“ประพันธ์” ชี้ช่อง ยื่นสอบคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งนายกฯของ “สมัคร” ก่อนส่งศาล รธน.ชี้ขาด พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบคดียุบพรรค มฌ-ชท.ใช้มาตรฐานเดียวกัน พร้อมระบุกรณี 111 อดีต กก.บห.ที่ถูกตัดสิทธิ์ ยุ่งเกี่ยวจัดโผ ครม.ถือเป็นการดำเนินการที่เข้าข่ายผิด กม.
วันนี้ (30 ม.ค.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการการเลือกตั้ง กล่าวภายหลังการประชุมกกต.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาความเห็นของคณะกรรมการด้านกิจการพรรคการเมือง ที่เสนอความเห็นด้านกฎหมายกรณีกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาธิปไตย และ พรรคชาติไทย ถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ว่า พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายตามที่ พ.ร.บ.เลือกตั้ง มาตรา 103 กำหนด และ กกต.ควรเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค และหาก กกต.จะไม่เสนอเรื่องก็ต้องมีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ว่า กรณีดังกล่าวไม่ส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งเป็นโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่ง กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่าเมื่อกฎหมายกำหนดในลักษณะดังกล่าว จึงมีมติให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบ มีหน้าที่รวบรวมหลักฐาน รวมทั้งให้สอบพยานเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ว่า พรรคเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร เพราะในการชั้นการพิจารณาสั่งเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคของ กกต.มีเพียงหลักฐานว่าหัวคะแนนไปกระทำการและมีความเชื่อมโยงถึงผู้สมัครเท่านั้น
ทั้งนี้ คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ประกอบด้วย นายบุญทัน ดอกไธสง เป็นประธานคณะกรมการ พล.ต.อ.มีชัย นุกูลกิจ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ และ นายธนิศร์ ศรีประเทศ เป็นกรรมการ ซึ่ง กกต.ไม่กำหนดเวลาในการสอบแต่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เมื่อถามว่า ก่อนเลือกตั้ง พรรคการเมืองได้ทำหนังสือแจ้ง ให้ผู้สมัครทุกคนไม่ทำผิดกฎหมาย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ความผิดมาถึงพรรค นายประพันธ์ กล่าวว่า คงไม่มีผล เพราะทุกพรรคก็กระทำเช่นนี้ แต่พรรคจะเกี่ยวหรือไม่ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง กรณีนี้ก็เหมือนการออกประกาศของห้างสรรพสินค้าที่ระบุว่า หากรถหายในลานจอดรถเขาจะไม่รับผิดชอบ แต่ถามว่าหากเกิดเหตุดังกล่าวจริง ห้างสรรพสินค้าก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ซึ่งเรื่องการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งตาม มาตรา 103(2) ก็เขียนว่าหัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค มีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยก็ให้ถือว่าพรรคนั้นมีส่วนในการกระทำ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ เป็นเหตุให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการเรื่องยุบพรรค โดยกฎหมายก็เขียนแค่ กรรมการบริหารพรรค ไม่ได้เขียนว่าคณะกรรมการบริหารทั้งหมด ดังนั้นการกระทำของคนเพียงคนเดียวก็เข้าข่ายตามมาตรานี้
“การจะยุบหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลจะดูว่าพฤติกรรมและความร้ายแรงที่เกิดขึ้น พรรคต้องเข้ามารับผิดชอบหรือไม่ ดังนั้น ตอนนี้จึงไม่อยากให้ทั้ง 2 พรรคตีโพยตีพาย ว่า เรามีธงมีเป้าอะไร เพราะกรณีแบบนี้ต่างจากกรณีจ้างพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยในอดีต ซึ่งหากไปดูในคำวินิจฉัยจะเห็นชัดถึงพฤติกรรมที่กระทำเป็นภาพกว้างว่าทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ แต่หากกรณีนี้ไม่ชัดว่าพรรครู้เห็นศาลก็คงวินิจฉัยไปอีกทาง แต่หากพบหลักฐานเช่นมีการโอนเงินจากพรรคไปให้กรรมการบริหารพรรคคนนั้น อย่างนี้ก็ถือว่าชัดเจน”
