ทนายความวัดนาป่าพงตั้งโต๊ะชี้แจง สีกาที่มาอุปัฏฐากพระอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นบุคคลมีตัวตนชัดเจน มีฐานะ มีชื่อเสียงทางสังคม และเปิดเผยมาเป็นเวลานาน แต่โดนตัดต่อวิดีโอให้ดูว่ามีความสัมพันธ์พิเศษ ส่วนการโอนเงินไปเยอรมนีพระอาจารย์ต้องการสร้างวัดที่นั่น แต่ขั้นตอนยุ่งยากจึงมอบอำนาจให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในเยอรมนีดำเนินธุรกรรมแทน มีหลักฐานโอนเงินอย่างถูกต้อง
วันนี้ (16 ก.ย.) เมื่อเวลา 15.30 น. ทีมทนายของวัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี และพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ได้แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวพบว่าพระอาจารย์คึกฤทธิ์โอนเงินจากวัดไปยังบัญชีของสีกาที่พำนักอยู่ในประเทศเยอรมนี รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 13 ล้านบาท โดยยืนยันว่าสีกาที่มาอุปัฏฐากพระอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นบุคคลที่มีตัวตนชัดเจน มีฐานะ มีชื่อเสียงทางสังคม และมาในฐานะโยมอุปัฏฐากอย่างเปิดเผยมาเป็นเวลานาน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดทำคำสอน คำเทศนาของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทางเพจเฟซบุ๊กชื่อ “พุทธวจนเรียล” และช่องยูทูบชื่อเดียวกัน ข้อมูลและภาพที่นำมาเชื่อมโยงนั้นเป็นวิดีโอและภาพตัดต่อที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เป็นพิเศษ
ทีมทนายความยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อมูลที่มีการเปิดเผยอยู่ในเฟซบุ๊กและช่องยูทูบมาเป็นเวลานาน ซึ่งมีคนติดตามนับแสนคน มีวิดีโอคลิปนับหมื่นชิ้น มีผู้เข้าชมวิดีโอมากกว่า 1 ล้านครั้ง ข้อมูลเหล่านี้เปิดเผยมาตลอด หากมีการใดที่ไม่เหมาะสม ผู้ชมย่อมสามารถใช้วิจารณญาณตัดสินได้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ดี ในด้านพระธรรมวินัย ขณะนี้ได้เข้าสู่กระบวนการทางวินัยสงฆ์ ซึ่งพระอาจารย์ยินดีเข้าสู่กระบวนการในการชี้แจงข้อมูลเหล่านั้น
กรณีที่อาจมีความผิดในทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์และฟอกเงิน ทีมทนายความชี้แจงว่ามีการกล่าวหาว่าพระอาจารย์มีการโอนเงินให้สีกาคนหนึ่งในประเทศไทย และโอนเงินนั้นไปยังประเทศเยอรมนีเพื่อเข้าบัญชีพระอาจารย์นั้น หลักฐานใบโอนเงิน วัดนาป่าพงและพระอาจารย์ไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นต้นทางฝากเงินนั้นเลย และเป็นผู้ถือใบสลิปเอง การที่หลักฐานไปปรากฏในมือผู้อื่นที่นำไปโพสต์ในสาธารณะนั้น เริ่มต้นจากการที่มีการส่งหลักฐานที่ศาลในประเทศเยอรมนี เพื่อดำเนินคดีต่อบุคคลหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่ามีการยักยอกเงิน ไม่ใช่เอกสารที่ต้องการปิดบังใดๆ เป็นเอกสารที่ถูกต้อง วัดเห็นว่าข้อมูลในเอกสารสามารถเปิดเผยได้ทั้งฉบับ ผู้โอนเงินคือไวยาวัจกรของวัดเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องปิด
ทนายความวัดนาป่าพงกล่าวอีกว่า ในการเริ่มต้นโอนเงินไปประเทศเยอรมนีในปี 2561 พระอาจารย์มีดำริเผยแผ่คำสอนในต่างประเทศ โดยวิธีการหนึ่งคือต้องการจัดตั้งวัดในต่างประเทศ โดยมีสาธารณชนที่ให้ความเคารพพระอาจารย์จำนวนมากในประเทศเยอรมนี จึงพยายามก่อสร้างตั้งวัด แล้วพบว่ามีความสลับซับซ้อนยุ่งยาก และต้องดำเนินการในแบบมูลนิธิ ต้องมีคณะกรรมการจัดตั้ง มีเงินทุนจัดตั้ง การดำเนินการต้องใช้ภาษาเยอรมัน ต้องอาศัยคนที่มีความรู้ในภาษาเยอรมัน รวบรวมศาสนิกชน ระดมกันก่อตั้งมูลนิธิ จึงได้แต่งตั้งผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในเยอรมนีให้เป็นรองประธาน และดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถจัดตั้งได้โดยง่าย จึงต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้มีอำนาจดำเนินธุรกรรมทางการเงินแทนพระอาจารย์ และมีอำนาจดำเนินการทางกฎหมาย โดยสีกาคนนั้นเปิดบัญชีในประเทศไทย พระอาจารย์ติดต่อญาติโยมให้บริจาคกำหนดไว้ 6 ล้านบาท เพื่อนำไปก่อตั้งมูลนิธิพุทธวจนในเยอรมนี โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือบริจาคเงินชัดเจน