xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : “พปช.” กับ “ชัยชนะ” ที่เกิดจาก...?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พปช.ตั้ง รบ.ผสม 6 พรรคสมใจ 315 เสียง
อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน


ถ้า “ชัยชนะ” คือเครื่องยืนยันความสำเร็จ วันนี้ต้องถือว่า “พรรคพลังประชาชน(พปช.)” ที่รู้กันดีว่าเป็นนอมินีของไทยรักไทย ได้เดินมาสู่ความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาลสมใจแล้ว ...ได้ ปธ.สภาที่เป็นถึงมือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” แล้ว และใกล้จะได้นายกฯ ที่ชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณเลือกเองกับมือให้มาเป็น หน.พรรค พปช.ด้วย ...แม้ ปชช.จำนวนมากในประเทศนี้จะไม่พอใจกับความสำเร็จของ พปช.ในวันนี้ เพราะการกระทำหลายสิ่งของ พปช. ยังคาใจว่าต้องถูกยุบพรรค-ต้องถูกตัดสิทธิในการเลือกตั้งที่ผ่านมาหรือไม่ แต่ใครจะทำอะไรได้ ในเมื่อผู้มีหน้าที่ยังไม่ทำอะไร ...บางที ชัยชนะของ พปช.ครั้งนี้อาจไม่ได้มาจากความสามารถของตนเอง แต่มาจาก “ความล้มเหลว” ของบางองค์กรก็เป็นได้

 คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ 

ก่อนจะพูดถึงความสำเร็จและชัยชนะของพรรคพลังประชาชนในวันนี้ คงต้องย้อนไปดูจุดจบของพรรคไทยรักไทยกันอีกครั้ง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดดับของพรรคไทยรักไทยก็คือจุดเกิดของพรรคพลังประชาชน โดยพรรคไทยรักไทยดับเพราะดันไปจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อ 2 เม.ย.49 จึงได้ถูกตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 30 พ.ค.50

“ผู้ถูกร้องที่ 1 (พรรคไทยรักไทย) เป็นพรรคการเมือง อันเป็นสถาบันหลักในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ย่อมต้องมีภาระหน้าที่ในการผดุงไว้ซึ่งหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การที่ประชาชนต้องมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศที่แสดงออกในการเลือกตั้ง แต่ผู้ถูกร้องที่ 1 กลับทำให้การเลือกตั้ง ส.ส.อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 เป็นเพียงแบบวิธีที่จะนำไปสู่การผูกขาดอำนาจทางการเมืองของผู้ถูกร้องที่ 1 เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 มิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่ผู้ถูกร้องที่ 1 เป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้ง ส.ส.อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง (ปี 2544 และ 2548) ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่ากฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด”


“ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขถ้วนหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือไปจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จนยากที่จะหาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบ หรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่ 1 ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมอีกต่อไป กรณีจึงมีเหตุอันควรยุบพรรคผู้ถูกร้องที่ 1” ตุลาการรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรค ทรท.

การที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบเพราะกระทำการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ไม่เพียงทำให้สังคมเปี่ยมไปด้วยความหวังว่า ในการเลือกตั้งครั้งใหม่คงจะมีพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีคุณภาพมากขึ้น เพราะคงไม่มีพรรคใดกล้าทำเช่นพรรคไทยรักไทยอีก ขณะเดียวกันน่าจะเป็นโอกาสดีให้นักการเมืองรุ่นใหม่หรือเลือดใหม่ได้เข้ามาทดแทนเลือดเก่าบ้าง

แต่เหตุการณ์ก็ไม่เป็นดังคิด เพราะแม้พรรคไทยรักไทยจะถูกยุบและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คนจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี แต่แทนที่ 111 คนดังกล่าวจะเก็บตัวเงียบๆ ไม่ยุ่งการเมืองเช่นเดียวกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่เคยเก็บตัวระหว่างถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี กลับปรากฏว่า แกนนำหลายคนใน 111 อดีต กก.บห.ไทยรักไทย ต่างกระจายแทรกซึมเข้าไปมีส่วนสำคัญในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเล็กพรรคน้อยต่างๆ โดยเฉพาะใน”พรรคพลังประชาชน”ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับเองผ่านวีซีดีว่าเป็นพรรคนอมินีของพรรคไทยรักไทย แถม พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่สนว่าตนจะทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยการหาเสียงให้พรรคพลังประชาชนอย่างหน้าตาเฉย

“...ผมก็เลยบอกกับ ส.ส.พรรคไทยรักไทยทั้งหลายที่พรรคถูกยุบ ก็บอกว่า ถ้าเรารักประชาชน เราห่วงประเทศชาติ เรามารวมตัวกันเถอะ เพราะประชาชนเข้าใจเรา และรู้ดีว่าเราถูกกระทำ เขาก็เรียกมารวมตัวกันและมารวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ชื่อพรรคพลังประชาชน ชื่อดีครับ เพราะเราจะต้องขอพลังจากพี่น้องประชาชน เพื่อจะเอาความมั่งคั่งของประเทศกลับคืนมา...สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาก็คือพี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องซึ่งยังมีปัญหาในชีวิต ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มที่ การเมืองมีความเข้มแข็ง แต่นั่นแหละครับมันเป็นจุดที่บางคนเขาอยากเห็นว่า ถ้าการเมืองอ่อนแอเขาได้ประโยชน์ ก็เลยอยากเห็นการเมืองบ้านเมืองของเราอ่อนแอ...แต่พี่น้องประชาชนจะต้องเอาพลังประชาชนสอนให้เขารู้เลยว่า การเมืองจะอ่อนแอไม่ได้ เพราะประชาชนจะอ่อนแอ เพราะฉะนั้นจะเลือกพรรคเดียวเนี่ยให้ดู พี่น้องเลือกพลังประชาชนให้ดู และมันจะเป็นพลังประชาชนนั่นแหละครับที่นำสิ่งที่พี่น้องเคยมีความสุขกลับคืนมา และที่สำคัญ เมื่อความยุติธรรมกลับคืนสังคมไทย ผมจะกลับไปอยู่กับพี่น้องประชาชน จะไปหาพี่น้องประชาชน ก็ขอฝากพรรคพลังประชาชนและผู้สมัครพรรคพลังประชาชนทุกคนด้วยครับ”

วีซีดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณได้อ้อนขอคะแนนประชาชนให้เลือกผู้สมัครพรรคพลังประชาชนนั้น ไม่เพียงถูกแจกจ่ายไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานที่เป็นฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยเดิม แต่วีซีดีดังกล่าวยังมีการผลิตออกมาหลายชุดหลายเวอร์ชั่น และไม่ได้มีแค่ภาษากลาง แต่มีภาษาถิ่นด้วย

“วันนี้พี่น้องครับ ส.ส.พรรคไทยรักไทยเก่า เขาไปรวมตั๋ว(ตัว)กัน ไปอยู่พรรคใหม่จื้อ(ชื่อ)ว่าพรรคพลังประชาชน จื้อจะดี แปลว่าพลังของประชาชน เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากจะบอกปี้น้องว่า สิ่งดีงามที่ปี้(พี่)น้องเคยได้ฮับ(รับ)ทั้งหลาย สิ่งที่ปี้น้องเคยชื่นชอบไทยรักไทยทั้งหลาย วันนี้ได้แปรสภาพมาเป็นพรรคพลังประชาชน ถ้าปี้น้องจ้วย(ช่วย)กันออกแฮง(แรง)ลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนกู้(ทุก)เขตกู้เบอร์ ปี้น้องจะได้เห็นว่าพรรคพลังประชาชนจะเป็นพรรคของปี้น้องประชาชนอย่างแท้จริง และจะนำสิ่งที่ดีงามที่เคยได้ฮับกลับคืนมาหมด และผมก็จะได้มีโอกาสจะปิ๊ก(กลับ)มาอยู่กับปี้น้อง ถ้าบ่าอั้น(ถ้าไม่อย่างนั้น)เขาจะแกล้งผมต่อไป ก็วันนี้ผมคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้น 1 ปีที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นฝันร้ายของประเทศไทย เป็นฝันร้ายของปี้น้อง แต่ว่าฝันร้ายพวกนี้มันจะหายไปทันที ถ้าปี้น้องจ้วยกันลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชน ได้มาทำหน้าที่รับใช้พี่น้อง ผมขอฝากพรรคพลังประชาชนด้วยนะครับ”


วีซีดีทักษิณนับเป็น “ตัวจักร” สำคัญที่ทำให้พรรคพลังประชาชนได้คะแนนนำในการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. และสิ่งที่เอื้อให้วีซีดีทักษิณแพร่กระจายได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึง ก็คือ การที่ กกต.ไม่จริงจังพอที่จะจัดการระงับวีซีดีดังกล่าว เพราะขนาดนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ได้นำวีซีดีทักษิณยื่นให้ กกต.ตรวจสอบเพื่อเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคพลังประชาชนตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.(ก่อนวันเลือกตั้ง 12 วัน) ซึ่งหาก กกต.รีบตรวจสอบ ก็น่าจะได้ข้อสรุปตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้วว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งข้อใดบ้าง(อย่างน้อยก็มาตรา 97 ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่ห้าม”ผู้ใด”ชี้นำให้เลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง) รวมถึงประเด็นพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ยอมรับเองนั้น จะส่งผลถึงขั้น กกต.ต้องเสนอยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่

แต่ กกต.ก็หาได้ออกอาการเร่งรีบตรวจสอบไม่ สังเกตได้จาก กกต.สั่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว มีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ (ที่เคยเป็น ปธ.อนุ กก.สอบแม่ยาย พ.ต.ท.ทักษิณแจกเสื้อให้ม็อบคาราวานคนจน แล้วสรุปว่าหลักฐานฟังไม่ชัดว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง) เป็นประธาน โดยให้เวลาสอบนานถึง 1 เดือน และทั้งๆ ที่ 1 เดือนก็น่าจะเป็นเวลาที่นานเกินไปแล้ว กลับปรากฏว่า เมื่อครบกำหนด ผลสอบก็ยังไม่แล้วเสร็จ โดยอนุกรรมการฯ ได้ขอขยายเวลาสอบต่ออีก 15 วัน ซึ่งน่าจะครบกำหนดในวันที่ 27 ม.ค.นี้

แต่ล่าสุด วันนี้ (22 ม.ค.)นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย บอกว่า อนุกรรมการที่สอบเรื่องวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ามีพยานจำนวนมาก การสอบคงเสร็จไม่ทันวันที่ 27 ม.ค. นายสมชัยยังบอกด้วยว่า สามารถขยายเวลาสอบสวนได้ และไม่ใช่เรื่องที่ต้องเร่งพิจารณาหรือทำตามกระแสแต่อย่างใด เพราะหากเกิดความผิดพลาด กกต.ต้องรับผิดชอบภายหลัง!?!

การทำงานที่ล่าช้าของ กกต.ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ได้มีส่วนช่วยให้วีซีดีทักษิณสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ในการเรียกคะแนนจากผู้ที่รักทักษิณให้เลือกพรรคพลังประชาชนได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วชนิดที่ไม่มีอุปสรรคหรือข้อกฎหมายใดใดมาขวางกั้นได้ ดีไม่ดีประชาชนบางคนอาจคิดว่าวีซีดีนั้นคือสิ่งที่ถูกกฎหมายเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่เห็น กกต.จะทำอะไร

นอกจาก “ทักษิณและวีซีดีทักษิณ” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรรคพลังประชาชนประสบชัยชนะและได้เป็นรัฐบาลสมใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะ กกต.ยังทำอะไรไม่ได้แล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ กกต.ก็ยังไม่ได้ทำความจริงให้ปรากฏ ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่และอาจส่งผลสะเทือนถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชนได้เช่นกัน จึงเท่ากับเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งให้พรรคพลังประชาชนนอมินีของพรรคไทยรักไทยผงาดกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นกรณี “ปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัย” ซึ่งคงยังไม่ลืมว่า นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อแผ่นดิน ถูก กกต.เพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ฐานเป็นสมาชิกพรรคมากกว่า 1 พรรค โดยทางพรรคพลังประชาชนอ้างว่านายสิทธิชัยเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนด้วย โดยมีใบสมัครที่มีลายมือนายสิทธิชัยเป็นเครื่องยืนยัน แต่ภายหลังศาลฎีกาได้สั่งให้ กกต.คืนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งแก่นายสิทธิชัย เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า ลายมือที่เขียนในใบสมัครสมาชิกพรรคพลังประชาชนไม่น่าจะใช่ลายมือนายสิทธิชัยตามที่พรรคพลังประชาชนอ้าง กกต.จึงได้มีมติ (เมื่อ 11 ธ.ค.) ว่าจะแจ้งความดำเนินคดีพรรคพลังประชาชนต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฐานปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัย แต่จนบัดนี้ไม่ทราบว่าเรื่องดำเนินไปถึงไหนแล้ว?

