กกต. หวั่นถูกฟ้องทั้งขึ้นทั้งล่อง ขอนอนคิด 1 คืน ก่อนตัดสินใจในวันนี้ว่า จะประกาศรับรองว่าที่ ส.ส.ที่แขวนไว้ทั้งหมด หรือรับรองเพียงบางส่วนแค่ให้สามารถเปิดประชุมสภาได้ ด้าน ปชป. เตรียมขอสำเนาหลักฐานคำร้องใบเหลือง-แดง จากกกต. หวังส่งต่อศาลหากวินิจฉัยไม่มีเหตุผลเพียงพอ พร้อมรวบรวมหลักฐาน วีซีดี มัด"นอมินีแม้ว" ส่งให้กกต. เพื่อจะได้ทำงานสะดวกขึ้น ส่วนการเลือกตั้งใหม่ที่ เขต 1 บุรีรัมย์ มัชฌิมาธิปไตย ยกทีมเข้าวิน หลังพปช.สั่งเทคะแนนให้ ส่วนที่ เขต 2 จ.ชัยภูมิ พปช. เหมาทั้ง 2 ที่นั่ง
วานนี้ (17 ม.ค.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาสำนวนร้องคัดค้านทั้งสิ้น 29 เรื่องโดยยกคำร้อง 17 เรื่อง ให้สอบสวนเพิ่มเติม 1 เรื่อง รับพิจารณาสอบเพิ่ม 11 เรื่อง และประกาศรับรองการเป็นส.ส. 3 คน ได้แก่ นายนิยม เวชกามา นายทวีวัฒน์ ฤทธิ์ฤาชัย เขต 1 จ.สกลนคร พรรคพลังประชาชน และนายนิรมิตร สุจารี เขต 3 ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ทำให้มียอดรวม ส.ส.ที่ กกต.รับรองแล้วทั้งหมด 434 คน ซึ่งจำนวนส.ส.ทั้งหมด กกต.จะยกยอดไปพิจารณาในวันนี้ (18 ม.ค.) เนื่องจากต้องรอผลการเลือกตั้งใหม่ จ.ชัยภูมิ และ บุรีรัมย์ ที่จะมาส่งผลคะแนนให้กับ กกต. รวมถึงผลการพิจารณาของคณะกฤษฎีกา ที่ กกต.เสนอให้เพิถอนสิทธิ นายมณเฑียร และนางนันทนา สงฆ์ประชา ว่าที่ส.ส. เขต 1 จ.ชัยนาท พรรคชาติไทย และนายประสพ บุษราคัม ว่าที่ ส.ส.เขต 3 จ.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน
นอกจากนี้ กกต.ยังจะต้องรอฟังผลการพิจารณาของศาลฎีกา กรณีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัครส.ส.บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ ฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะและร้องพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย ดังนั้นวันนี้จึงมีความสำคัญ และมีผลผูกพันต่อการทำงานของ กกต.
ส่วนเรื่องการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส.จำนวน 456 คน เพื่อให้เปิดประชุมสภานัดแรกได้นั้น ด้านบริหารการเลือกตั้ง ได้เสนอมา 2 แนวทาง คือ ประกาศรับรองทั้งหมด และประกาศรับรองให้ได้ 95 % ซึ่ง กกต.ก็ต้องมาหารือและตัดสินใจในวันนี้อีกครั้ง
"เรื่องนี้ กกต.อภิปรายกันเยอะทั้งนี้ กกต.ได้นำกฎหมายการเลือกตั้งเดิมมาดูความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน และชุดก่อนๆ ก็ทราบว่าประกาศรับทั้งหมด เพราะฉะนั้นกกต. ต้องดูข้อกฎหมายและแปลความอย่างรอบคอบ"
รายงานข่าวแจ้งว่า ในเรื่องของการประกาศรับรองผล ด้านบริหารการเลือกตั้ง ได้เสนอประเด็นข้อกฎหมาย 2 แนวทาง
โดยแนวทางแรกระบุว่า มาตรา 8 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. กำหนดให้ กกต. ต้องวินิจฉัยเรื่องร้องคัดค้านให้แล้วเสร็จใน 30 วัน โดยมี มาตรา 116 บัญญัติรับไว้ในทำนองว่า ในกรณี ที่มีการยื่นคัดค้านก่อนวันประกาศผลการเลือกตั้ง แต่ผลการสืบสวนสอบสวนแล้วเสร็จหลังวันประกาศผลการเลือกตั้ง และจากการสอบสวนปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง โดย กกต. เห็นควรให้เลือกตั้งใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ก็ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณา เท่ากับว่า เจตนาของกฎหมายต้องการให้ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อน ถึงแม้จะสอบสวนไม่แล้วเสร็จก็ตาม โดยยังไปสอยภายหลังได้ ด้วยการเสนอต่อศาลฎีกา
ส่วนแนวทางที่สอง มาตรา 93 ของรัฐธรรมนูญ บัญญัติในทำนองให้ กกต. ประกาศรับรองเพื่อเปิดประชุมสภาได้ โดยใช้ จำนวนส.ส. เพียง 95% หรือ 456 คนเป็นองค์ประชุมเท่านั้น
ซึ่งปรากฏว่า ที่ประชุมได้ถกเถียงกันโดยระบุว่า ขณะนี้การเมืองแบ่งเป็นสองขั้วชัดเจน ดังนั้นไม่ว่า กกต. จะตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง ก็จะถูกฟ้องทั้งสิ้น แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า หาก กกต. สืบสวนสอบสวนไม่แล้วเสร็จ ตามที่ มาตรา 8 กำหนด และไม่ประกาศรับรองไปก่อน มีสิทธิที่ กกต. จะถูกว่าที่ ส.ส. ที่ กกต. ไม่ประกาศรับรองฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ของ กฎหมายอาญา
ขณะที่หากประกาศรับรองว่าที่ ส.ส. ที่ กกต. รับรองไม่แล้วเสร็จไปก่อน ก็จะถูกฝ่ายผู้ร้องคัดค้านว่าที่ ส.ส. ที่ กกต. ยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ ฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน เพราะ มองว่า กกต. มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่า ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งนั้น ได้มาโดยสุจริต ซึ่งทาง กกต. ได้สอบถามฝ่ายบริหารเลือกตั้ง ถึงแนวทางการปฏิบัติในการรับรองส.ส. ในอดีต กรณีครบ 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนดว่า ที่ผ่านมายึดหลักใดจึงทำให้ประกาศรับรองในส่วนที่สอบไม่เสร็จไปก่อน และให้นำประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาเสนอในวันนี้
"ในที่ประชุม ไม่ได้พูดถึง หรือแสดงความเป็นห่วง เกี่ยวกับการที่ศาลฎีกา จะมีคำวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะหรือไม่ จนต้องไปรอผลของคำวินิจฉัย แต่ที่ไม่ได้ข้อยุติ เพราะไปถกเถียงเรื่องประเด็นข้อกฎหมายที่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดยเห็นว่า หากประกาศรับรองว่าที่ ส.ส. ที่สืบสวนสอบสวนไม่แล้วเสร็จไปก่อน และไปสอยทีหลังก็จะมีคำถามย้อกลับมาที่ กกต. ว่า ทำไม กกต. ถึงประกาศรับรองว่าที่ ส.ส ที่ยังมีเรื่องร้องคัดค้านเข้าไปทำหน้าที่เลือกนายกรัฐมนตรีในสภา ทำไมจึงไม่ประกาศเฉพาะผู้ที่ กกต.เห็นว่าสุจริต ซึ่งเรื่องดังกล่าวต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจถึงเหตุผลในข้อกฎหมายที่ทำให้ต้องทำเช่นนั้น เพราะการประกาศไปก่อนโดยเฉพาะกรณีของ นายยยุทธ ติยะไพรัช จะทำให้สังคมเข้าใจว่า กกต. ยกคำร้องไปแล้ว ดังนั้นต้องอธิบายให้ทราบว่า แม้ กกต. จะประกาศรับรองไปก่อน สำนวนการกระทำผิดทั้งหมด กกต. ยังสามารถสืบสวนสอบสวน และหากพบว่ามีการกระทำผิด ก็สามารถเสนอให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือสั่งเลือกตั้งใหม่ได้"
ขณะที่ นายสุเมธ อุปนิสากร ยอมรับว่า ที่ประชุม กกต. ได้หารือเรื่องดังกล่าวเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะมุมมองทางกฎหมายสามารถมองได้หลายทาง สุดท้ายจึงให้เจ้าหน้าที่ไปรวบรวมข้อมูลมาใหม่ และ กกต. ขอไปนอนตัดสินใจหนึ่งคืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ กกต. ให้ด้านบริหารการเลือกตั้งนำข้อกฎหมายใน พ.ร.บ.เลือกตั้ง และรัฐธรรมนูญในอดีต ให้พิจารณาว่า เหตุใด กกต. ในอดีตจึงประกาศรับรองว่าที่ ส.ส. ที่ยังมีเรื่องร้องคัดค้านไปก่อนภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง ก็เพราะ ก่อนหน้านั้นศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า องค์ประกอบของแต่ละสภาที่จะสามารถเปิดประชุมได้ จำเป็นต้องมีสมาชิกครบตามจำนวนที่กำหนดเท่านั้น จึงทำให้ กกต. ในอดีตต้องเร่งประกาศรับรองไปก่อน แต่ในรัฐธรรมนูญใหม่ ได้แก้ปัญหาเรื่องการเปิดประชุมไว้แล้ว โดยกำหนดองค์ประชุมแค่เพียง 95% เท่านั้น
ปชป.ขอสำเนาคำวินิจฉัยของ กกต.
นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง กล่าวว่า ที่ผ่านมา คณะทำงานได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ไปทั้งหมด 36 สำนวน โดยมีบุคคลที่ถูกคัดค้านไม่รับรองผลการเลือกตั้ง 76 คน และจนถึงขณะนี้กกต. ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้วทั้งหมด ดังนั้นผู้ร้องทุกคนควรได้ทราบถึงเหตุผลการที่ กกต.วินิจฉัย ว่ารับรองและไม่รับรองผลการเลือกตั้ง ดังนั้น คณะทำงานชุดนี้ จึงได้ทำหนังสือไปยัง กกต. เพื่อขอส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติม และขอถ่ายสำเนาคำวินิจฉัยของ กกต. เพราะจะได้ทราบว่า คำร้องที่ทางพรรคร้องไปนั้น กกต.ได้ใบเหลืองหรือใบแดง เพื่อนำมาดำเนินในทางศาลต่อไป หากคำวินิจฉัยนั้นไม่มีเหตุผลเพียงพอ
ทั้งนี้ในบรรดาคำร้องที่คณะทำงานยื่นไปยัง กกต. มีคำร้องที่เกี่ยวข้องกับการแจกวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ 12 สำนวน และมีผู้ร้อง 29 คน ที่เกี่ยวกับการแจกวีซีดีในการรณงรงค์หาเสียง ซึ่งทางคณะทำงานได้ส่งวีซีดี และได้สอบพยานบุคคลไปให้กกต.แล้ว แต่ปรากฏว่าทาง กกต.ยังเงียบเฉย
ส่งหลักฐานเพิ่มมัด"นอมินีแม้ว"
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสะดวกในการวินิจฉัยของ กกต. ทางคณะทำงานจึงได้จัดทำวีซีดี ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวการแจกวีซีดีของพรรคประชาชนมาสรุปอีกครั้ง โดยมีความยาว 12 นาที ซึ่งมีเนื้อหาสรุปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเชื่อมโยงกับพรรคพลังประชาชนอย่างไร และเข้ามามีส่วนช่วยในการหาเสียงของพรรคพลังประชาชน นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน มีความเกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไร
นายถาวร กล่าวว่า การส่งหนังสือ และวีซีดีสรุปในครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน แต่เป็นเพียงการทำหน้าที่ติดตามเรื่องร้องเรียนไปยัง กกต. และไม่ได้เกี่ยวกับการพิจารณาคดีของศาลฎีกา ในกรณีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 บุรีรัมย์ ที่ศาลนัดฟังคำร้องในวันนี้ (18 ม.ค.) แต่เป็นเพียงการเตือน หรือขอถ่ายเอกสารคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำวินิจฉัยที่ กกต.ได้พิจารณาเสร็จไปบ้างแล้ว หรือในสำเนาที่กำลังวินิจฉัย เพื่อดูว่า คำวินิจฉัยของ กกต. เป็นคำวินิจฉัยที่มีเหตุผลหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีเหตุผล ทางคณะทำงานก็จะดำเนินการต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า การทำวีซีดีครั้งนี้ อาจทำให้พรรคพลังประชาชน กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าใส่ร้าย นายถาวร กล่าวว่า การจัดทำวีซีดีครั้งนี้ เป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมด ที่ได้จากผู้ยื่นคำร้องคัดค้าน มารวบรวม และสรุปประเด็น และถ้าเป็นการใส่ร้ายคนที่ทำ ก็จะถูกดำเนินคดีเสียเอง ดังนั้น เราจึงได้ระมัดระวังมาก ซึ่งวีซีดีทักษิณ ที่เป็นต้นฉบับ ก็อยู่ที่กกต.แล้ว และอยู่ที่ประชาชนนับไม่ถ้วน เพราะมีการแจกกันทั่วในภาคเหนือ และภาคอีสาน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความชัดเจนในเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บอกให้ ส.ส.จากไทยรักไทย เดิมมารวมตัวกันเป็นพรรคการเมือง และทำตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการหรือที่ทาง พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าให้ช่วยกันเลือกผู้สมัครพรรคพลังประชาชน นั่นถือว่า เป็นการระดมหาเสียงของบุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ที่ กกต.สั่งห้าม ซึ่งผิดกฎหมายอยู่แล้ว สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดไม่ได้มีการตัดต่อ แต่เป็นข้อความจริงที่ปรากฏอยู่ในวีซีดี ที่ผู้ร้องได้ส่งมอบให้ กกต.แล้ว
"ทั้งนี้ กกต.เคยให้สัมภาษณ์ว่า การแจกวีซีดีเป็นเหมือนการแจกทรัพย์สิน ผิดตามมาตรา 53 และควรจะได้ใบแดง และสิงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดเชิญชวนประชาชนเลือกพรรคพลังประชาชนแล้วตนจะได้กลับประเทศ ถือเป็นหาเสียงด้วยการหลอกลวง เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ สามารถกลับประเทศไทยได้ตลอดเวลา กรณีเช่นนี้ได้ใบแดงสถานเดียว และเมื่อเราได้คำวินิจฉัยของ กกต.แล้ว พิจารณาว่า เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง และผิดกฎหมาย มาตราที่จะทำต่อไปคือ จะใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 219 นำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาต่อไป เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ผู้ที่จะฟ้องคือ ผู้ที่ยื่นคำร้องคัดค้าน เช่น ผู้สมัคร ส.ส. หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่เป็นผู้ร้องในเบื้องต้น"นายถาวร กล่าว
เมื่อถามว่า หากในวันนี้ (18 ม.ค.) ศาลฎีกายกคำร้องของนายไชยวัฒน์ จะทำให้การจัดทำวีซีดี ครั้งนี้ไร้ประโยชน์หรือไม่ นายถาวรกล่าวว่า ก็ต้องดูว่าคำวินิจฉัยชัดเจนหรือไม่ ว่าการแจกวีซีดีนั้นไม่ผิดฐานการเป็นนอมินี แต่อาจจะผิดฐานแจกทรัพย์สิน เพราะมีความผิดอยู่ 3 ประการ คือ 1.แจกหรือให้ซึ่งทรัพย์สิน 2.หลอกลวง 3.เป็นตัวแทนของบุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง
มัชฌิมาฯ กวาด 3 ที่นั่งบุรีรัมย์
ผู้สื่อข่าวรายงาน ผลการเลือกตั้งใหม่ ส.ส.เขต 1 จ.บุรีรัมย์ ซึ่ง ว่าที่ ส.ส.จากพรรคพลังประชาชนถูก กกต.แจกใบแดงยกเขต ทั้ง 3 คน ปรากฏว่า ผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคมัชฌิมาธิปไตย (มฌ.) ได้รับเลือกตั้งทั้ง 3 คน คือ นายณัฐวุฒิ สุขเกษม หมายเลข 1 นายมาโนช เฮงยศมาก หมายเลข 2 และนายสมนึก เฮงวาณิชย์ หมายเลข 3
ส่วนนายโสภณ เพชรสว่าง ผู้สมัครหมายเลข 10 พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเคยเป็นเต็งหนึ่ง ก่อนเลือกตั้ง มาเป็นลำดับที่ 4
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ได้มีกระแสข่าวว่า พรรคพลังประชาชน จะเทคะแนนให้กับผู้สมัครพรรคมัชฌิมาธิปไตย เนื่องจากถ้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ถูกยุบพรรคจาก กรณี กกต. แจกใบแดง นายสุทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรค ว่าที่ ส.ส. ปราจีนบุรี ก็จะทำให้ ส.ส.พรรคมัชฌิมาธิปไตย ย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชาชน
พปช.กวาด 2 ที่นั่ง ส.ส.เขต 2 ชัยภูมิ
ส่วนการเลือกตั้งใหม่ ส.ส.เขต 2 จ.ชัยภูมิ หลังจาก กกต. ให้ใบเหลือง นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน (พปช.) กับนายบัณฑูรย์ เกียรติก้องชูชัย ว่าที่ ส.ส. จากพรรคพรรคชาติไทย (ชท.) ปรากฏว่า นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคพลังประชาชน ได้ 68,663 คะแนน , นายประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคพลังประชาชน ได้ 59,796 คะแนน ส่วนนายบัณฑูรย์ เกียรติก้องชัย ผู้สมัคร ส.ส.หมายเลข 3 พรรคชาติไทย ตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยคะแนน 37,246 คะแนน
ทั้งนี้ เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดชัยภูมิ มี ส.ส.ได้ 2 คน มีหน่วยเลือกตั้ง 557 หน่วย ใน 3 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เมือง อ.คอนสวรรค์ และ อ.แก้งคร้อ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 245,081 คน ซึ่งคาดว่าการเลือกตั้งใหม่ครั้งนี้ มีผู้มาใช้สิทธิประมาณ 50 %
จับตาระดมม็อบกดดัน กกต.
