“รองฯ บัง” เปิดใจผ่าน “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ยันไม่ได้โทร.หา “ทักษิณ” แจงได้คุยโดยบังเอิญผ่านนักธุรกิจที่ไปตีกอล์ฟด้วย และได้ถามสารทุกข์สุกดิบกันสั้นๆ ไม่มีการเจรจาสมานฉันท์ หรือต่อรองการกลับมา ย้ำยึดอำนาจ 19 ก.ย.ไม่ใช่มวยล้มต้มคนดู ยันเป็นคนทำเองต้องรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น ยอมรับเป็นบทเรียนของประเทศ เตือนกองทัพดูให้ดีก่อนคิดทำซ้ำ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 30 มกราคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์เปิดใจในรายการกรณีข่าวที่ว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
พล.อ.สนธิ ยืนยันว่า การคุยโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นไม่มีเรื่องการเมือง ที่ได้คุยกันก็เนื่องจากตนได้ไปตีกอล์ฟกับนักธุรกิจคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันเป็นประจำ และอยู่มาวันหนึ่งขณะนั่งกินข้าวอยู่นั้น ก็มีโทรศัพท์เข้ามาหานักธุรกิจคนนั้น เมื่อคุยกันก็บอกว่ามีคนอยากคุยด้วย ก็ให้ตนรับสาย ก็รู้ว่าเป็นเสียงมาจากทางไกล เมื่อจำเสียงได้ ก็สวัสดีกัน พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวสวัสดีก่อน ตนก็สวัสดีตอบ และถามสารทุกข์สุขดิบกันเล็กน้อย โดยพ.ต.ท.ทักษิณได้ถามเรื่องตีกอล์ฟว่าดีไหม สงสัยต่อไปต้องต่อให้แล้ว ตนก็ตอบไปว่า ไม่ค่อยมีเวลาตีกอล์ฟ เพราะมัวแต่ทำงาน ที่คุยกันมีแค่นี้ เพราะเสียงทางโน้นคงจะเร่งรีบอยู่ จึงได้คุยกันแค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรต่ออีกเลย
พล.อ.สนธิ ยืนยันว่า การคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากคุยครั้งแรกนานมาแล้ว และเคยพูดให้นักข่าวฟังแล้ว
กรณีนี้ถือเป็นการสมานฉันท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่นั้น พล.อ.สนธิกล่าวว่า อยากให้ทุกคนเข้าใจ เราต่างก็เหนื่อยมาเหมือนกัน แต่ละคนก็อยากให้บ้านเมืองเกิดความสงบ แต่ว่า แต่ละคนก็มีวิธีการที่ต่างกัน ตนก็มีกุศโลบายที่ต่างออกไป
“ผมอยู่ในวิกฤติที่มากกว่าทุกคน ผมจะทำอะไรนั้น ชาติต้องมาก่อนตัวเอง จะเกิดอะไร ต้องพร้อมรับปัญหาเสมอ ทุกอย่างที่ผมทำ ก็เพราะต้องการให้เกิดความสงบในบ้านเมืองจริงๆ ไม่งั้นจะทำวันนั้น (19 ก.ย.) ทำไม ผมยังยืนยันในจุดนั้น ของผมไม่ใช่การสมานฉันท์ มันวิธีคิดของแต่ละคน บางคนก็แรงมาแรงไป บางคนก็กลางๆ” พล.อ.สนธิกล่าว
**เหตุผล 4 ข้อบรรลุแล้ว
สำหรับการทำตามเหตุผล 4 ข้อของการยึดอำนาจนั้น พล.อ.สนธิกล่าวว่า ตนมีภาระรับผิดชอบหลังการยึดอำนาจคือการให้มีรัฐบาลชั่วคราว ให้มีรัฐธรรมนูญ แล้วอำนาจก็หมดไปหลังจากมอบอำนาจให้ผู้บริหาร งานที่ยังรับผิดชอบอยู่หลังจากนั้นคืองานความมั่นคงเท่านั้น
พล.อ.สนธิ ชี้แจงว่า การทำตามเหตุผล 4 ข้อนั้น เรื่ององค์กรอิสระ ก็ได้ตั้งใหม่แล้ว เรื่องการสร้างความสมานฉันท์ รัฐบาลก็ตั้งเป็นวาระแห่งชาติ ส่วนการตรวจสอบทุจริต ก็มีการตั้ง คตส.ขึ้นมารับผิดชอบ ส่วนเรื่องหมิ่นฯ ขออนุญาตไม่พูดถึง อย่างไรก็ตามทั้ง 3 ข้อ ก็เป็นไปตามเหตุผลของการปฏิวัติ องค์กรอต่างๆ ก็เห็นอยู่แล้ว
พล.อ.สนธิยืนยันว่า การคุยโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนั้น เกิดขึ้นก่อนที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จะกลับเข้ามาในประเทศไทยนานพอสมควร และไม่ได้เป็นฝ่ายโทรไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคิดว่าการคุยกันครั้งนั้นเป็นอุบัติเหตุ พอดี พ.ต.ท.ทักษิณติดต่อมายังนักธุรกิจคนนั้น แล้วบังเอิญตนนั่งอยู่ด้วย จึงได้คุยโทรศัพท์กัน และการคุยกันก็ไม่เกี่ยวกับที่คุณหญิงพจมานกลับมา
** ปัดยึดอำนาจเป็นมวยล้ม
พล.อ.สนธิย้ำอีกว่า การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ไมได้เป็นมวยล้มต้มคนดู ถ้าเป็นกาตรมคนดู ตนก็ถูกต้มก่อนเพื่อน เพราะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่จะเป็นภาระตีกลับ เพราะฉะนั้นทุกคนที่เคยลำบากยากเข็ญด้วยกันมา ก็ต้องเข้าใจและเห็นใจกัน ตนรับราชการมานาน ถ้าทำอะไรบกพร่อง ก็คงไม่ก้าวมาได้ขนาดนี้ และเมื่อมาถึงตรงนี้ จะทำอะไรยิ่งต้องระวัง ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่กลัวถูกเช็กบิล เพราะไม่ทำอะไรในทางที่ผิด
เมื่อถามว่า ประสบความสำเร็จในการเลือก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า ตนเลือก พล.อ.สุรยุทธ์มา ตอนนั้นประชาชนก็ยอมรับ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน ตนเป็น 1 ใน กรรมการที่เลือก พล.อ.สุรยุทธ์มา เมื่อประกาศออกมาสังคมก็ยอมรับ ส่วนเมื่อเลือกมาแล้วจะเป็นไปตามที่คาดหมายหรือไม่ ประชาชนต้องตัดสิน และวิพากษ์วิจารณ์ ตนจะฟังคำวิจารณ์นั้น รวมทั้งการประเมินผลการรัฐประหารก็เช่นกัน ขอรอการตัดสินของประชาชนว่าจะประเมินอย่างไร คงไม่ประเมินเอง หรือประเมินก็ขอเก็บไว้ในใจดีกว่า
** 19 ก.ย.เป็นบทเรียนประเทศ
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า บทเรียนใน 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่า การทำอะไรในชีวิต มันมีความผิดความถูก ที่ผ่านมา สิ่งที่มันเกิดขึ้น ต้องลองไปทบทวนว่า มันเป็นบทเรียนอันหนึ่งของชีวิตว่าเราควรจะทำต่อไปหรือไม่ ก็ไปวิเคราะห์ว่า 19 ก.ย.นั้น เป็นบทเรียนหนึ่งของประเทศว่าต่อไปควรจะทำอีกหรือไม่ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ รัฐบาลควรบริหารประเทศอย่างไร สิ่งเหล่านี้มันมีค่ากว่าที่เราทำ 3-4 ประการด้วยซ้ำ
พล.อ.สนธิ กล่าวอีกว่า ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าผลจะลงเอยเป็นแบบนี้ ก็คงต้องหาวิถีทางที่ไม่ทำให้เป็นแบบนี้ ถ้าเรารู้ว่า ทำแล้วจะเกิดแบบนี้ ก็คงไม่ทำ คงไปทำอีกแบบ แต่มันก็ไม่ได้ผิดหวังทั้งหมด สิ่งที่ดีก็มีหลายตอย่างก็ต้องยอมรับ
ทั้งนี้ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า รัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ทำอะไรได้ไม่มากนัก เพราะต้องดูทั้งปัจจัยภายในและภายนอกด้วย เพราะบางประเทศก็ยอมรับได้ บางประเทศก็ยอมรับไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลต้องมองปัญหาภายนอก ในฐานะผู้บริหารประเทศ
พล.อ.สนธิ ยังกล่าวฝากไปถึงกองทัพว่า จะต้องเข้าใจปัญหา หากคิดจะทำอะไรอีกครั้ง จะต้องดูกระแสประชาชนให้ดี เงื่อนไขนั้นมันเหมาะสมที่จะดำเนินการหรือไม่ ส่วนประชาชนที่ทำงานร่วมกันมา ก็ต้องให้กำลังใจกัน หากโกรธเคืองจะทำให้ปัญหาสิ่งๆ ต่างๆ เหล่านี้เกิดผลกระทบ ทั้งหมดจะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของคนๆ เดียวไม่ได้ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ส่วน คตส.นั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า แต่ละคนถือเป็นผู้กล้า เสียสละเพื่อบ้านเมือง สามารถทำงานได้เต็มความภาคภูมิ ซึ่งประชาชนจะอยู่ข้างเขา ตนก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะให้กำลังใจ และเห็นใจความเป็นองค์กรอิสระ ไม่มีใครดูแล ถ้าจะดูแลก็หาว่าเข้าไปแทรกแซง จึงทำได้แค่ให้กำลังใจ
พล.อ.สนธิ ย้ำตอนท้ายว่า ที่นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า การที่ พล.อ.สนธิได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณถือเป็นการปูทางไปสู่ความสมาฉันท์เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาได้เร็วขึ้นนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะตนไม่ได้คิดตรงนั้น เพราะการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณมีเรื่องของกฎหมาย คดีความที่วางกันไว้อยู่แล้ว และต้องทำตามนั้น ทั้งนี้ ตนไม่ได้ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เพราะรู้ว่าไม่ควรถาม
** คตส.เริ่มเหนื่อย
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงท่าทีของ คตส.หลังจากมีข่าว พล.อ.สนธิต่อสายคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อปรับความเข้ใจกันว่า นักข่าวได้ถามนายอุดม เฟื่องฟุ้ง 1 ในกรรมการ คตส.ว่ารู้สึกอย่างไร ซึ่งนายอุดมได้บอกว่า ไม่รู้สึกอะไร จะทำหน้าที่ต่อไปโดยไม่รับรู้ว่าคนอื่นจะทำอะไร แต่จะขอทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาพื่อสร้างมาตรฐานให้บ้านเมือง และไม่กลัวการวิ่งเต้นนอกระบบ แต่เมื่อ คตส.สรุปเรื่องส่งให้หน่วยงานอื่นแล้วผลออกมาอย่างไรก็ต้องทำใจ เพราะเป็นสิ่งที่เกินกรอบที่ คตส.จะทำได้ และประชาชนก็ต้องทำใจเช่นกัน ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่านายอุดมพูดคำว่าทำใจหลายครั้ง แสดงว่าคงจะท้อและเหนื่อยอยู่พอสมควร
** กกต.เรื่อยๆ มาเรียงๆ
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงความคืบหน้าการทำงานของ กกต.เรื่องการยุบพรรคชาติไทย ซึ่งนายอภิชาติ สุขคคานนท์ ประธาน กกต.บอดว่ายังไม่ได้พิจารณา รวมทั้งสำนวนทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ด้วยเช่นกัน ซึ่งอนุกรรมการตรวจสอบชุดที่นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ยังไม่ได้มีความเห็นว่าควรจะถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ หรือไม่
ส่วนกรณีที่ ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรคพลังประชาชนขอให้ส่งวีซีดีบันทึกภาพการซื้อเสียงของนายยงยุทธไปตรวจสอบที่กองพิสูจน์หลักฐานก็ยังไม่ได้หารือเช่นกัน แต่เรื่องนี้คงไม่จำเป็นต้องตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ ส่วนข่าวที่ว่ามี กกต.ไปบอกข้อมูลแก่นายยงยุทธว่าภาพในวีซีดีเป็นการจัดฉากนั้น ก็ยังไม่มีการสอบสวน เพราะเป็นการพูดขึ้นมาลอยๆ
ส่วนเรื่องเอกสารสำนวนคดีทุจริตเลือกตั้งที่เชียงรายรั่วนั้น ก็สงสัยอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น และได้มอบหมายให้นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.ไปหาข้อเท็จจริง ตามที่นายวีระ สมความคิด ยื่นคำร้อง แต่ไม่จำเป็นต้องตั้งกรรมการสอบนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนตามที่นายวีระ กล่าวหา
** “นายกฯ หมัก” หลุดตามเคย
ต่อมาผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงนายกสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่า ยังคงหลุดคำพูดเหมือนเดิม หลังจากไปกินข้าวที่ร้านอาหารอิตาลีแห่งหนึ่งก่อนการประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องที่ ป.ป.ช.กำลังตรวจสอบกรณีการจ้างบริษัทเอกชนกำจัดขยะ ก็หลุดคำพูดว่า “มันทุเรศ” และอ้างว่าตรวจสอบมา 3 ปีแล้วไม่เห็นมีอะไร ทำไมต้องทำให้เสียชื่อเสียง ซ้ำยังอ้างว่ามีคำสั่งจากมือที่มองไม่เห็นมาให้จัดการ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายสมัครนั้นมีเดิมพันตำแหน่งกับคดีที่ติดตัวมาหลายคดี ทั้งคดีรถดับเพลิง คดีกำจัดขยะ ปัญหาคุณสมบัติเป็นนายกฯ ขณะที่นายสมัครเป็นคนที่มีความภูมิใจในตัวเอง เคยเขียนในหนังสือ “การเมืองเรื่องตัณหา” ว่า ตอนคลอดนั้นต่างจากคนอื่นเพราะเอาเท้าออกมาก่อน หมอทำนายว่าวันหน้าจะได้ช่วยครอบครัว ช่วยวงศ์ตระกูล และช่วยบ้านช่วยเมืองด้วย ซึ่งนายสมัครขณะนี้อายุ 73 ปีแล้ว แต่ในบั้นปลายของชีวิตยังทำอะไรได้อีกพอสมควร ก็หวังว่านายสมัครจะเป็นตัวของตัวเอง เป็นนายกฯ ที่ตัดสินใจได้เอง ไม่ได้เป็นนายกฯ หัวหลักหัวตอที่เขามองข้ามไปมา สิ่งที่นายสมัครภูมิใจที่ตอนเกิดเอาเท้าออกมาก่อนน่าจะรักษาเอาไว้
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )