องให้กรมสรรพากรเรียกเงินคืนจำนวน 336 ล้านบาท ซึ่งผมจะทำหนังสือส่งให้กรมสรรพากรภายในวันที่ 12 ก.พ.นี้” นายวิโรจน์ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม คตส.ไม่ได้เสนอให้ดำเนินคดีทางวินัยกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่ตอบหนังสือไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเป็นการกระทำโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนา ทั้งนี้ บริษัท ชินแซท มีสิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมายได้

คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กรรมการ คตส.และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานของ คตส.จนถึงบัดนี้ประมาณ 1 ปีกว่า ทางทหารได้ส่งกองกำลังทหารพร้อมอาวุธเข้าดูแลความปลอดภัยมาโดยตลอด โดยมีการจัดกำลังผลัดเปลี่ยนรวมประมาณ 40 นาย แต่ปรากฏว่า ขณะนี้ได้มีการลดกำลังทหารลงเหลือเพียง 10 นายต่อวัน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เกิดปัญหา เพราะ คตส.สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นอะไร มั่นใจว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นประชาชนจะออกมาดูแล สตง.และ คตส.เอง อีกทั้งมั่นใจว่าธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม

คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า ในวันที่ 13 ก.พ.นี้ เวลา 17.00 น.คตส.จะมีการประชุมนัดพิเศษ เพื่อพิจารณาการส่งฟ้องคดีบนดิน ที่คณะทำงานตรวจสอบเอกสารและสำนวนพิจารณาเสร็จแล้ว โดยในการประชุมดังกล่าวตนจะหารือเรื่องการลดกำลังทหารในการดูแลความปลอดภัยของ คตส.ต่อที่ประชุมด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมา ทางกองทัพบกได้ส่งกองพันทหารราบ 11 และ 12 เข้าดูแลพื้นที่อาคาร สตง.เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับกรรมการ คตส.โดยจัดเป็นชั้นความลับสุดยอด ซึ่งได้มีเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมอาวุธปืน เดินตระเวนดูแลความปลอดภัยรอบอาคารอย่างเข้มงวด พร้อมกับวางกำลังดูแลบริเวณประตูทางเข้าและออกอย่างเข้มงวด โดยในช่วงแรกถึงกับมีการนำเครื่องตรวจวัตถุระเบิดใต้ท้องรถ คอยตรวจตรารถที่เข้ามาติดต่ออาคาร สตง.ทุกคัน นอกจากนี้ ยังจัดกำลังทหารประจำการประตูทางเข้าอาคาร สตง.พร้อมกับดูแลบริเวณชั้น 3 ตลอด 24 ชั่วโมง โดยสั่งห้ามบุคคลแปลกหน้าขึ้นบนตึกก่อนได้รับอนุญาต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า ได้มีการถอนกำลังทหารที่ดูแลประตูทางเข้า สตง.ออกทั้งหมด เหลือเพียงวางกำลังทหาร 10 นายต่อวัน โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า นายทหารเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่นอกเครื่องแบบ ไม่มีอาวุธ เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจากการสอบถามเจ้าหน้าที่บางคน ระบุว่า “นายสั่งมา”
กำลังโหลดความคิดเห็น