1."ทักษิณ" ตระเวนเชียงใหม่ "ไหว้พระ-ไหว้บรรพบุรุษ-ตรวจเยี่ยมงานพัฒนา-ดินเนอร์เพื่อนร่วมรุ่น" ด้าน “เศรษฐา” ร่วมงานเลี้ยงต้อนรับทักษิณด้วย!
ความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาด ที่หนีคดีอยู่เมืองนอก 17 ปี เมื่อกลับมาก็ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียว โดยออกจากเรือนจำไปอยู่ รพ.ตำรวจตั้งแต่คืนแรกเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2566 นานเกือบ 6 เดือน โดยกรมราชทัณฑ์และแพทย์ไม่มีการเปิดเผยว่า เจ้าตัวป่วยหนักอย่างไร จึงออกจาก รพ.เพื่อกลับเข้าเรือนจำไม่ได้ กระทั่งสุดท้าย กรมราชทัณฑ์พิจารณาให้นายทักษิณเข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ และออกไปอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้าได้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยวันดังกล่าว เจ้าตัวใส่เฝือกอ่อนที่คอ และมีสายคล้องพยุงแขนขวา ซึ่งพรรคเพื่อไทย แถลงในเวลาต่อมาว่า นายทักษิณเป็นโรคกระดูกคอเสื่อม ส่วนที่ต้องใส่ที่คล้องแขน เพราะเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย
อย่างไรก็ตาม หลังกลับไปอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้าได้ไม่ถึง 1 เดือน นายทักษิณก็ได้เดินทางไปเชียงใหม่ โดยให้เหตุผลเพื่อกลับไปไหว้บรรพบุรุษ โดยก่อนเดินทางไปเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 14 มี.ค. นายทักษิณ พร้อมด้วยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาว และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ ลูกเขย ได้เดินทางไปไหว้ศาลหลักเมือง โดยนายทักษิณยังคงใส่เฝือกอ่อนที่คอ แต่ไม่ใส่สายคล้องแขนขวา และสามารถใช้แขนได้โดยไม่มีปัญหา สร้างความเคลือบแคลงแก่สังคมว่า ก่อนหน้านี้ป่วยจริงหรือไม่?
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้า 1 วัน (13 มี.ค.) ได้มีการเผยแพร่ภาพจากสื่อบางสำนักว่า นายทักษิณได้เดินเข้าวัดราชบพิตรฯ เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช โดยวันดังกล่าว นายทักษิณใส่สูทสีดำ และไม่มีการใส่เฝือกอ่อนที่คอและสายคล้องพยุงแขนแต่อย่างใด
ส่วนความเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 14 มี.ค. หลังนายทักษิณไหว้ศาลหลักเมืองแล้ว ได้เดินทางไป จ.เชียงใหม่ โดยได้มีการตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาพื้นที่ พร้อมด้วยนางสาวแพทองธาร รวมทั้งนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขย โดยมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ นำตรวจเยี่ยม พร้อมร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้การต้อนรับ
หลังจากนั้น ได้เข้ากราบนมัสการพระเทพมังคลาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนช่วงค่ำ ได้รับประทานอาหารกับเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนมงฟอร์ดวิทยาลัย รุ่น 08 ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่
วันต่อมา (15 มี.ค.) นายทักษิณ พร้อมด้วยลูกๆ และเครือญาติ ได้เข้าสักการะอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเข้าร่วมด้วย จากนั้น นายทักษิณพร้อมคณะได้เดินทางต่อขึ้นไปยังวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ เพื่อนมัสการเจ้าอาวาส และสักการะองค์พระธาตุดอยสุเทพ
ทั้งนี้ ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายทักษิณพร้อมเครือญาติ ได้เดินทางไปยังสุสานที่ฝังอัฐินายเลิศ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อ และนางยินดี ชินวัตร ผู้เป็นแม่ ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาติดกับอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ออน อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อประกอบพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ
เมื่อถามว่า วันนี้ลูกหลานมากันครบทำให้มีความสุขหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า สุดท้ายแล้วความสุขอยู่ที่ครอบครัว ซึ่งหากเข้าใจโลกจะรู้ว่า Happinees is at home ความสุขอยู่ที่บ้าน ที่อื่นอาจจะเป็นสิ่งสมมุติ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ Happinees is at home
เมื่อถามถึงเรื่องสุขภาพว่า อาการเจ็บหลังเป็นอย่างไรบ้าง นายทักษิณ กล่าวว่า กล้ามเนื้อมันสะดุ้ง ซึ่งเป็นมาก่อนแล้ว หากขยับผิดจังหวะก็จะมีอาการ แต่ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว ส่วนที่ใส่เฝือกอ่อนที่คอก็เป็นไปตามอายุ ซึ่งเสื่อมจึงต้องคอยดูแลมิเช่นนั้นจะกดเส้นประสาท ซึ่งสามารถถอดๆ ใส่ๆ ได้แล้วแต่อาการ