รวมทั้งกรณีที่ กกต.ได้มีมติตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบเรื่องปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัยว่าจะถึงขั้นต้องเสนอยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่ โดยมีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธานนั้น บัดนี้เวลาผ่านมา 1 เดือนกว่าแล้ว เรื่องก็ยังเงียบ!

นอกจากกรณีวีซีดีทักษิณ และกรณีปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัยที่ กกต.ยังไม่ทำอะไรให้ปรากฏ จึงส่งผลเป็นคุณแก่พรรคพลังประชาชนนั้น ยังมีอีก 1 กรณีที่ไม่เพียงเกี่ยวพันกับการทุจริตเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน แต่ยังอาจส่งผลถึงขั้นถูกยุบพรรคได้ แต่ กกต.ก็ยังไม่ได้ทำความจริงให้ปรากฏอีกเช่นกัน

นั่นคือ “ทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย” ที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน ถูกผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติไทยร้องต่อ กกต.ว่าซื้อเสียงผ่านกำนัน โดยจากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจสันติบาล พบว่า มีหลักฐานเป็นวีซีดีบันทึกการเดินทางและการพบกันของนายยงยุทธและกำนันเชียงราย 10 คนไว้ทั้งหมด ซึ่งหากพบว่า นายยงยุทธกระทำผิดจริง โทษอาจไม่ใช่แค่โดนใบแดง แต่อาจถึงขั้นยุบพรรคได้ เพราะนายยงยุทธเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน

แต่นอกจาก กกต.จะยังไม่ทำความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏต่อสาธารณชนแล้ว กกต.ยังใจดีประกาศรับรองผลเลือกตั้งให้นายยงยุทธได้เข้าสภา โดยอ้างว่า ถ้านายยงยุทธผิด ก็สามารถสอยทีหลังได้ ก็คงต้องติดตามว่า กกต.จะกล้าสอยดังที่ปากว่าหรือไม่ ในเมื่อวันนี้ (22 ม.ค.) นายยงยุทธเป็นถึงประธานสภาและประธานรัฐสภาไปแล้ว และมีประเด็นที่ต้องติดตามเพิ่มด้วยว่า การที่นายยงยุทธ ลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนแล้ว (21 ม.ค.) เพื่อนั่งตำแหน่งประธานสภา จะส่งผลเป็นการ “ตัดตอนความผิด” กรณีทุจริตเชียงรายไม่ให้ถึงพรรค เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกยุบพรรคหรือไม่?

ทั้ง 3 เรื่อง 3 กรณี “วีซีดีทักษิณ-ปลอมลายเซ็นนายสิทธิชัย-ทุจริตเชียงราย” ที่พรรคพลังประชาชนเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค คงต้องดูว่า กกต.ชุดนี้ ชุดอภิชาต สุขัคคานนท์ จะทำงานสมกับที่ประชาชนคาดหวัง หลังผิดหวังกับ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ หรือไม่ หรือจะยกประโยชน์ให้จำเลยไป ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว!?!

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากพรรคพลังประชาชนจะได้ประโยชน์จากการทำงานที่ล่าช้าของ กกต.ชุดนี้แล้ว ทางพรรคฯ ยังได้ประโยชน์จาก”คำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ”ในบางกรณีด้วย โดยเฉพาะประเด็น”พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย”จึงไม่อาจส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมาได้ ซึ่งนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร้องให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งพิจารณาเรื่องนี้ ทำเอาพรรคพลังประชาชนเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ กลัวความผิดถึงขนาดต้องเลื่อนการประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรคออกไปเป็นหลังวันที่ศาลตัดสิน (ศาลตัดสิน 18 ม.ค./6 พรรคประกาศจัดตั้งรัฐบาล 19 ม.ค.) แต่ในที่สุด ศาลฎีกาแผนกเลือกตั้ง ได้มีคำสั่งคดีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทยว่า “ศาลฯ ไม่มีอำนาจพิจารณา”!?!

สรุปว่า ไม่ใช่พรรคพลังประชาชนไม่ผิดหรือไม่ได้เป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย แต่ศาลฯ ไม่มีอำนาจชี้ พรรคพลังประชาชนจึงได้ประโยชน์ไปอีกตามเคย นี่ยังไม่รวมประเด็นที่นายไชยวัฒน์ร้องศาลฎีกาฯ ว่า พรรคพลังประชาชนนำซีดีปราศรัยของอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย(พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ไปแจกจ่ายให้ประชาชน ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ศาลฯ มีคำสั่งยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า คำร้องดังกล่าวเป็นการคัดค้านการเลือกตั้ง ดังนั้นผู้ที่จะร้องต่อศาลฎีกาฯ ได้ก็คือ กกต.

คำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ แม้ไม่มีใครสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า จากคำวินิจฉัยดังกล่าว ทำให้หลายคนอดรู้สึกไม่ได้ว่า ทำไมปัญหาบ้านเมืองที่สังคมต้องการคำตอบถึงต้องพบกับทางตัน ไม่ใช่เพราะด้วยประโยค 2-3 ประโยคเหล่านี้หรือ “ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้อง - “ศาลฯ ไม่มีอำนาจชี้” สุดท้ายก็เลยต้องยกประโยชน์ให้จำเลยอย่างพรรคพลังประชาชนไป

เมื่อยังไม่มีใครหรือศาลไหนชี้ความผิดพรรคพลังประชาชนได้ ความหวังสุดท้ายของพรรคฯ ก็คือ การจัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรค เพื่อโดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นฝ่ายค้านพรรคเดียว ซึ่งในที่สุด พรรคพลังประชาชนก็ทำได้สำเร็จ เพราะนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เจ้าของวลีที่ว่า “จะไม่ทำให้ผู้ใหญ่ที่นับถือมา 30 ปีผิดหวัง” เกิดเปลี่ยนแปลงจุดยืนขึ้นมากะทันหัน โดยบอกเหตุผลที่ยินดีเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนว่า “...ที่ตัดสินใจเพราะเราเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก เราต้องมีรัฐบาล จะปล่อยให้สุญญากาศเกิดขึ้นไม่ได้ และรัฐบาลต้องมีความมั่นคง ไม่ใช่ตั้งไปแล้วปริ่มน้ำก็อยู่ไม่ยืด...”

ขณะที่ทางพรรคเพื่อแผ่นดินของนายสุวิทย์ คุณกิตติ ที่เคยปฏิเสธตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่า พรรคไม่ได้เป็นนอมินีของใคร ก็เผยเหตุผลของพรรคที่ยินดีเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนว่า “เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังเกิดสุญญากาศทางการเมือง รวมทั้งเพื่อสร้างความสมานฉันท์และยุติปัญหาความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความรุนแรง”!?!

ส่วนพรรคเล็กอีก 3 พรรค “รวมใจไทยชาติพัฒนา-ประชาราช-มัชฌิมาธิปไตย” ไม่ต้องพูดถึง เพราะได้ประกาศเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนตั้งแต่ไก่โห่แล้ว โดยให้เหตุผลเป็นเสียงเดียวกันว่า “ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชนที่มีฉันทามติแล้วว่าเลือกให้พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล”

...ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นพฤติการณ์ของพรรคการเมือง 5 พรรคที่อยากเป็นรัฐบาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกผลประโยชน์ที่พรรคพลังประชาชนได้จากวีซีดีทักษิณ-จากกรณีทุจริตเชียงราย-จากความเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย ที่ กกต.ยังทำอะไรไม่ได้ และประชาชนก็ทำอะไรไม่ได้ เราจึงได้เห็นรัฐบาลผสม 6 พรรค 315 เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสง่างามในสายตาของ 6 พรรคร่วมรัฐบาล คือ มีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้มีชนักติดหลังกรณีทุจริตเชียงราย เป็นประธานสภาและประธานรัฐสภา และจะมีนายกฯ ที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช ผู้ที่มีชนักติดหลังเช่นกันจากการถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาฐานหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯ กทม.

ป่านนี้ ผู้ที่กำลังยิ้มไม่ยอมหุบกับชัยชนะของพรรคพลังประชาชนในครั้งนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”!!







กำลังโหลดความคิดเห็น