“วีระ สมความคิด” บุก กกต.ยื่นหนังสือให้สอบสวน “สมชัย จึงประเสริฐ” ฐานมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าทำสำนวนทุจริตการเลือกตั้งรั่วไหลไปถึง “ยุทธ ตู้เย็น” ขณะเดียวกันจะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบสวนอีกทางหนึ่งด้วย
วันนี้ (10 ม.ค.) นา วีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น(คปต.) ได้เข้ายื่นหนังสือต่อกกต.ขอให้ตรวจสอบกรณีน่าเชื่อว่านาย สมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยนำสำเนาเอกสารลับไปเปิดเผยให้บุคคลภายนอกรับทราบจนเกิดความเสียหายต่อกกต. นายวีระ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวพล.ต.ต. ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้เปิดเผยต่อสื่อว่า การเข้ารายงาน การทุจริตการเลือกตั้งจ.เชียงรายต่อกกต.นั้น พล.ต.ต.ชัยยะได้ขอร้องต่อที่ประชุมว่าการพิจารณาสำนวนดังกล่าวขอให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุมทั้งหมด เหลือเพียง กกต. 5 คน และเลขาธิการกกต. เท่านั้น ก่อนที่จะแจกสำเนาสำนวนการสอบสวนจำนวน 6 ชุดให้กับกกต. 5 คน เลขาธิการกกต. ภายหลังการชี้แจง กกต.เห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีมูลพอแจ้งข้อกล่าวหาได้ จึงได้ขอเก็บสำเนาสำนวนการสอบสวนจากทุกคน เหลือเพียงนายสมชัย ที่ไม่ยอมคืนให้และได้นำเอกสารดังกล่าวออกไปจากห้องประชุม
“ดังนั้น ผู้ที่มีเอกสารลับดังกล่าวซึ่งสามารถจะนำไปเผยแพร่ต่อบุคคลภายนอกได้หรืออยู่ในข่ายที่ต้องสงสัยจึงมีเพียงพล.ต.ต.ชัยยะ และนายสมชัย เท่านั้น สำหรับพล.ต.ต.ชัยยะ ไม่ปรากฎพฤติการณ์ให้เชื่อได้ว่าเป็นผู้นำเอกสารดังกล่าวออกไปเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก เพราะได้พยายามขอคืนสำเนาเอกสารดังกล่าว และพยายามที่จะปกปิดรายละเอียดของเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี รวมทั้งตัวพล.ต.ต.ชัยยะย่อมจะทราบดีว่าตัวเองกำลังตรวจสอบการทุจริตเลือกตั้งในคดีสำคัญอย่างยิ่งที่สามารถทำให้เกิดการยุบพรรคพลังประชาชนได้ในจนที่สุด แต่สำหรับนายสมชัย จากพฤติกรรมที่ที่มีข่าวไม่คืนเอกสารให้เจ้าพนักงานสอบสวนความมติกกต. จงทำให้เป็นที่สงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้ที่ทำให้เอกสารลับดังกล่าวรั่วไหวสู่สาธารณชนก่อนที่ผู้ถูกล่าวหาจะเข้าชี้แจง ดังนั้นกกต.จึงต้องสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงว่าและดำเนินการลงโทษตามกฎหมาย”
เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดมาตรา 29 พ.ร.บ.กกต. ที่บัญญัติห้ามมิให้กกต.เจ้าหน้าที่กกต. กระทำการมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณ หรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง หรือการะทำการหรือละเว้นกระทำการโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้ง รวมทั้งยังเข้าข่ายป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่กำหนดว่าการปฏิบัตหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 พันถึง 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“เรื่องนี้ถือเป็นการท้าทายกฎหมายบ้านเมือง ทำให้เกิดความเสียหายต่อกกต.อย่างร้ายแรง”นายวีระกล่าวและว่าหากผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของกกต. จะทำให้สาธารณชนเคลือบแคลงสงสัย”
นายวีระ ยังกล่าวถึงกรณียื่นขอให้กกต.ตรวจสอบการแจกจ่ายวีซีดีของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคในการเลือกตั้ง ว่าเข้าข่ายเป็นความผิดที่สามารถยุบพรรคพลังประชาชน ว่า ทราบว่าคณะอนุกรรมการที่ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวมีความพยายามทำให้หลักฐานที่ตนยื่นไปอ่อนลง มีการถามถึงสิ่งที่ไม่ควรถามหลายเรื่องเช่น ให้ตนอธิบายว่าเหตุใดจึงต้องยุบพรรคพลังประชาชน หรือถามว่ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ผลิตวีซีดีชุดนี้ ซึ่งรู้สึกว่าไม่ใช่คำถามที่กรรมการต้องมาถามตน เพราะหน้าที่ของคณะอนุกรรมการคือตรวจสอบว่าหลักฐานที่ยื่นให้ว่า คนที่ปรากฏอยู่ในวีซีดี เกี่ยวข้องอะไรกับผู้สมัครของพรรคพลังประชาชน ซึ่งหากไม่เกี่ยวข้องกันแล้วนำไปแจกได้อย่างไร และคนที่แจกมีความผิดหรือไม่
“จากที่เคยชี้แจงคณะอนุกรรมการอยู่หลายครั้ง สิ่งที่รู้สึกได้ คือมีความพยายามทำให้หลักฐานของผมอ่อน และไม่ค่อยสนใจการชี้แจงของผม เหมือนผมถูกกลั่นแกล้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อนุกรรมการเรียกผมชี้แจงนานเกือบ10 ชั่วโมง ซึ่งผมก็ได้พยายามชี้แจงเต็มที่ ผมรู้ว่ามีหนึ่งในกรรมการชุนี้เคยพิจารณาสำนวนเรื่องแม่ยายของ พ.ต.ท.ทักษิณแจกเสื้อให้กับกลุ่มคนรักทักษิณที่มาชุมนุม และทำให้สำนวนนั้นพ้นข้อกล่าวหาไปได้ แต่ผมก็ยังจะให้โอกาสอนุกรรมการชุดนี้พิจารณา และยืนยันว่าจะไม่ขอให้เปลี่ยนตัว แต่หากคณะอนุกรรมการยกคำร้อง ผมก็จะดำเนินการ กับคณะอนุกรรมการชุดนี้ให้ถึงที่สุดและจะฟ้องร้องผ่านสื่อด้วย”
ผู้สื่อข่าวรายงานขณะที่กกต.กำลังจะประชุมในช่วงเช้าวานนี้ (10) ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนฯ ซึ่งกำลังจะเข้าห้องประชุม เห็นผู้สื่อข่าวจึงได้เดินเข้ามา ทำให้บรรดาช่างภาพทีวีที่รอทำข่าวอยู่กรูเข้าไปเพื่อจะสัมภาษณ์ แต่นายสมชัย กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า เป็นการทำความเข้าใจกัน ขอไม่ให้ทีวีถ่าย พร้อมกับระบุว่า อยากรู้เรื่องอะไร เรื่องสำนวนใช่มั้ย เรื่องนี้ตนต้องขอชี้แจงว่า ความจริงคนที่จะต้องเก็บเอกสารนั้นจะต้องเป็นสำนักงานกกต. เป็นผู้เก็บสำนวนไว้เท่านั้น โดยปกติเจ้าหน้าที่กกต.จะต้องเป็นผู้นำสำนวนเสนอต่อกกต.ให้วินิจฉัย คนอื่นที่เป็นสันติบาลไม่มีหน้าที่เก็บสำนวน
“ การพิจารณาของกกต.เราจะฟังแค่ลมปากของคนที่มาพรีเซ็นต์ไม่ได้ เราต้องเก็บสำนวนไว้ดูและตรวจสอบให้ละเอียดและโดยปกติคนที่มายื่นเรื่องคัดค้าน จะต้องถ่ายเอกสารสำนวนนั้นให้กับกกต.ทุกคนเก็บสำเนาไว้ ไม่ใช่นำมาเสนอแล้วหอบกลับไป ไม่เคยมีกรณีอย่างนี้มาก่อน ส่วนที่มีการบอกว่าสำนวนรั่วก็ต้องไปดูว่ารั่วจากตรงไหน อย่าเพียงแค่กล่าวหา “นายสมชัยกล่าว
จากนั้นผู้สื่อข่าวก็พยายามจะสอบถามต่อ นายสมชัยก็กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า ไม่ต้องถามแล้ว พูดแค่นี้ก็ดังแล้ว จากนั้นนายสมชัยได้เดินเข้าไปห้องประชุม และกล่าวกับเจ้าหน้าที่สอบสวนที่เตรียมจะเข้าชี้แจงในที่ประชุมกกต.ว่า หน้าที่เก็บสำนวนทั้งหมดต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของกกต.ใช่มั้ย ซึ่งเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวที่ต่อมาทราบว่า คือพ.ต.ท. เทวราช เอื้อวงศ์ประเสริฐ พนักงานสอบสวนจ.อำนาจเจริญ ก็กล่าวว่า ครับ นายสมชัยจึงได้ให้พ.ต.ท.เทวราชมายืนยันกับสื่อมวลชนถึงกระบวนการการนำสำนวนเข้าชี้แจงกับกกต โดยพ.ต.ท.เทวราชกล่าวว่า ปกติแล้วเมื่อนำสำนวนคำร้องคัดค้านทุจริตมาให้กกต. กลาง ทางพนักงานสอบสวนที่นำสำนวนมาชี้แจงไม่มีหน้าที่จะต้องเก็บสำนวนฉบับสมบูรณ์ไว้ เว้นแต่กกต.มีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม จึงจะนำกลับไปได้ แต่ก็ต้องมีการทำสำเนา สำนวนไว้ให้กับกกต.ทุกคนเก็บไว้ทั้งหมด