หลังประกอบพิธีไหว้บรรพบุรุษเสร็จแล้ว นายทักษิณได้เดินทางไปแวะเยี่ยมชมสนามกอล์ฟอัลไพน์เชียงใหม่ ก่อนที่จะไปยังวัดโรงธรรมสามัคคี ในตัวอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อกราบเคารพกู่บรรจุอัฐิของบรรพบุรุษและเครือญาติตระกูลชินวัตร ในสุสานตระกูลชินวัตร ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัดโรงธรรมสามัคคี
ทั้งนี้ ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขยนายทักษิณ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ ได้เปิดบ้านรับรองภายในสนามกอล์ฟซัมมิท กรีนวัลเล่ย์อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เลี้ยงอาหารค่ำให้กับนายทักษิณ รวมทั้งได้เชิญนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีภารกิจลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ระหว่างวันที่ 15–17 มี.ค.เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย
นอกจากนี้ยังมีบรรดารัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย รวมถึง สส. และอดีต สส. พรรคเพื่อไทย เข้าร่วมงานเลี้ยง รวมถึง สส.พรรคพลังประชารัฐกลุ่มของร้อยเอกธรรมนัส อาทิ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ นายไผ่ ลิกค์ นายจีรเดช ศรีวิราช เป็นต้น
ทั้งนี้ นายทักษิณได้ถอดเฝือกอ่อนที่คอออกระหว่างรับประทานอาหาร ขณะที่นายสมชาย ในฐานะเจ้าบ้านได้กล่าวต้อนรับตอนหนึ่งว่า วันนี้เป็นวันที่พวกเราชาวเชียงใหม่และคนไทยทั้งประเทศมีความปีติยินดี เป็นวันที่ทุกคนรอคอย เมื่อนายกฯ ทักษิณอยู่กับประเทศไทย คนไทยทุกคนอบอุ่นใจ เมื่อท่านจากไปคนไทยทั้งประเทศรอวันรอคืนว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน
“วันนี้ฝันของพวกเราเป็นจริงแล้ว ท่านได้กลับมาพำนักอยู่ในประเทศไทย พวกเราทุกคนยินดีและอยากต้อนรับ เพราะถือว่าท่านเป็นมิ่งขวัญของพวกเราทุกคน สโลแกนของเราคือ หมู่เฮาดีใจนายกปิ๊กเชียงใหม่บ้านเฮา ทุกคนที่มาวันนี้ล้วนแต่มาด้วยความรักกับท่านทักษิณ ทุกคนมาเพื่อร่วมจิตร่วมใจ ทุกคนปลาบปลื้มใจและต้องการที่จะต้อนรับการกลับบ้านของท่านทักษิณให้อยู่กับคนไทย..."
ล่าสุด (16 มี.ค.) นายทักษิณ พร้อมลูกๆ และหลานๆ ได้เดินทางไปยังเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ หลังรับประทานอาหารกลางวัน
2.กกต.มีมติเอกฉันท์ส่งศาล รธน.สั่งยุบพรรค "ก้าวไกล" ปมเสนอแก้ ม.112 ล้มล้างการปกครอง ด้าน ป.ป.ช.เร่งสอบจริยธรรม 44 สส.ก้าวไกล ร่วมเสนอแก้ ม.112!
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. มีรายงานว่า ที่ประชุม กกต.ได้มีมติเอกฉันท์เสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค จากกรณีก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้วใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยก่อนที่ประชุมจะมีมติดังกล่าว ได้มีการพิจารณาผลการศึกษาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา และความเห็นที่สำนักงาน กกต.เสนอ ว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายเป็นความผิดมาตรา 92(1) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
ทั้งนี้ วันเดียวกัน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี กกต.มีมติส่งสำนวนยุบพรรคก้าวไกลต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว พรรคก้าวไกลเตรียมความพร้อมไว้อย่างไรบ้างว่า พรรคก้าวไกลและทีมกฎหมายได้เตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้ว ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือ ไม่อยากให้ด่วนสรุปว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทีมกฎหมายจะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องไม่ให้เกิดการยุบพรรค และการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ประเด็นนี้ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ชะตากรรมและอนาคตของพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพยายามพิสูจน์ว่า สิ่งที่พรรคทำไปไม่ใช่สิ่งที่ผิด หากเราทำได้จะสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องสำหรับการเมืองไทยในอนาคต
