“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ปลุก กกต.ลืมตาตื่นสอบ “นอมินี” หลัง ส.ส.บินขอตำแหน่งที่ฮ่องกงเป็นว่าเล่น พร้อมเผย 3 ปัญหาวิกฤติรอเผชิญหน้า “หมัก” ทั้งเรื่องเศรษฐกิจรากหญ้า-ราคาน้ำมัน-พิษซับไพรม์, ปัญหาไฟใต้ อึ้ง! ว่าที่นายกฯ เคยเป็นพีอาร์สถานทูตยิว ขณะปัญหาการเมืองจะรุมเร้า ต้องปูนบำเหน็จให้ลิ่วล้อทักษิณ และต้องรีบเตรียมการโยกย้าย รอนายใหญ่กลับ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 28 มกราคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงบรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี โดยตั้งข้อสังเกตถึงการขานชื่อเลือกนายสมัคร สุนทรเวช ของคนในตระกูลศิลปอาชา นายเสนาะ เทียนทอง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ นพ.แวมาฮาดี แวดาโอะ รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งคนเหล่านี้เคยบอกว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน
โดยนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยนั้น จะมีลีลา ให้ช่างภาพถ่ายภาพก่อนขานชื่อนายสมัคร สุนทรเวช ขณะที่ น.ส.กัญจนา และนายวราวุธ ศิลปอาชา ได้รีบพูดให้เสร็จๆ ไป
ส่วน นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราชนั้น เมื่อขานชื่อนายสมัครทำให้นึกถึงวัดพระแก้วที่นายเสนาะเคยสาบานไว้
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวโจมตีหัวหน้าพรรคชาติไทยของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โดยมองว่านายชูวิทย์กำลังได้ใจคนกรุงเทพฯ สามารถจับกระแสคนกรุงเทพฯ ที่ไม่เอาพรรคพลังประชาชน และไม่เห็นด้วยกับท่าทีของนายบรรหาร ดังนั้นเชื่อว่า ด้วยกระแสเช่นนี้จะทำให้พรรคพลังประชาชนทำงานลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของการบริหารประเทศ
**ปลุก กกต.สอบนอมินี หลัง ส.ส.บินขอตำแหน่งฮ่องกง
ผู้ดำเนินรายการ ยังกล่าวถึงการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคพลังประชาชน โดยกล่าวว่า ถึงแม้นายสมัคร จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่มีอำนาจในการจัดสรรคณะรัฐมนตรีได้ตามอำเภอใจ คนที่มีสิทธิ์มีเสียงจัดสรรกลับกลายเป็นนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทั้งสองถือเป็นบุคคลแนวหน้าที่สามารถต่อสายตรงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ยังหนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศ นี่ยังไม่รวมไปถึงการบินไปขอตำแหน่งที่ฮ่องกงของ ส.ส.คนอื่นอีก แล้วอย่างนี้เป็นนอมินีชัดเจนหรือไม่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เข้ามาตรวจสอบ อย่าละเลยทั้งที่เห็นๆ กันอยู่อย่างนี้
อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่าตำแหน่งนายรัฐมนตรี เป็นรางวัลชิ้นใหญ่ที่เฝ้ารอคอยครั้งหนึ่งของนายสมัคร แต่ก้าวที่สำคัญอย่างนี้ นายสมัคร ต้องพิสูจน์ตัวเอง ปัญหาข้างหน้าของประเทศมีเดิมพัน
อดีตเมื่อครั้งที่นายสมัคร เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพฯ นั้น ก็ไม่ได้ทำอะไรให้เราเห็นถึงความคิดเชิงภาพรวมในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นอะไรที่เป็นวิกฤติที่ท้าทาย นายสมัคร ต้องพิสูจน์
** “ยงยุทธ” ประธานฯ ก๊องแก๊ง
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงการทำหน้าที่ประธานของนายยุงยุทธ ติยะไพรัช ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีว่า การทำหน้าที่ครั้งแรกของนายยงยุทธ ยังพยายามประนีประนอม และออกอาการเกร็งๆ เนื่องจากกลัวว่าอีกฝ่ายจะต่อว่าได้ รวมทั้งนายยงยุทธยังพยายามทำให้ดูเหมือนประธานสภาฯ ในอดีตที่ดูนิ่งขรึม อย่างไรก็ตามเมื่อดูท่านั่งของนายยงยุทธแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังดูก๊องแก๊ง เมื่อเทียบกับประธานสภาคนอื่นๆ อย่างนายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หรือนายอุทัย พิมพ์ใจชน อย่างไรก็ตาม ต่อไปเมื่อคุ้นเคยแล้ว การทำหน้าที่ของนายยงยุทธจะออกมาอย่างไรต้องติดตาม
**3 ปัญหาวิกฤตรอท้าทาย “สมัคร”
สำหรับนายสมัคร สุนทรเวช ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ยังมีปัญหาหลายประการที่รอเผชิญหน้าอยู่ ปัญหาแรก คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งในระดับรากหญ้า ซึ่งพรรคพลังประชาชนจะใช้นดยบายประชานิยมเข้ามาแก้และต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล
นอกจากนั้นยังมีมีวิกฤตที่เกี่ยวโยงกับต่างประเทศ ได้แก้ราคาน้ำมันที่ขึ้นสูงถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐฯ ที่ลามไปถึงสถาบันการเงิน นายสมัครจะทำอย่างไรเพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่ผันผวน และที่เงินไหลเข้ามาจะแก้ไขปัญหาอย่างไร และจะสร้างความมั่นใจในประเทศไทยให้กับนักลงทุนต่างประเทศอย่างไร
ปัญหาที่ 2 ที่นายสมัครต้องเผชิญ คือ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแนวทางของนายสมัครนั้นคล้ายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ คือชอบใช้มาตรการรุนแรง นายสมัครจะใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหาภาคใต้หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวมีหลายมิติและเกี่ยวโยงถึงต่างประเทศ นายสมัครจะแก้ไขได้หรือไม่
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า หลายครั้งนายสมัครแสดงความคิดเห็นในเชิงไม่เห็นด้วยกับภาคประชาชน และตอบโต้อย่างรุนแรง ไม่นับถึงประวัติของนายสมัครที่หลายคนไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรกับโลกมุสลิม เพราะนายสมัครเคยเป็นประชาสัมพันธ์สถานทูตอิสราเอลเป็นเวลา 2 ปี ช่วงปี 2514-2516 ประเด็นนี้ จะทำให้ปัญหาวิกฤติขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
ปัญหาที่ 3 ที่นายสมัครต้องเผชิญ คือ ปัญหาทางการเมือง การที่พรรคพลังประชาชนไม่ยี่หระในการตั้งนายยุงยุทธเป็นประธานสภา ตั้ง พ.อ.อภิวันท์ วิรยะชัย เป็นรองประธานสภาฯ รวมถึงการให้นายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี และให้คนที่เคยต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นรัฐมนตรี ทำให้เกิดคำถามถึงความเหมาะสม เพราะเป็นการตั้งเพื่อให้บำเหน็จคนเหล่านั้นมากกว่า
คนที่เคยด่าทอ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กำลังได้ดิบได้ดี จนมีบางคนประชดว่า นพ.เหวง โตจิราการ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ หรือนางประทีป อึ้งทรงธรรม อาจจะได้เป็นรัฐมนตรีด้วย ถ้าการตั้งรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นการคิดในเชิงเอาชนะคะคาน
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ปัญหาทางการเมือวงจะลุกลามมากขึ้น ถ้านนายสมัครยอมโอนอ่อนผ่อนปรนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ทำตามความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณในการปูนบำเหน็จคนที่เคยต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ปัญหาจะมีมากชึ้น ความขัดแย้งวุ่นวายจะมีมากขึ้น ขณะที่นายสมัครเองไม่สามารถคุมอำนาจรัฐได้ดีเท่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ และยังจะต้องเผชิญกับปัญหามวลชนอีก
