xs
xsm
sm
md
lg

“มฌ.-ชท.” ระทึก! กกต.มีมติตั้งอนุกรรมการสอบยุบพรรคแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“มัชฌิมาฯ-ชาติไทย” ระทึก กกต.มีมติตั้งอนุกรรมการสอบยุบพรรคแล้ว ด้าน “ประพันธ์” เผยถึงเป็นการกระทำของกรรมการบริหารพรรคเพียงคนเดียวก็ต้องดำเนินการ ชี้ช่องยื่น กกต.สอบคุณสมบัติ “นายกฯ สมัคร” สามารถทำได้

วานนี้ (30 ม.ค.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการการเลือกตั้ง กล่าวภายหลังการประชุมกรณีพิจารณาความเห็นของคณะกรรมการด้านกิจการพรรคการเมืองที่เสนอความเห็นด้านกฎหมายกรณี กรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคชาติไทย ถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งว่า พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายตามที่ พ.ร.บ.เลือกตั้ง มาตรา 103 กำหนด และ กกต.ควรเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค

“ถ้าหาก กกต.จะไม่เสนอเรื่องก็ต้องมีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ว่า กรณีดังกล่าวไม่ส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อการเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่าเมื่อกฎหมายกำหนดในลักษณะดังกล่าว จึงมีมติให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบ โดยมีหน้าที่รวบรวมหลักฐาน รวมทั้งให้สอบพยานเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่า พรรคเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร เพราะในการชั้นการพิจารณาสั่งเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคของ กกต.มีเพียงหลักฐานว่าหัวคะแนนไปกระทำการ และมีความเชื่อมโยงถึงผู้สมัครเท่านั้น” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนประกอบด้วย นายบุญทัน ดอกไธสง เป็นประธานคณะกรมการ พล.ต.อ.มีชัย นุกูลกิจ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ และนายธนิศร์ ศรีประเทศ เป็นกรรมการ ซึ่ง กกต.ไม่กำหนดเวลาในการสอบแต่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

เมื่อถามว่า ก่อนเลือกตั้งพรรคการเมืองได้ทำหนังสือแจ้งให้ผู้สมัครทุกคนไม่กระทำผิดกฎหมาย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ความผิดมาถึงพรรคใช่หรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า คงไม่มีผล เพราะทุกพรรคก็กระทำเช่นนี้ แต่พรรคจะเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง กรณีนี้ก็เหมือนการออกประกาศของห้างสรรพสินค้าที่ระบุว่าหากรถหายในลานจอดรถ เขาจะไม่รับผิดชอบ แต่ถามว่าหากเกิดเหตุดังกล่าวจริง ห้างสรรพสินค้าก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้

“ซึ่งเรื่องการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งตามมาตรา 103 (2) ก็เขียนว่า หัวหน้าพรรคหรือ กรรมการบริหารพรรค มีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยก็ให้ถือว่าพรรคนั้นมีส่วนในการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ เป็นเหตุให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการเรื่องยุบพรรค โดยกฎหมายก็เขียนแค่กรรมการบริหารพรรค ไม่ได้เขียนว่าคณะกรรมการบริหารทั้งหมด ดังนั้น การกระทำของคนเพียงคนเดียวก็เข้าข่ายตามมาตรานี้” กกต.ด้านกิจการการเลือกตั้ง กล่าว

ส่วนการจะยุบหรือไม่นั้น กกต.ด้านกิจการการเลือกตั้ง กล่าวว่า เป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลจะดูพฤติกรรม และความร้ายแรงที่เกิดขึ้นว่า พรรคจะต้องเข้ามารับผิดชอบหรือไม่ ดังนั้น ตอนนี้จึงไม่อยากให้ทั้ง 2 พรรคตีโพยตีพายว่าเรามีธง หรือมีเป้าอะไร เพราะกรณีอย่างนี้ต่างจากกรณีจ้างพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยในอดีต ซึ่งหากไปดูในคำวินิจฉัยก็จะเห็นชัดถึงพฤติกรรมที่กระทำเป็นภาพกว้างว่าทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ แต่หากกรณีนี้ไม่ชัดว่าพรรครู้เห็นศาลก็คงวินิจฉัยไปอีกทาง แต่หากพบหลักฐาน เช่น มีการโอนเงินจากพรรคไปให้กรรมการบริหารพรรคคนนั้น อย่างนี้ก็ถือว่าชัดเจน

เมื่อถามถึงกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง นายประพันธ์ กล่าวว่า หาก กกต.เสนอให้ศาลฎีกาพิจารณา และมีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ จริง ก็ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาความผิดที่เกี่ยวกับพรรคในทำนองเดียวกัน แต่ทั้งนี้การจะดำเนินการก็ต้องรอคำตัดสินของศาลฎีกาเสียก่อน โดยในส่วนของการสอบสวนสำนวนดังกล่าว ที่ประชุม กกต. ไม่ได้หารือถึงกรณีที่นายยงยุทธ ต้องการให้นำซีดี 8 แผ่นซึ่งเป็นหลักฐานการทุจริตส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานพิจารณา และคิดว่าควรเป็นดุพินิจของคณะอนุกรรมการที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธานมากกว่า

นายประพันธ์ ยังกล่าวถึงกรณีการจัดตั้ง ครม.ที่มีข่าวว่าอดีตกรรมการบริหารพรรค 111 คนเข้ามาเป็นผู้จัดโผว่า เรื่องเป็นนอมินี หรือตัวแทนเชิดนั้น กกต.ก็มีการตั้งอนุกรรมการสืบสวนอยู่ เมื่อมีข้อมูลลักษณะนี้เกิดขึ้น อนุกรรมการอาจจะนำเรื่องไปประกอบการพิจารณาด้วย แต่ที่เป็นปัญหาคือ เมื่อมีการพูดแล้ว พอ กกต.ขอข้อมูลไป หรือขอให้มาเป็นพยาน คนเหล่านั้นก็กลับบอกว่าไม่เกี่ยว เหมือนช่วงก่อนเลือกตั้งที่ปรากฏว่ามีนักการเมืองระดับหัวหน้าพรรคคนหนึ่งออกมาพูดว่า มีการซื้อตัว ส.ส.สูงถึง 40 ล้านบาท กกต.ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปขอข้อมูล เขากลับบอกว่าเป็นเรื่องที่พูดต่อๆ กันมา

“ดังนั้น ที่ปรากฏข่าวในขณะนี้ว่าอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิ ได้จัดเลี้ยงและเชิญ ส.ส.ไปคุยเพื่อจัดโผนั้นก็ต้องมีข้อมูล หรือมีหลักฐานที่ชัดเจนมากกว่านี้ โดยอาจจะต้องหาคนที่ไปร่วมงานเลี้ยงมายืนยันว่า ให้คนนั้นคนนี้ไปดำรงตำแหน่งใน ครม. ถ้าหากมีหลักฐานขนาดนี้ จึงจะถือว่าอดีตกรรมการบริหารพรรคคนนั้นกระทำการในหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค และเข้าข่ายผิดตามาตรา 97 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง” กกต.ด้านกิจการการเลือกตั้ง ระบุ

เมื่อถามถึงกรณีที่นายยงยุทธจะตั้งสภาภาคประชาชน และดึงอดีตกรรมการบริหารพรรคมาเข้าร่วมนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า ต้องดูว่าการเข้ามาช่วยงานการเมืองเป็นลักษณะงานของกรรมการบริหารพรรคที่ระบุไว้ในข้อบังคับพรรคหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ที่ กกต.ตีความว่า ห้ามอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิขึ้นเวทีปราศรัย ก็เพราะเราเห็นว่าการปราศรัยเป็นการรณรงค์หาเสียง ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค แต่หากเขาไปทำการในลักษณะให้ความรู้ทางวิชาการ ก็มองว่าสามารถทำได้ หรือการไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของรัฐมนตรีโดยที่ไม่มีชื่อเป็นทางการก็สามารถทำได้

ส่วนถึงกรณีที่มีผู้จะเสนอยื่นให้ตีความคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของนายสมัคร สุนทรเวช เนื่องจากก่อนหน้านี้ต้องคำพิพากษาจำคุกนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรค 3 ประกอบมาตรา 91 และ 92 ที่ระบุเกี่ยวกับความสิ้นสุดลงของการเป็นรัฐมนตรี กำหนดให้ กกต.เป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ดังนั้นหากมีผู้มายื่นเรื่องกรณีดังกล่าว กกต.ก็ต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนที่จะเสนอศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

ด้าน นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาความเห็นของสำนักกฎหมายและคดี กกต. กรณีที่นายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ขอให้ตรวจสอบกรณี กกต.คนหนึ่งไม่คืนสำนวนทุจริตเลือกตั้งที่ จ.เชียงราย จนทำให้สำนวนรั่ว โดยสำนักกฎหมายและคดี เสนอความเห็นว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.ที่จะพิจารณา เพราะนายวีระ ก็ได้ยื่นผ่านช่องทางดังกล่าว แต่ในส่วนของข้อเท็จจริง กกต.ก็อยากให้มีความกระจ่างว่าสำนวนมีการรั่วจริงหรือไม่ จึงมีมติให้เลขาธิการ กกต.ไปดำเนินการ

“ผมจึงจะตั้งคณะทำงานขึ้นมา มีผู้ตรวจการ กกต.เป็นประธาน และตัวแทนสำนักกฎหมายเป็นกรรมการ โดยจะสอบย้อนกลับไปว่า ต้นตอของข่าวมาจากไหน และจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง รวมถึง พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รอง ผบ.ตร.สันติบาล และการสอบถามจาก กกต.ทั้ง 5 คน รวมทั้งผมที่เข้าร่วมประชุมในวันที่สันติบาลนำสำนวนดังกล่าวมาชี้แจง ส่วนการรั่วไหลของสำนวนไม่จำเป็นจะต้องเกิดจากการที่มี กกต.บางคนไม่คืนเอกสาร เพราะถ้ามองย้อนกลับไป สำนวนทุจริต จ.เชียงราย มีอยู่ทั้งที่ กกต.เชียงราย บางส่วน และ กกต.กลาง รวมทั้งในมือของสันติบาล ซึ่งการสอบสวนไม่ได้กำหนดระยะเวลา แต่จะทำให้เสร็จโดยเร็ว” นายสุทธิพล กล่าว

กำลังโหลดความคิดเห็น