อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
ถ้า “ชัยชนะ” คือเครื่องยืนยันความสำเร็จ วันนี้ต้องถือว่า “พรรคพลังประชาชน(พปช.)” ที่รู้กันดีว่าเป็นนอมินีของไทยรักไทย ได้เดินมาสู่ความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาลสมใจแล้ว ...ได้ ปธ.สภาที่เป็นถึงมือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” แล้ว และใกล้จะได้นายกฯ ที่ชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณเลือกเองกับมือให้มาเป็น หน.พรรค พปช.ด้วย ...แม้ ปชช.จำนวนมากในประเทศนี้จะไม่พอใจกับความสำเร็จของ พปช.ในวันนี้ เพราะการกระทำหลายสิ่งของ พปช. ยังคาใจว่าต้องถูกยุบพรรค-ต้องถูกตัดสิทธิในการเลือกตั้งที่ผ่านมาหรือไม่ แต่ใครจะทำอะไรได้ ในเมื่อผู้มีหน้าที่ยังไม่ทำอะไร ...บางที ชัยชนะของ พปช.ครั้งนี้อาจไม่ได้มาจากความสามารถของตนเอง แต่มาจาก “ความล้มเหลว” ของบางองค์กรก็เป็นได้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
ก่อนจะพูดถึงความสำเร็จและชัยชนะของพรรคพลังประชาชนในวันนี้ คงต้องย้อนไปดูจุดจบของพรรคไทยรักไทยกันอีกครั้ง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดดับของพรรคไทยรักไทยก็คือจุดเกิดของพรรคพลังประชาชน โดยพรรคไทยรักไทยดับเพราะดันไปจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อ 2 เม.ย.49 จึงได้ถูกตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 30 พ.ค.50
“ผู้ถูกร้องที่ 1 (พรรคไทยรักไทย) เป็นพรรคการเมือง อันเป็นสถาบันหลักในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ย่อมต้องมีภาระหน้าที่ในการผดุงไว้ซึ่งหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การที่ประชาชนต้องมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศที่แสดงออกในการเลือกตั้ง แต่ผู้ถูกร้องที่ 1 กลับทำให้การเลือกตั้ง ส.ส.อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 เป็นเพียงแบบวิธีที่จะนำไปสู่การผูกขาดอำนาจทางการเมืองของผู้ถูกร้องที่ 1 เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 มิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่ผู้ถูกร้องที่ 1 เป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้ง ส.ส.อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง (ปี 2544 และ 2548) ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่ากฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด”
“ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขถ้วนหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือไปจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จนยากที่จะหาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบ หรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่ 1 ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมอีกต่อไป กรณีจึงมีเหตุอันควรยุบพรรคผู้ถูกร้องที่ 1” ตุลาการรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรค ทรท.
การที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบเพราะกระทำการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ไม่เพียงทำให้สังคมเปี่ยมไปด้วยความหวังว่า ในการเลือกตั้งครั้งใหม่คงจะมีพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีคุณภาพมากขึ้น เพราะคงไม่มีพรรคใดกล้าทำเช่นพรรคไทยรักไทยอีก ขณะเดียวกันน่าจะเป็นโอกาสดีให้นักการเมืองรุ่นใหม่หรือเลือดใหม่ได้เข้ามาทดแทนเลือดเก่าบ้าง
แต่เหตุการณ์ก็ไม่เป็นดังคิด เพราะแม้พรรคไทยรักไทยจะถูกยุบและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คนจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี แต่แทนที่ 111 คนดังกล่าวจะเก็บตัวเงียบๆ ไม่ยุ่งการเมืองเช่นเดียวกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่เคยเก็บตัวระหว่างถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี กลับปรากฏว่า แกนนำหลายคนใน 111 อดีต กก.บห.ไทยรักไทย ต่างกระจายแทรกซึมเข้าไปมีส่วนสำคัญในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเล็กพรรคน้อยต่างๆ โดยเฉพาะใน”พรรคพลังประชาชน”ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับเองผ่านวีซีดีว่าเป็นพรรคนอมินีของพรรคไทยรักไทย แถม พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่สนว่าตนจะทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยการหาเสียงให้พรรคพลังประชาชนอย่างหน้าตาเฉย
“...ผมก็เลยบอกกับ ส.ส.พรรคไทยรักไทยทั้งหลายที่พรรคถูกยุบ ก็บอกว่า ถ้าเรารักประชาชน เราห่วงประเทศชาติ เรามารวมตัวกันเถอะ เพราะประชาชนเข้าใจเรา และรู้ดีว่าเราถูกกระทำ เขาก็เรียกมารวมตัวกันและมารวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ชื่อพรรคพลังประชาชน ชื่อดีครับ เพราะเราจะต้องขอพลังจากพี่น้องประชาชน เพื่อจะเอาความมั่งคั่งของประเทศกลับคืนมา...สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาก็คือพี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องซึ่งยังมีปัญหาในชีวิต ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มที่ การเมืองมีความเข้มแข็ง แต่นั่นแหละครับมันเป็นจุดที่บางคนเขาอยากเห็นว่า ถ้าการเมืองอ่อนแอเขาได้ประโยชน์ ก็เลยอยากเห็นการเมืองบ้านเมืองของเราอ่อนแอ...แต่พี่น้องประชาชนจะต้องเอาพลังประชาชนสอนให้เขารู้เลยว่า การเมืองจะอ่อนแอไม่ได้ เพราะประชาชนจะอ่อนแอ เพราะฉะนั้นจะเลือกพรรคเดียวเนี่ยให้ดู พี่น้องเลือกพลังประชาชนให้ดู และมันจะเป็นพลังประชาชนนั่นแหละครับที่นำสิ่งที่พี่น้องเคยมีความสุขกลับคืนมา และที่สำคัญ เมื่อความยุติธรรมกลับคืนสังคมไทย ผมจะกลับไปอยู่กับพี่น้องประชาชน จะไปหาพี่น้องประชาชน ก็ขอฝากพรรคพลังประชาชนและผู้สมัครพรรคพลังประชาชนทุกคนด้วยครับ”
วีซีดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณได้อ้อนขอคะแนนประชาชนให้เลือกผู้สมัครพรรคพลังประชาชนนั้น ไม่เพียงถูกแจกจ่ายไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานที่เป็นฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยเดิม แต่วีซีดีดังกล่าวยังมีการผลิตออกมาหลายชุดหลายเวอร์ชั่น และไม่ได้มีแค่ภาษากลาง แต่มีภาษาถิ่นด้วย
“วันนี้พี่น้องครับ ส.ส.พรรคไทยรักไทยเก่า เขาไปรวมตั๋ว(ตัว)กัน ไปอยู่พรรคใหม่จื้อ(ชื่อ)ว่าพรรคพลังประชาชน จื้อจะดี แปลว่าพลังของประชาชน เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากจะบอกปี้น้องว่า สิ่งดีงามที่ปี้(พี่)น้องเคยได้ฮับ(รับ)ทั้งหลาย สิ่งที่ปี้น้องเคยชื่นชอบไทยรักไทยทั้งหลาย วันนี้ได้แปรสภาพมาเป็นพรรคพลังประชาชน ถ้าปี้น้องจ้วย(ช่วย)กันออกแฮง(แรง)ลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนกู้(ทุก)เขตกู้เบอร์ ปี้น้องจะได้เห็นว่าพรรคพลังประชาชนจะเป็นพรรคของปี้น้องประชาชนอย่างแท้จริง และจะนำสิ่งที่ดีงามที่เคยได้ฮับกลับคืนมาหมด และผมก็จะได้มีโอกาสจะปิ๊ก(กลับ)มาอยู่กับปี้น้อง ถ้าบ่าอั้น(ถ้าไม่อย่างนั้น)เขาจะแกล้งผมต่อไป ก็วันนี้ผมคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้น 1 ปีที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นฝันร้ายของประเทศไทย เป็นฝันร้ายของปี้น้อง แต่ว่าฝันร้ายพวกนี้มันจะหายไปทันที ถ้าปี้น้องจ้วยกันลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชน ได้มาทำหน้าที่รับใช้พี่น้อง ผมขอฝากพรรคพลังประชาชนด้วยนะครับ”
วีซีดีทักษิณนับเป็น “ตัวจักร” สำคัญที่ทำให้พรรคพลังประชาชนได้คะแนนนำในการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. และสิ่งที่เอื้อให้วีซีดีทักษิณแพร่กระจายได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึง ก็คือ การที่ กกต.ไม่จริงจังพอที่จะจัดการระงับวีซีดีดังกล่าว เพราะขนาดนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ได้นำวีซีดีทักษิณยื่นให้ กกต.ตรวจสอบเพื่อเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคพลังประชาชนตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.(ก่อนวันเลือกตั้ง 12 วัน) ซึ่งหาก กกต.รีบตรวจสอบ ก็น่าจะได้ข้อสรุปตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้วว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งข้อใดบ้าง(อย่างน้อยก็มาตรา 97 ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่ห้าม”ผู้ใด”ชี้นำให้เลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง) รวมถึงประเด็นพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ยอมรับเองนั้น จะส่งผลถึงขั้น กกต.ต้องเสนอยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่
แต่ กกต.ก็หาได้ออกอาการเร่งรีบตรวจสอบไม่ สังเกตได้จาก กกต.สั่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว มีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ (ที่เคยเป็น ปธ.อนุ กก.สอบแม่ยาย พ.ต.ท.ทักษิณแจกเสื้อให้ม็อบคาราวานคนจน แล้วสรุปว่าหลักฐานฟังไม่ชัดว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง) เป็นประธาน โดยให้เวลาสอบนานถึง 1 เดือน และทั้งๆ ที่ 1 เดือนก็น่าจะเป็นเวลาที่นานเกินไปแล้ว กลับปรากฏว่า เมื่อครบกำหนด ผลสอบก็ยังไม่แล้วเสร็จ โดยอนุกรรมการฯ ได้ขอขยายเวลาสอบต่ออีก 15 วัน ซึ่งน่าจะครบกำหนดในวันที่ 27 ม.ค.นี้
แต่ล่าสุด วันนี้ (22 ม.ค.)นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย บอกว่า อนุกรรมการที่สอบเรื่องวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ามีพยานจำนวนมาก การสอบคงเสร็จไม่ทันวันที่ 27 ม.ค. นายสมชัยยังบอกด้วยว่า สามารถขยายเวลาสอบสวนได้ และไม่ใช่เรื่องที่ต้องเร่งพิจารณาหรือทำตามกระแสแต่อย่างใด เพราะหากเกิดความผิดพลาด กกต.ต้องรับผิดชอบภายหลัง!?!
การทำงานที่ล่าช้าของ กกต.ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ได้มีส่วนช่วยให้วีซีดีทักษิณสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ในการเรียกคะแนนจากผู้ที่รักทักษิณให้เลือกพรรคพลังประชาชนได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วชนิดที่ไม่มีอุปสรรคหรือข้อกฎหมายใดใดมาขวางกั้นได้ ดีไม่ดีประชาชนบางคนอาจคิดว่าวีซีดีนั้นคือสิ่งที่ถูกกฎหมายเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่เห็น กกต.จะทำอะไร
นอกจาก “ทักษิณและวีซีดีทักษิณ” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรรคพลังประชาชนประสบชัยชนะและได้เป็นรัฐบาลสมใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะ กกต.ยังทำอะไรไม่ได้แล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ กกต.ก็ยังไม่ได้ทำความจริงให้ปรากฏ ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่และอาจส่งผลสะเทือนถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชนได้เช่นกัน จึงเท่ากับเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งให้พรรคพลังประชาชนนอมินีของพรรคไทยรักไทยผงาดกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นกรณี “ปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัย” ซึ่งคงยังไม่ลืมว่า นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อแผ่นดิน ถูก กกต.เพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ฐานเป็นสมาชิกพรรคมากกว่า 1 พรรค โดยทางพรรคพลังประชาชนอ้างว่านายสิทธิชัยเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนด้วย โดยมีใบสมัครที่มีลายมือนายสิทธิชัยเป็นเครื่องยืนยัน แต่ภายหลังศาลฎีกาได้สั่งให้ กกต.คืนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งแก่นายสิทธิชัย เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า ลายมือที่เขียนในใบสมัครสมาชิกพรรคพลังประชาชนไม่น่าจะใช่ลายมือนายสิทธิชัยตามที่พรรคพลังประชาชนอ้าง กกต.จึงได้มีมติ (เมื่อ 11 ธ.ค.) ว่าจะแจ้งความดำเนินคดีพรรคพลังประชาชนต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฐานปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัย แต่จนบัดนี้ไม่ทราบว่าเรื่องดำเนินไปถึงไหนแล้ว?
รวมทั้งกรณีที่ กกต.ได้มีมติตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบเรื่องปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัยว่าจะถึงขั้นต้องเสนอยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่ โดยมีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธานนั้น บัดนี้เวลาผ่านมา 1 เดือนกว่าแล้ว เรื่องก็ยังเงียบ!
นอกจากกรณีวีซีดีทักษิณ และกรณีปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัยที่ กกต.ยังไม่ทำอะไรให้ปรากฏ จึงส่งผลเป็นคุณแก่พรรคพลังประชาชนนั้น ยังมีอีก 1 กรณีที่ไม่เพียงเกี่ยวพันกับการทุจริตเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน แต่ยังอาจส่งผลถึงขั้นถูกยุบพรรคได้ แต่ กกต.ก็ยังไม่ได้ทำความจริงให้ปรากฏอีกเช่นกัน
นั่นคือ “ทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย” ที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน ถูกผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติไทยร้องต่อ กกต.ว่าซื้อเสียงผ่านกำนัน โดยจากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจสันติบาล พบว่า มีหลักฐานเป็นวีซีดีบันทึกการเดินทางและการพบกันของนายยงยุทธและกำนันเชียงราย 10 คนไว้ทั้งหมด ซึ่งหากพบว่า นายยงยุทธกระทำผิดจริง โทษอาจไม่ใช่แค่โดนใบแดง แต่อาจถึงขั้นยุบพรรคได้ เพราะนายยงยุทธเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน
แต่นอกจาก กกต.จะยังไม่ทำความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏต่อสาธารณชนแล้ว กกต.ยังใจดีประกาศรับรองผลเลือกตั้งให้นายยงยุทธได้เข้าสภา โดยอ้างว่า ถ้านายยงยุทธผิด ก็สามารถสอยทีหลังได้ ก็คงต้องติดตามว่า กกต.จะกล้าสอยดังที่ปากว่าหรือไม่ ในเมื่อวันนี้ (22 ม.ค.) นายยงยุทธเป็นถึงประธานสภาและประธานรัฐสภาไปแล้ว และมีประเด็นที่ต้องติดตามเพิ่มด้วยว่า การที่นายยงยุทธ ลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนแล้ว (21 ม.ค.) เพื่อนั่งตำแหน่งประธานสภา จะส่งผลเป็นการ “ตัดตอนความผิด” กรณีทุจริตเชียงรายไม่ให้ถึงพรรค เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกยุบพรรคหรือไม่?
ทั้ง 3 เรื่อง 3 กรณี “วีซีดีทักษิณ-ปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัย-ทุจริตเชียงราย” ที่พรรคพลังประชาชนเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค คงต้องดูว่า กกต.ชุดนี้ ชุดอภิชาต สุขัคคานนท์ จะทำงานสมกับที่ประชาชนคาดหวัง หลังผิดหวังกับ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ หรือไม่ หรือจะยกประโยชน์ให้จำเลยไป ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว!?!
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากพรรคพลังประชาชนจะได้ประโยชน์จากการทำงานที่ล่าช้าของ กกต.ชุดนี้แล้ว ทางพรรคฯ ยังได้ประโยชน์จาก”คำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ”ในบางกรณีด้วย โดยเฉพาะประเด็น”พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย”จึงไม่อาจส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมาได้ ซึ่งนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร้องให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งพิจารณาเรื่องนี้ ทำเอาพรรคพลังประชาชนเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ กลัวความผิดถึงขนาดต้องเลื่อนการประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรคออกไปเป็นหลังวันที่ศาลตัดสิน (ศาลตัดสิน 18 ม.ค./6 พรรคประกาศจัดตั้งรัฐบาล 19 ม.ค.) แต่ในที่สุด ศาลฎีกาแผนกเลือกตั้ง ได้มีคำสั่งคดีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทยว่า “ศาลฯ ไม่มีอำนาจพิจารณา”!?!
สรุปว่า ไม่ใช่พรรคพลังประชาชนไม่ผิดหรือไม่ได้เป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย แต่ศาลฯ ไม่มีอำนาจชี้ พรรคพลังประชาชนจึงได้ประโยชน์ไปอีกตามเคย นี่ยังไม่รวมประเด็นที่นายไชยวัฒน์ร้องศาลฎีกาฯ ว่า พรรคพลังประชาชนนำซีดีปราศรัยของอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย(พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ไปแจกจ่ายให้ประชาชน ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ศาลฯ มีคำสั่งยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า คำร้องดังกล่าวเป็นการคัดค้านการเลือกตั้ง ดังนั้นผู้ที่จะร้องต่อศาลฎีกาฯ ได้ก็คือ กกต.
คำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ แม้ไม่มีใครสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า จากคำวินิจฉัยดังกล่าว ทำให้หลายคนอดรู้สึกไม่ได้ว่า ทำไมปัญหาบ้านเมืองที่สังคมต้องการคำตอบถึงต้องพบกับทางตัน ไม่ใช่เพราะด้วยประโยค 2-3 ประโยคเหล่านี้หรือ “ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้อง - “ศาลฯ ไม่มีอำนาจชี้” สุดท้ายก็เลยต้องยกประโยชน์ให้จำเลยอย่างพรรคพลังประชาชนไป
เมื่อยังไม่มีใครหรือศาลไหนชี้ความผิดพรรคพลังประชาชนได้ ความหวังสุดท้ายของพรรคฯ ก็คือ การจัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรค เพื่อโดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นฝ่ายค้านพรรคเดียว ซึ่งในที่สุด พรรคพลังประชาชนก็ทำได้สำเร็จ เพราะนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เจ้าของวลีที่ว่า “จะไม่ทำให้ผู้ใหญ่ที่นับถือมา 30 ปีผิดหวัง” เกิดเปลี่ยนแปลงจุดยืนขึ้นมากะทันหัน โดยบอกเหตุผลที่ยินดีเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนว่า “...ที่ตัดสินใจเพราะเราเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก เราต้องมีรัฐบาล จะปล่อยให้สุญญากาศเกิดขึ้นไม่ได้ และรัฐบาลต้องมีความมั่นคง ไม่ใช่ตั้งไปแล้วปริ่มน้ำก็อยู่ไม่ยืด...”
ขณะที่ทางพรรคเพื่อแผ่นดินของนายสุวิทย์ คุณกิตติ ที่เคยปฏิเสธตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่า พรรคไม่ได้เป็นนอมินีของใคร ก็เผยเหตุผลของพรรคที่ยินดีเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนว่า “เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังเกิดสุญญากาศทางการเมือง รวมทั้งเพื่อสร้างความสมานฉันท์และยุติปัญหาความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความรุนแรง”!?!
ส่วนพรรคเล็กอีก 3 พรรค “รวมใจไทยชาติพัฒนา-ประชาราช-มัชฌิมาธิปไตย” ไม่ต้องพูดถึง เพราะได้ประกาศเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนตั้งแต่ไก่โห่แล้ว โดยให้เหตุผลเป็นเสียงเดียวกันว่า “ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชนที่มีฉันทามติแล้วว่าเลือกให้พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล”
...ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นพฤติการณ์ของพรรคการเมือง 5 พรรคที่อยากเป็นรัฐบาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกผลประโยชน์ที่พรรคพลังประชาชนได้จากวีซีดีทักษิณ-จากกรณีทุจริตเชียงราย-จากความเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย ที่ กกต.ยังทำอะไรไม่ได้ และประชาชนก็ทำอะไรไม่ได้ เราจึงได้เห็นรัฐบาลผสม 6 พรรค 315 เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสง่างามในสายตาของ 6 พรรคร่วมรัฐบาล คือ มีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้มีชนักติดหลังกรณีทุจริตเชียงราย เป็นประธานสภาและประธานรัฐสภา และจะมีนายกฯ ที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช ผู้ที่มีชนักติดหลังเช่นกันจากการถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาฐานหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯ กทม.
ป่านนี้ ผู้ที่กำลังยิ้มไม่ยอมหุบกับชัยชนะของพรรคพลังประชาชนในครั้งนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”!!