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า เป้าหมายของพรรคพลังประชาชนภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นมีความต้องการจะแยกสลายกลุ่มที่เคยต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ รวมไปถึงทหาร พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้แต่สื่ออย่างเอเอสทีวี
พรรคพลังประชาชนยังมีแนวคิดจะชุบชีวิตพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ด้วยการนิรโทษกรรมให้กับอดีตกรรมการบริหารพรรค 111 คน ยกเลิก คตส. รวมทั้งอาจจะมีแนวคิดยุบพรรคเล็กที่กระจัดกระจายกันอยู่มาควบรวมเป็นพรรคใหญ่เหมือนที่พรรคไทยรักไทยเคยทำมาก่อน ขณะที่พรรคมัชฌิมาธิปไตยกับพรรคชาติไทยที่อาจจะถูก กกต.สั่งยุบนั้น หากถูกยุบจริงก็จะมาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
นอกจากนั้น อาจมีการโยกย้ายนายทหารครั้งใหญ่เพื่อจัดการกองทัพให้เรียบร้อย ตามด้วยการจัดการกับตำรวจ อัยการ ไปจนถึงข้าราชการทุกส่วนให้หันมาสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเตรียมการ หากมีการยุบสภาเมื่อไหร่เขาจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม จึงไม่แปลกที่ ร.ต.ท.เชาวิน ลัทธศักดิ์ศิริ ประกาศว่าจะรื้อกฎหมายที่ออกมาโดย สนช. เพราะฉะนั้น แม้แต่กฎหมาย สตง. กฎหมาย ป.ช.ช.ก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็นรูปแบบเดิม สิ่งเหล่านี้ พวกเขารู้ว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่นาน เขาจะรีบทำให้เร็ว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกลับมาใหม่
“เขาจะเร่งทำสิ่งเหล่านี้ แล้วจะกลับมาเป็นตัวทำลายตัวเขาเอง จะเห็นได้ว่าการจัดสรรตำแหน่งใน ครม.มีแต่ความวุ่นวาย จนขณะนี้ยังต่อรองกันไม่จบ แม้แต่ในพรรคพลังประชาชนเอง ซึ่งไม่เคยมีแรงกระเพื่อมขนาดนี้มาก่อนเมื่อสมัยยังเป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งความคลอนแคลนมันเกิดจากการเหิมเกริมของพวกเขาเอง”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า มีนักวิชาการบางคนมองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้มีเดิมพันสูงถึงการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจของประเทศ แต่จะเปลี่ยนไปทางไหน ขึ้นอยู่กับขบวนการการที่เหลือ สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพราะ ประการที่1.ฝ่ายทหารปรามาสระบอบทักษิณมากเกินไป จนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แนวคิดเรื่องการเอาศัตรูมาเป็นมิตร ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล
ประการที่ 2 เป็นเพราะฝ่ายอมาตยาธิปไตย ที่คิดด่าไม่ต้องทำอะไร แค่จัดเลือกตั้งใหม่ให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นแกนหลักในการจัดตั้งรัฐบาลเรื่องก็จบ ซึ่งผลสุดท้ายก็ล้มเหลว ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีอำนาจรัฐในมือยังกลับเข้ามาได้มากขนาดนี้ ก็ต้องถือว่าทั้ง คมช.และอมาตยาธิปไตยรู้ไม่เท่าทันระบบทักษิณ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ต้องรับปรงตัว จะยึดวัฒนธรรมเดิมๆ ไม่ได้ ต้องมีแนวคิดในการได้ใจกับประชาชนให้มากขึ้น จะต้องเลิกอคติ ยึดติดแต่พื้นที่เดิมๆ ใน กทม.และภาคใต้ แล้วทิ้งภาคอื่นไม่ได้
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )