กองทัพชี้ กัมพูชารบตลอดแนว เนิน 350 ยุทธภูมิสําคัญ ปราสาทตาควายสู้รบไม่จบ ยังเข้มข้น ยังหวังช่วงชิงตีพื้นที่ ส่วน สระแก้วโดนหนัก บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว และ จ.ตราด
วันที่ 17 ธ.ค. 68 เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก พลเรือตรี สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า สําหรับไทม์ไลน์สถานการณ์ที่ผ่านมา กัมพูชายังคงเปิดการปะทะต่อเนื่องตลอดแนว ระดมอาวุธยิงสนับสนุนต่างๆ เข้าไปยังฝั่งไทย โดยเฉพาะพื้นที่ช่องอานม้า ซึ่งเราได้ผลักดันและประสบความสําเร็จป้องกันการรุกราน
นอกจากนี้ กัมพูชายังถล่มเนิน 350 บริเวณพื้นที่ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งทําให้กําลังพลเสียชีวิต 2 นาย แต่เรายังสามารถปกป้องพื้นที่ มีการปฏิบัติการที่มีนัยสําคัญ
ในส่วนของบ้านหนองหญ้าแก้ว-บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว พื้นที่กองกําลังบูรพา กองทัพภาคที่ 1 ยังมีการปะทะต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา กัมพูชาระดมยิงอาวุธหนักเข้ามาในพื้นที่ แต่เราสามารถค้ำยันพื้นที่และผลักดันออกไป
นอกจากนี้ ใน จ.ตราด แม้ได้ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวในพื้นที่ไปแล้วเนื่องจากสถานการณ์เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เราพยายามลดผลกระทบต่อประชาชนให้มากที่สุด แต่ช่วงค่ำที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชายังระดมการยิงต่อเนื่องตลอดแนว จังหวัดตราดยังได้รับผลกระทบ และต้องชื่นชมกองทัพเรือที่ยังรับมือกับการรุกรานของกองทัพกัมพูชาได้มีประสิทธิภาพ
พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงเพิ่มเติมถึงความยากในการสถาปนาพื้นที่ความมั่นคงปราสาทตาควายว่า ด้วยสภาพพื้นที่การรบมีความยากลําบาก เนื่องจากมีพื้นที่สูง เนิน 350 ที่ทหารกัมพูชายึดเอาไว้ก่อนหน้านี้ และทำเป็นที่มั่นแข็งแรง การที่ทหารไทยจะยึดประสาทตาควายได้นั้น เนิน 350 เป็นจุดยุทธภูมิสําคัญ ตอนนี้ในบริเวณดังกล่าวสู้รบอย่างหนักเป็นพื้นที่ช่วงชิงอยู่ในระหว่างการปฏิบัติการ ส่งผลให้ทหารสละชีพ 2 นาย ตามที่เป็นข่าว
ส่วนการนำร่างทหารสละชีพออกจากพื้นที่ กองทัพภาคที่ 2 กําลังตรวจสอบ ต้องเรียนว่าด้วยความยากลําบาก สถานการณ์การรบในบริเวณนั้นยังไม่จบ กําลังเข้มข้น พร้อมปฏิเสธกรณีทหารไทยถูกจับกุมว่าไม่มีการได้รับรายงานเข้ามา
พันเอก ริชฌาย้ำว่า การรบที่ยืดเยื้อ ยืนยันว่าฝ่ายไทยทำเพื่อการป้องกันตนเองบนพื้นฐานการโจมตีเข้ามา เราไม่ได้เป็นฝ่ายรุกเข้าไป เพราะฉะนั้นการรบยืดเยื้อหากกัมพูชายังมีการโจมตีเข้ามา ฝ่ายไทยต้องป้องกันตนเอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ พื้นที่ที่เราต้องยึดคืน ซึ่งเป็นอธิปไตยของไทยเอง เพราะทําให้กัมพูชาได้เปรียบเข้ามาโจมตีไม่เพียงแต่ทหารที่ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิต ยังครอบคลุมถึงประชาชน หากยังโจมตีเข้ามาเราก็ต้องป้องกันตัวเอง
ส่วนขีปนาวุธที่ยึดได้ นํามาใช้ประโยชน์ของเรา ส่วนรายละเอียดเชื่อว่าเราต้องทําให้เป็นประโยชน์ที่สุด
พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวต่อว่า มีกระบวนการมีขั้นตอนการดําเนินการอยู่แล้ว ให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการ เราอาจไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ได้ เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง
ด้าน นายภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้แจงเรื่องการใช้กําลังป้องกันตัวเอง มีหลายระดับ ทั้งระดับบุคคล นายทหาร สามารถดําเนินการได้ ตลอดจนถึงระดับหน่วยกองกําลัง
ปัจจุบันไทยใช้กําลังเพื่อป้องกันตนเองในระดับชาติโดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ยึด 4 ข้อ
1. การใช้กําลังทหารต้องตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธของอีกฝ่าย เพื่อระงับยับยั้งการโจมตีที่เกิดขึ้น หรือกระชั้นชิดใกล้เข้ามา
2. ใช้กำลังทหารต้องมีความจําเป็น ไม่มีหนทางอื่นที่สามารถหลีกเลี่ยง
3. การใช้กําลังทหารต้องได้สัดส่วนเหมาะสมกับภัยคุกคามที่เกิดจากการโจมตี
4. การแจ้งคณะมนตรีความมั่นคงของคณะองค์การสหประชาชาติ
การใช้อาวุธยุทธวิธี มีหลักการพื้นฐานที่สําคัญ เช่น การใช้กําลังทหาร ความจําเป็นทางการทหาร หลักมนุษยธรรม หลักการแบ่งแยกระหว่างพลเรือน กับผลรบ
มองว่าคําอธิบายของประเทศไทยที่เป็นทางการครบถ้วนสมบูรณ์ที่หนังสือประเทศไทยที่ยื่นสมาชิกคณะรัฐมนตรีความมั่นคงขององค์การสหประชาชาติ ที่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องการใช้กําลังทหาร