ส่วนกรณีของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร หาก กกต.เสนอให้ศาลฎีกาพิจารณา และมีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธจริง ก็ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาความผิดที่เกี่ยวกับพรรคในทำนองเดียวกัน แต่ทั้งนี้การจะดำเนินการก็ต้องรอคำตัดสินของศาลฎีกาเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการสอบสวนสำนวนดังกล่าวในการประชุม กกต.ก็ไม่ได้หารือกรณีที่นายยงยุทธ ต้องการให้นำซีดีแปดแผ่นที่เป็นหลักฐานการทุจริตส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานพิจารณา ส่วนตัวคิดว่าควรเป็น ดุพินิจของคณะอนุกรรมการที่มี นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธานมากกว่า
นายประพันธ์ ยังกล่าวถึงกรณีการจัดตั้ง ครม.ที่มีข่าวว่าอดีตกรรมการบริหารพรรค 111 คนเข้ามาเป็นผู้จัดโผ ว่า เรื่องเป็นนอมินี หรือตัวแทนเชิด กกต.ก็มีการตั้งอนุกรรมการสืบสวนอยู่ เมื่อมีข้อมูลลักษณะนี้เกิดขึ้นอนุกรรมการอาจจะนำเรื่องไปประกอบการพิจารณาด้วย แต่ที่เป็นปัญหาคือเมื่อมีการพูดแล้ว พอ กกต.ขอข้อมูลไปหรือขอให้มาเป็นพยาน คนเหล่านั้นก็กลับบอกว่าไม่เกี่ยวเหมือนช่วงก่อนเลือกตั้งที่ปรากฏว่า มีนักการเมืองระดับหัวหน้าพรรคคนหนึ่งออกมาพุดว่ามีการซื้อตัว ส.ส.สูงถึง 40 ล้านบาท กกต.ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปขอข้อมูลเขากลับบอกว่า เป็นเรื่องที่พูดต่อๆ กันมา ดังนั้น ที่ปรากฏข่าวในขณะนี้ ว่า อดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิ์ จัดเลี้ยงและเชิญ ส.ส.ไปคุยเพื่อจัดโผนั้น ก็ต้องมีข้อมูลหรือมีหลักฐานที่ชัดเจนมากกว่านี้ โดยอาจจะต้องหาคนที่ไปร่วมงานเลี้ยง มายืนยันว่า ให้คนนั้นคนนี้ไปดำรงตำแหน่งใน ครม.หากมีหลักฐานขนาดนี้จึงจะถือว่าอดีตกรรมการบริหารพรรคคนนั้นกระทำการในหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค และเข้าข่ายผิดตามาตรา 97 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง
เมื่อถามว่า นายยงยุทธ จะตั้งสภาภาคประชาชน และดึงอดีตกรรมการบริหารพรรคมาเข้าร่วม นายประพันธ์กล่าวว่า ก็ต้องดูว่การเข้ามาช่วยงานการเมืองเป็นลักษณะงานของกรรมการบริหารพรรคที่ระบุไว้ในข้อบังคับพรรคหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ที่ กกต. ตีความว่า ห้ามอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัสิทธิขึ้นเวทีปราศรัย ก็เพราะเราเห็นว่าการปราศรัยเป็นการรณรงค์หาเสียง ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค แต่หากเขาไปทำการในลักษณะให้ความรู้ทางวิชาการ ก็มองว่าสามารถทำได้ หรือการไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของรัฐมนตรี โดยที่ไม่มีชื่อเป็นทางการก็ทำได้
นายประพันธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีผู้จะเสนอยื่นให้ตีความคุณสมบัติการดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช เนื่องจากก่อนหน้านี้ต้องคำพิพากษาจำคุก ว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรค สาม ประกอบ มาตรา 91 และ 92 ที่ระบุเกี่ยวกับความสิ้นสุดลงของการเป็นรัฐมนตรีกำหนดให้ กกต.เป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ดังนั้น หากมีผูมายื่นเรื่องกรณีดังกล่าว กกต.ก็ต้องตั้งคณะอนุกรรมกรขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนที่จะเสนอศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ด้าน นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาความเห็นของสำนักกฎหมายและคดี กกต.กรณีที่ นายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น ขอให้ตรวจสอบกรณี กกต.คนหนึ่งไม่คืนสำนวนทุจริตเลือกตั้งที่จ.เชียงรายจนทำให้สำนวนรั่ว โดยสำนักกฎหมายและคดีเสนอความเห็นว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.ที่จะพิจารณา เพราะนายวีระก็ได้ยื่นผ่านช่องทางดังกล่าว แต่ในส่วนของข้อเท็จจริงกกต.ก็อยากให้มีความกระจ่างว่าสำนวนมีการรั่วจริงหรือไม่ จึงมีมติให้เลขาธิการ กกต.ไปดำเนินการ
ดังนั้น ตนจึงจะตั้งคณะทำงานขึ้นมามีผู้ตรวจการกกต.เป็นประธาน และตัวแทนสำนักกฎหมายเป็นกรรมการ โดยจะสอบย้อนกลับไปว่าต้นตอของข่าวมาจากไหน และจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง รวมถึง พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รองผบ.ตร.สันติบาล และการสอบถามจากกกต.ทั้ง 5 คน และตนที่เข้าร่วมประชุมในวันที่สันติบาลนำสำนวนดังกล่าวมาชี้แจง อย่างไรก็ตาม การรั่วไหลของสำนวนไม่จำเป็นจะต้องเกิดจากการที่มีกกต.คนหนึ่งไม่คืนเอกสาร เพราะโดนข้อเท็จจริงแล้วถ้ามองย้อนกลับไปแล้ว สำนวนทุจริตจังหวัดเชียงรายมีอยู่ทั้งที่กกต.จ.เชียงรายบางส่วน กกต.กลาง และในมือของสันติบาล ซึ่งการสอบสวนไม่ได้กำหนดระยะเวลาแต่จะทำให้เสร็จโดยเร็ว