“สุริยะใส” ลั่นรัฐบาล “หมัก” ต้องปลอดภาพลักษ์ต่างตอบแทนนอมินี “ทักษิณ” ย้ำต้องไม่เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและจัดระเบียบกองทัพ เชื่อรัฐบาล “พลังแม้ว” อยู่ได้ไม่นานแน่ พร้อมขวาง “น้องเขยแม้ว” นั่ง รมว.ยุติธรรม หวั่นฟอกผิดให้พี่เมีย วอนทุกภาคส่วนช่วยกันตรวจสอบ เผยพรรค ควม.แจ้งศาลฎีกาไต่สวนฉุกเฉิน กกต.ใช้อำนาจคุมเลือกตั้งไม่ยุติธรรม หวั่นเลือกตั้งโมฆะซ้ำรอย 2 เม.ย 48
วันนี้ (20 ม.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการ ครป.แถลงว่า ถึงกรณีการจัดตั้งรัฐบาลร่วมของ 6 พรรคการเมืองว่า ครป.เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ 6 พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันจนเป็นผลสำเร็จ แม้จะเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยของสังคมต่อข่าวคาวการต่อรอง การซื้อพรรค และการจัดสรรผลประโยชน์ โควตารัฐมนตรีก็ตาม ก็ถือเป็นหน้าที่ของว่าที่คณะรัฐบาลชุดใหม่จะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจต่อสังคม เพื่อสร้างความมั่นใจว่า 6 พรรคการเมืองถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นตัวตั้งไม่ใช่เป็นเพียงการต่อรองผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองเท่านั้น ทั้งนี้ รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเร่งแสวงหาความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนเพื่อระดมองค์ความรู้ ภูมิปัญญาและพลังแผ่นดินของคนไทยทั้งประเทศร่วมกันฝ่าฟันวิกฤติของบ้านเมืองที่รออยู่เบื้องหน้าหลายประการโดยเฉพาะปัญหาเร่งด่วน เช่น การสร้างความสมานฉันท์ ปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ ปัญหาความยากจน ปัญหาความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น จะต้องไม่แบ่งแยกประชาชนเป็นฝักฝ่ายหรือเลือกแก้ปัญหาเฉพาะพื้นที่ฐานคะแนนเสียงทางการเมืองหรือหลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองเหมือนที่ผ่านๆ มา
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า โฉมหน้ารัฐมนตรีร่วมรัฐบาลชุดนี้จะต้องปลอดจากภาพลักษณ์ต่างตอบแทน หรือลิ่วล้อนอมินีทางการเมืองให้มากที่สุด เพื่อลดความหวดระแวงและความไม่ไว้วางใจจากประชาชน โดยเฉพาะ รมว.ว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงยุติธรรม จะต้องทำให้สังคมมั่นใจว่ารัฐบาลใหม่จะไม่เข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือจัดระเบียบกองทัพเพื่อค้ำอำนาจรัฐบาล และว่าที่ผู้นำของประเทศจะต้องไม่ทำตัวเป็นเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกเผชิญหน้าในสังคม โดยเฉพาะตัวตนและบุคคลิกของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พปช.) ว่าที่นายกรัฐนตรีจะต้องปรับตัว และรับฟังความเห็นที่แตกต่างของประชาชน พร้อมรับการตรวจสอบจากสื่อมวลชน นายสมัครจะต้องพร้อมเป็นนอมินีหรือตัวแทนของประชาชนคนไทยทั้ง 63 ล้านคน ไม่ใช่เป็นนอมินีของคนเพียงคนเดียว นอกจากนี้ ความไม่ชัดเจนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่าจะเป็นใคร ส่งผลให้สังคมอาจหวาดระแวงและสงสัยว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลชุดใหม่
เลขาธิการ ครป.กล่าวว่า สำหรับกรณีของพรรคการเมืองขนาดเล็กหลายพรรคที่หัวหน้าพรรคยอมละทิ้งสัจจะวาจาเพื่อแลกกับอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองนั้น วันนี้ต้องยอมรับความจริงว่าคนเหล่านั้นได้ตกเป็นจำเลยทางการเมืองไปแล้ว จึงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการใช้โอกาสในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลไถ่บาปด้วยการเร่งพิสูจน์ผลงานและเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอย่างมีศักดิ์ศรีด้วยการกล้าทักท้วงหรือขัดขวางการครอบงำจากพรรคขนาดใหญ่ที่อาจนำพารัฐบาลออกนอกลู่นอกทาง
“รัฐบาลชุดใหม่จะต้องยึดเอาปัญหาของประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่มุ่งมั่นสนองผลประโยชน์หรือตัณหาทางการเมืองของคนเพียงคนเดียว ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลนี้เสียโอกาสที่จะได้พิสูจน์ฝีมือของตัวเองในการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ ซึ่งเท่ากับเป็นการบิดเบือนสัญญาประชาคมตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้กับประชาชนในช่วงเลือกตั้งด้วย และจะต้องถือบทเรียนจากรัฐบาลสมัยท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลงผิดว่าเสถียรภาพของรัฐบาลคือเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา จึงทำทุกวิถีทางเพื่อทอนพลังการถ่วงดุลตรวจสอบองค์กรอิสระต่างๆ จนเกิดอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือรัฐสภาส่งผลให้เกิดสภาวะอำนาจเดี่ยวเด็ดขาด” เลขาธิการ ครป. กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวต่อกว่า ครป.จึงขอเรียกร้องให้สังคมทุกภาคส่วนตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเข้มข้น ตามแนวทางรัฐธรรมนูญ เพื่อขจัดปัญหาวาระซ่อนเร้นหรือร่วมกันขัดขวางความพยายามของรัฐบาลที่อาจใช้อำนาจไปในทางมิชอบ ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อคนคนเดียว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน จะได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสุริยะใส กล่าวว่า เป็นจุดที่น่าสังเกต โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถ้าหากจะลดความระแวงในสังคมจะต้องให้คนนอกเข้ามารับตำแหน่งทั้ง 2 ตำแหน่ง ซึ่งต่อไปจะเป็นการพิสูจน์ตัวเองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะเข้ามาเข้าสู่ขบวนการยุตฺธรรมหรือไม่ หรือเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต่อไปอาจทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมได้
“หรือแม้แต่กระทรวงที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจก็ตาม จะต้องปลอดจากปัญหาประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมือง และปลอดจากนายทุนขนาดใหญี่ ซึ่งก็เป็นที่รู้ดีว่ากลุ่มทุนขนาใหญ่เหล่านี้เคยสนับสนุนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา” นายสุริยะใส กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสมัครระบุว่าเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะแก้รัฐธรรมนูญ นายสุริยะใส กล่าวว่า เกรงว่านายสมัครจะแก้ในเรื่องการนิรโทษกรรมกรรมการการบริหารพรรค 111 คน แต่หากแก้เช่นนั้นได้เป็นการทำให้พรรคอยู่เหนือเอกสิทธิ์ของ ส.ส. แต่อย่าลืมว่า ส.ส.หรือ ส.ว.สามารถเป็นอิสระในการโหวตเรื่องต่างๆ ในสภาได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการวิเคราะห์หรือไม่ว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่นาน นายสุริยะใส กล่าวว่า ตนคิดว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่นาน และข้อนี้อาจจะมีจุดพลิกผันก็ได้ เพราะกฎหมายบอกว่านายกฯจะต้องไม่เป็นคนที่ต้องโทษทางอาญา แต่นายสมัครเคยต้องคำพิพากษาจากศาลอาญาให้ต้องโทษจำคุก 3 เดือน ในคดีหมิ่นนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ได้เคยฟ้องร้องเอาไว้ เป็นผลให้มีนักกฎหมายได้แสดงความเห็นแตกกันออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเห็นว่า นายสมัครสามารถเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนอีกกลุ่มเห็นว่า ขาดคุณสมบัติ ซึ่งต่อไปถ้ามี ส.ส.หรือ ส.ว. ร่วมเข้าชื่อเสนอให้ทางศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัตินายสมัคร ตามมาตรา 91 แล้วมีผลการวินิจฉัยออกมา ดังนั้น เรื่องดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวลเป็นอย่างมากต่อผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ทราบข่าวมาว่ามีสมาชิกพรรคความหวังใหม่ ไปร้องศาลฏีกาแผนกเลือกตั้งให้ไต่สวนฉุกเฉินว่า กกต.ใช้อำนาจหน้าที่ในการดูแลการเลือกตั้งไม่เกิดความยุติธรรม ซึ่งตนก็ทราบมาว่าทางผู้ร้องมีพยานหลักบานหนักแน่นเพียงพอเหมือน หากเที่ยวนี้ศาลฎีกา มีการไต่สวนคำร้องดังกล่าว อาจทำให้การจัดตั้งรัฐบาลมีปัญหาตามมา ซึ่งถ้าศาลไต่สวนพบว่า กกต.เลือกตั้งไม่เป็นธรรมจริงอาจจะกลายเป็นการเลือกตั้งโมฆะได้ ถ้าหากศาลฎีกาวินิจฉัยคดีเหมือนศาลชุดที่แล้วว่าเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2548 เป็นโมฆะ