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กระทรวงกลาโหม และหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. กล่าวว่า ขณะนี้มีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ รายงานให้คมช. รับทราบว่า แกนนำนักการเมืองระดับชาติในพื้นที่ จ.เชียงราย เตรียมจัดตั้งมวลชนในพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เข้ามาในกรุงเทพฯในวันนี้(18 ม.ค.) เพื่อเคลื่อนไหวกดดันการพิจารณาคดีของ กกต. ซึ่งจะตัดสินคดีที่นาย ยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ทุจริตการเลือกตั้งที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ขณะนี้
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า การเมืองในจ.เชียงราย มีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงเพราะเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ที่มีผลประโยชน์สูง รวมถึงธุรกิจผิดกฎหมายบริเวณแนวชายแดน ดังนั้นนักการเมืองในพื้นที่จึงต่อสู้กันรุนแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ เพราะการได้อำนาจรัฐ จะนำมาสู่การเข้าไปควบคุมองค์กรต่างๆในพื้นที่ และดำเนินการได้ตามที่มุ่งหวัง
"ขณะนี้เขามีความพยายามที่จะออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้อง กดดันให้มีการย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระดับรองผู้บังคับการ จ.เชียงราย และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นทหารออกจากพื้นที่ เพราะเป็นผู้ที่ทำงาน เป็นอุปสรรคต่อความมุ่งหวังในการเข้าไปสู่อำนาจรัฐของเขา"พล.อ.สมเจตน์ กล่าว
วานนี้ (17 ม.ค.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาสำนวนร้องคัดค้านทั้งสิ้น 29 เรื่องโดยยกคำร้อง 17 เรื่อง ให้สอบสวนเพิ่มเติม 1 เรื่อง รับพิจารณาสอบเพิ่ม 11 เรื่อง และประกาศรับรองการเป็นส.ส. 3 คน ได้แก่ นายนิยม เวชกามา นายทวีวัฒน์ ฤทธิ์ฤาชัย เขต 1 จ.สกลนคร พรรคพลังประชาชน และนายนิรมิตร สุจารี เขต 3 ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ทำให้มียอดรวม ส.ส.ที่ กกต.รับรองแล้วทั้งหมด 434 คน ซึ่งจำนวนส.ส.ทั้งหมด กกต.จะยกยอดไปพิจารณาในวันนี้ (18 ม.ค.) เนื่องจากต้องรอผลการเลือกตั้งใหม่ จ.ชัยภูมิ และ บุรีรัมย์ ที่จะมาส่งผลคะแนนให้กับ กกต. รวมถึงผลการพิจารณาของคณะกฤษฎีกา ที่ กกต.เสนอให้เพิถอนสิทธิ นายมณเฑียร และนางนันทนา สงฆ์ประชา ว่าที่ส.ส. เขต 1 จ.ชัยนาท พรรคชาติไทย และนายประสพ บุษราคัม ว่าที่ ส.ส.เขต 3 จ.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน
นอกจากนี้ กกต.ยังจะต้องรอฟังผลการพิจารณาของศาลฎีกา กรณีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัครส.ส.บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ ฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะและร้องพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย ดังนั้นวันนี้จึงมีความสำคัญ และมีผลผูกพันต่อการทำงานของ กกต.
ส่วนเรื่องการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส.จำนวน 456 คน เพื่อให้เปิดประชุมสภานัดแรกได้นั้น ด้านบริหารการเลือกตั้ง ได้เสนอมา 2 แนวทาง คือ ประกาศรับรองทั้งหมด และประกาศรับรองให้ได้ 95 % ซึ่ง กกต.ก็ต้องมาหารือและตัดสินใจในวันนี้อีกครั้ง
"เรื่องนี้ กกต.อภิปรายกันเยอะทั้งนี้ กกต.ได้นำกฎหมายการเลือกตั้งเดิมมาดูความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน และชุดก่อนๆ ก็ทราบว่าประกาศรับทั้งหมด เพราะฉะนั้นกกต. ต้องดูข้อกฎหมายและแปลความอย่างรอบคอบ"
รายงานข่าวแจ้งว่า ในเรื่องของการประกาศรับรองผล ด้านบริหารการเลือกตั้ง ได้เสนอประเด็นข้อกฎหมาย 2 แนวทาง
โดยแนวทางแรกระบุว่า มาตรา 8 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. กำหนดให้ กกต. ต้องวินิจฉัยเรื่องร้องคัดค้านให้แล้วเสร็จใน 30 วัน โดยมี มาตรา 116 บัญญัติรับไว้ในทำนองว่า ในกรณี ที่มีการยื่นคัดค้านก่อนวันประกาศผลการเลือกตั้ง แต่ผลการสืบสวนสอบสวนแล้วเสร็จหลังวันประกาศผลการเลือกตั้ง และจากการสอบสวนปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง โดย กกต. เห็นควรให้เลือกตั้งใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ก็ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณา เท่ากับว่า เจตนาของกฎหมายต้องการให้ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อน ถึงแม้จะสอบสวนไม่แล้วเสร็จก็ตาม โดยยังไปสอยภายหลังได้ ด้วยการเสนอต่อศาลฎีกา
ส่วนแนวทางที่สอง มาตรา 93 ของรัฐธรรมนูญ บัญญัติในทำนองให้ กกต. ประกาศรับรองเพื่อเปิดประชุมสภาได้ โดยใช้ จำนวนส.ส. เพียง 95% หรือ 456 คนเป็นองค์ประชุมเท่านั้น
ซึ่งปรากฏว่า ที่ประชุมได้ถกเถียงกันโดยระบุว่า ขณะนี้การเมืองแบ่งเป็นสองขั้วชัดเจน ดังนั้นไม่ว่า กกต. จะตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง ก็จะถูกฟ้องทั้งสิ้น แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า หาก กกต. สืบสวนสอบสวนไม่แล้วเสร็จ ตามที่ มาตรา 8 กำหนด และไม่ประกาศรับรองไปก่อน มีสิทธิที่ กกต. จะถูกว่าที่ ส.ส. ที่ กกต. ไม่ประกาศรับรองฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ของ กฎหมายอาญา
ขณะที่หากประกาศรับรองว่าที่ ส.ส. ที่ กกต. รับรองไม่แล้วเสร็จไปก่อน ก็จะถูกฝ่ายผู้ร้องคัดค้านว่าที่ ส.ส. ที่ กกต. ยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ ฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน เพราะ มองว่า กกต. มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่า ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งนั้น ได้มาโดยสุจริต ซึ่งทาง กกต. ได้สอบถามฝ่ายบริหารเลือกตั้ง ถึงแนวทางการปฏิบัติในการรับรองส.ส. ในอดีต กรณีครบ 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนดว่า ที่ผ่านมายึดหลักใดจึงทำให้ประกาศรับรองในส่วนที่สอบไม่เสร็จไปก่อน และให้นำประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาเสนอในวันนี้
"ในที่ประชุม ไม่ได้พูดถึง หรือแสดงความเป็นห่วง เกี่ยวกับการที่ศาลฎีกา จะมีคำวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะหรือไม่ จนต้องไปรอผลของคำวินิจฉัย แต่ที่ไม่ได้ข้อยุติ เพราะไปถกเถียงเรื่องประเด็นข้อกฎหมายที่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดยเห็นว่า หากประกาศรับรองว่าที่ ส.ส. ที่สืบสวนสอบสวนไม่แล้วเสร็จไปก่อน และไปสอยทีหลังก็จะมีคำถามย้อกลับมาที่ กกต. ว่า ทำไม กกต. ถึงประกาศรับรองว่าที่ ส.ส ที่ยังมีเรื่องร้องคัดค้านเข้าไปทำหน้าที่เลือกนายกรัฐมนตรีในสภา ทำไมจึงไม่ประกาศเฉพาะผู้ที่ กกต.เห็นว่าสุจริต ซึ่งเรื่องดังกล่าวต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจถึงเหตุผลในข้อกฎหมายที่ทำให้ต้องทำเช่นนั้น เพราะการประกาศไปก่อนโดยเฉพาะกรณีของ นายยยุทธ ติยะไพรัช จะทำให้สังคมเข้าใจว่า กกต. ยกคำร้องไปแล้ว ดังนั้นต้องอธิบายให้ทราบว่า แม้ กกต. จะประกาศรับรองไปก่อน สำนวนการกระทำผิดทั้งหมด กกต. ยังสามารถสืบสวนสอบสวน และหากพบว่ามีการกระทำผิด ก็สามารถเสนอให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือสั่งเลือกตั้งใหม่ได้"
ขณะที่ นายสุเมธ อุปนิสากร ยอมรับว่า ที่ประชุม กกต. ได้หารือเรื่องดังกล่าวเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะมุมมองทางกฎหมายสามารถมองได้หลายทาง สุดท้ายจึงให้เจ้าหน้าที่ไปรวบรวมข้อมูลมาใหม่ และ กกต. ขอไปนอนตัดสินใจหนึ่งคืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ กกต. ให้ด้านบริหารการเลือกตั้งนำข้อกฎหมายใน พ.ร.บ.เลือกตั้ง และรัฐธรรมนูญในอดีต ให้พิจารณาว่า เหตุใด กกต. ในอดีตจึงประกาศรับรองว่าที่ ส.ส. ที่ยังมีเรื่องร้องคัดค้านไปก่อนภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง ก็เพราะ ก่อนหน้านั้นศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า องค์ประกอบของแต่ละสภาที่จะสามารถเปิดประชุมได้ จำเป็นต้องมีสมาชิกครบตามจำนวนที่กำหนดเท่านั้น จึงทำให้ กกต. ในอดีตต้องเร่งประกาศรับรองไปก่อน แต่ในรัฐธรรมนูญใหม่ ได้แก้ปัญหาเรื่องการเปิดประชุมไว้แล้ว โดยกำหนดองค์ประชุมแค่เพียง 95% เท่านั้น
ปชป.ขอสำเนาคำวินิจฉัยของ กกต.
นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง กล่าวว่า ที่ผ่านมา คณะทำงานได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ไปทั้งหมด 36 สำนวน โดยมีบุคคลที่ถูกคัดค้านไม่รับรองผลการเลือกตั้ง 76 คน และจนถึงขณะนี้กกต. ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้วทั้งหมด ดังนั้นผู้ร้องทุกคนควรได้ทราบถึงเหตุผลการที่ กกต.วินิจฉัย ว่ารับรองและไม่รับรองผลการเลือกตั้ง ดังนั้น คณะทำงานชุดนี้ จึงได้ทำหนังสือไปยัง กกต. เพื่อขอส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติม และขอถ่ายสำเนาคำวินิจฉัยของ กกต. เพราะจะได้ทราบว่า คำร้องที่ทางพรรคร้องไปนั้น กกต.ได้ใบเหลืองหรือใบแดง เพื่อนำมาดำเนินในทางศาลต่อไป หากคำวินิจฉัยนั้นไม่มีเหตุผลเพียงพอ
ทั้งนี้ในบรรดาคำร้องที่คณะทำงานยื่นไปยัง กกต. มีคำร้องที่เกี่ยวข้องกับการแจกวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ 12 สำนวน และมีผู้ร้อง 29 คน ที่เกี่ยวกับการแจกวีซีดีในการรณงรงค์หาเสียง ซึ่งทางคณะทำงานได้ส่งวีซีดี และได้สอบพยานบุคคลไปให้กกต.แล้ว แต่ปรากฏว่าทาง กกต.ยังเงียบเฉย
ส่งหลักฐานเพิ่มมัด"นอมินีแม้ว"
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสะดวกในการวินิจฉัยของ กกต. ทางคณะทำงานจึงได้จัดทำวีซีดี ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวการแจกวีซีดีของพรรคประชาชนมาสรุปอีกครั้ง โดยมีความยาว 12 นาที ซึ่งมีเนื้อหาสรุปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเชื่อมโยงกับพรรคพลังประชาชนอย่างไร และเข้ามามีส่วนช่วยในการหาเสียงของพรรคพลังประชาชน นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน มีความเกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไร
นายถาวร กล่าวว่า การส่งหนังสือ และวีซีดีสรุปในครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน แต่เป็นเพียงการทำหน้าที่ติดตามเรื่องร้องเรียนไปยัง กกต. และไม่ได้เกี่ยวกับการพิจารณาคดีของศาลฎีกา ในกรณีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 บุรีรัมย์ ที่ศาลนัดฟังคำร้องในวันนี้ (18 ม.ค.) แต่เป็นเพียงการเตือน หรือขอถ่ายเอกสารคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำวินิจฉัยที่ กกต.ได้พิจารณาเสร็จไปบ้างแล้ว หรือในสำเนาที่กำลังวินิจฉัย เพื่อดูว่า คำวินิจฉัยของ กกต. เป็นคำวินิจฉัยที่มีเหตุผลหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีเหตุผล ทางคณะทำงานก็จะดำเนินการต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า การทำวีซีดีครั้งนี้ อาจทำให้พรรคพลังประชาชน กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าใส่ร้าย นายถาวร กล่าวว่า การจัดทำวีซีดีครั้งนี้ เป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมด ที่ได้จากผู้ยื่นคำร้องคัดค้าน มารวบรวม และสรุปประเด็น และถ้าเป็นการใส่ร้ายคนที่ทำ ก็จะถูกดำเนินคดีเสียเอง ดังนั้น เราจึงได้ระมัดระวังมาก ซึ่งวีซีดีทักษิณ ที่เป็นต้นฉบับ ก็อยู่ที่กกต.แล้ว และอยู่ที่ประชาชนนับไม่ถ้วน เพราะมีการแจกกันทั่วในภาคเหนือ และภาคอีสาน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความชัดเจนในเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บอกให้ ส.ส.จากไทยรักไทย เดิมมารวมตัวกันเป็นพรรคการเมือง และทำตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการหรือที่ทาง พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าให้ช่วยกันเลือกผู้สมัครพรรคพลังประชาชน นั่นถือว่า เป็นการระดมหาเสียงของบุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ที่ กกต.สั่งห้าม ซึ่งผิดกฎหมายอยู่แล้ว สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดไม่ได้มีการตัดต่อ แต่เป็นข้อความจริงที่ปรากฏอยู่ในวีซีดี ที่ผู้ร้องได้ส่งมอบให้ กกต.แล้ว
"ทั้งนี้ กกต.เคยให้สัมภาษณ์ว่า การแจกวีซีดีเป็นเหมือนการแจกทรัพย์สิน ผิดตามมาตรา 53 และควรจะได้ใบแดง และสิงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดเชิญชวนประชาชนเลือกพรรคพลังประชาชนแล้วตนจะได้กลับประเทศ ถือเป็นหาเสียงด้วยการหลอกลวง เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ สามารถกลับประเทศไทยได้ตลอดเวลา กรณีเช่นนี้ได้ใบแดงสถานเดียว และเมื่อเราได้คำวินิจฉัยของ กกต.แล้ว พิจารณาว่า เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง และผิดกฎหมาย มาตราที่จะทำต่อไปคือ จะใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 219 นำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาต่อไป เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ผู้ที่จะฟ้องคือ ผู้ที่ยื่นคำร้องคัดค้าน เช่น ผู้สมัคร ส.ส. หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่เป็นผู้ร้องในเบื้องต้น"นายถาวร กล่าว
เมื่อถามว่า หากในวันนี้ (18 ม.ค.) ศาลฎีกายกคำร้องของนายไชยวัฒน์ จะทำให้การจัดทำวีซีดี ครั้งนี้ไร้ประโยชน์หรือไม่ นายถาวรกล่าวว่า ก็ต้องดูว่าคำวินิจฉัยชัดเจนหรือไม่ ว่าการแจกวีซีดีนั้นไม่ผิดฐานการเป็นนอมินี แต่อาจจะผิดฐานแจกทรัพย์สิน เพราะมีความผิดอยู่ 3 ประการ คือ 1.แจกหรือให้ซึ่งทรัพย์สิน 2.หลอกลวง 3.เป็นตัวแทนของบุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง
มัชฌิมาฯ กวาด 3 ที่นั่งบุรีรัมย์
ผู้สื่อข่าวรายงาน ผลการเลือกตั้งใหม่ ส.ส.เขต 1 จ.บุรีรัมย์ ซึ่ง ว่าที่ ส.ส.จากพรรคพลังประชาชนถูก กกต.แจกใบแดงยกเขต ทั้ง 3 คน ปรากฏว่า ผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคมัชฌิมาธิปไตย (มฌ.) ได้รับเลือกตั้งทั้ง 3 คน คือ นายณัฐวุฒิ สุขเกษม หมายเลข 1 นายมาโนช เฮงยศมาก หมายเลข 2 และนายสมนึก เฮงวาณิชย์ หมายเลข 3
ส่วนนายโสภณ เพชรสว่าง ผู้สมัครหมายเลข 10 พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเคยเป็นเต็งหนึ่ง ก่อนเลือกตั้ง มาเป็นลำดับที่ 4
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ได้มีกระแสข่าวว่า พรรคพลังประชาชน จะเทคะแนนให้กับผู้สมัครพรรคมัชฌิมาธิปไตย เนื่องจากถ้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ถูกยุบพรรคจาก กรณี กกต. แจกใบแดง นายสุทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรค ว่าที่ ส.ส. ปราจีนบุรี ก็จะทำให้ ส.ส.พรรคมัชฌิมาธิปไตย ย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชาชน
พปช.กวาด 2 ที่นั่ง ส.ส.เขต 2 ชัยภูมิ
ส่วนการเลือกตั้งใหม่ ส.ส.เขต 2 จ.ชัยภูมิ หลังจาก กกต. ให้ใบเหลือง นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน (พปช.) กับนายบัณฑูรย์ เกียรติก้องชูชัย ว่าที่ ส.ส. จากพรรคพรรคชาติไทย (ชท.) ปรากฏว่า นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคพลังประชาชน ได้ 68,663 คะแนน , นายประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคพลังประชาชน ได้ 59,796 คะแนน ส่วนนายบัณฑูรย์ เกียรติก้องชัย ผู้สมัคร ส.ส.หมายเลข 3 พรรคชาติไทย ตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยคะแนน 37,246 คะแนน
ทั้งนี้ เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดชัยภูมิ มี ส.ส.ได้ 2 คน มีหน่วยเลือกตั้ง 557 หน่วย ใน 3 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เมือง อ.คอนสวรรค์ และ อ.แก้งคร้อ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 245,081 คน ซึ่งคาดว่าการเลือกตั้งใหม่ครั้งนี้ มีผู้มาใช้สิทธิประมาณ 50 %
จับตาระดมม็อบกดดัน กกต.
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กระทรวงกลาโหม และหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. กล่าวว่า ขณะนี้มีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ รายงานให้คมช. รับทราบว่า แกนนำนักการเมืองระดับชาติในพื้นที่ จ.เชียงราย เตรียมจัดตั้งมวลชนในพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เข้ามาในกรุงเทพฯในวันนี้(18 ม.ค.) เพื่อเคลื่อนไหวกดดันการพิจารณาคดีของ กกต. ซึ่งจะตัดสินคดีที่นาย ยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ทุจริตการเลือกตั้งที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ขณะนี้
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า การเมืองในจ.เชียงราย มีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงเพราะเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ที่มีผลประโยชน์สูง รวมถึงธุรกิจผิดกฎหมายบริเวณแนวชายแดน ดังนั้นนักการเมืองในพื้นที่จึงต่อสู้กันรุนแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ เพราะการได้อำนาจรัฐ จะนำมาสู่การเข้าไปควบคุมองค์กรต่างๆในพื้นที่ และดำเนินการได้ตามที่มุ่งหวัง
"ขณะนี้เขามีความพยายามที่จะออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้อง กดดันให้มีการย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระดับรองผู้บังคับการ จ.เชียงราย และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นทหารออกจากพื้นที่ เพราะเป็นผู้ที่ทำงาน เป็นอุปสรรคต่อความมุ่งหวังในการเข้าไปสู่อำนาจรัฐของเขา"พล.อ.สมเจตน์ กล่าว