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ทางพรรคเองเข้าใจดี การถูกยุบพรรคเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งกับหลายพรรค เราไม่อยากให้พรรคการเมืองถูกยุบเป็นเรื่องปกติ ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเป็นพรรคที่มีคดีถูกยุบพรรคอยู่ อย่างกรณีพรรคภูมิใจไทยที่สังคมให้ความสนใจอยู่ แม้จะมี ส.ส.พรรคก้าวไกลเป็นผู้เปิดโปงเรื่องของการทุจริตที่เกิดขึ้นกับการบริหารพรรค แต่บทลงโทษที่เหมาะสมคงไม่ใช่การยุบพรรค ควรลงโทษที่ผู้บริหารพรรค
เมื่อถามว่า มีการสร้างพรรคสำรองไว้หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า เรามีการรับมือและวางแผนทุกฉากทัศน์อยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งด่วนพูดถึงสิ่งที่อาจจะยังไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ทำเต็มที่ในการพิสูจน์ความจริงเท่าที่จะทำได้ จนถึงวันที่จะเกิดการวินิจฉัยคำตัดสินออกมา ส.ส. และทีมงานของพรรคก็ยังทำงานเต็มที่ในการผลักดันกฎหมายความเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎร
นายพริษฐ์ กล่าวด้วยว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกความคิด ทุกนโยบาย ที่เราพยายามจะผลักดัน ต้องมียานพาหนะที่ขับเคลื่อนชุดความคิดต่อไปในการเมืองไทยแน่นอน ไม่อยากให้เราด่วนสรุปว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบ จนกระทั่งมีคำวินิจฉัยศาลออกมา แต่สำคัญกว่านั้น ก็ไม่อยากให้เราตั้งค่านิยมการยุบพรรคเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะพรรคใดก็ตาม
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ลูกพรรคจะเสียขวัญ เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุการณ์ยุบพรรค ก็มีสถานการณ์ผึ้งแตกรัง นายพริษฐ์ กล่าวว่า “สิ่งที่เรากังวลมากกว่า คือ เรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อค่านิยมของการเมืองไทย เพราะยิ่งมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับพรรคก้าวไกล แต่เป็นพรรคการเมืองในอดีตด้วย กลายเป็นว่าเรากำลังไปสร้างค่านิยมหรือวัฒนธรรมทางการเมือง ที่การยุบพรรคกลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เราควรจะสร้างนิเวศทางการเมือง ที่ทุกพรรคการเมืองสามารถเติบโตเป็นสถาบันการเมืองได้ ไม่ได้ยึดที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นศูนย์รวมคนที่มีชุดความคิดแบบเดียวกัน”
ถามต่อว่า มั่นใจหรือไม่ว่า สส.จะจับมือกันแน่นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่า คนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. มี 2 อย่างที่เราเห็นตรงกัน คืออยากเปลี่ยนแปลงสังคม และสภาวะนิติสงครามไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งแม้เราจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เกินจินตนาการ ตนมั่นใจว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างมีเอกภาพ
ด้านนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องขอให้ตรวจสอบจริยธรรมร้ายแรง 44 สส.พรรคก้าวไกล กรณีเป็นผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียด แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยแล้ว แต่ก็ต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง ซึ่งโดยกรอบเวลาได้กำหนดไว้ 180 วันนับจากวันได้รับเรื่องร้องเรียน แต่ต้องตรวจสอบถึง 44 คน ก็ต้องใช้ระยะเวลา แต่ก็จะเร่งให้อยู่ในกรอบเวลาดังกล่าว โดยขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว
3. ทนาย ยัน ศาลไม่ได้ออกหมายจับ "บิ๊กโจ๊ก" คดีเอี่ยวเว็บพนัน BNK Master พร้อมฟ้อง "บิ๊กเต่า" ฐานหมิ่น ด้าน "บิ๊กเต่า" ไม่กังวล เปรียบรบกับพญามาร ต้องรับแรงกระแทกได้!
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. มีรายงานว่า พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายจับกลุ่ม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก รอง ผบ.ตร.พร้อมพวก ในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิด ฐานฟอกเงินและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 10 จากกรณีสืบสวนสอบสวนเส้นทางเงินที่เชื่อมจากคดีที่ สน.เตาปูน ได้เคยขออนุมัติหมายจับคดีเว็บพนันของศาลอาญาไว้แล้ว ต่อมาจับกุมตัวผู้ต้องหาบางคนได้ และมีนางพิมพ์ (นามสมมติ) เป็นผู้จัดการเว็บ BNKMaster จึงมีการขยายผลเเละขอออกหมายจับในครั้งนี้
ต่อมา พล.ต.ต.ทินกร ตอบคำถามผู้สื่อข่าวยอมรับว่า มีการขอออกหมายจับกลุ่มนายตำรวจพัวพันเว็บพนันจริง โดยศาลอนุญาตออกหมายจับผู้ต้องหา 4 ราย เเยกเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ราย เเละพลเรือน 1 ราย ส่วนนายตำรวจอีก 1 คนให้ออกหมายเรียกก่อน เเต่ไม่ขอระบุว่าเป็นใคร พร้อมยอมรับว่า ในส่วนนายตำรวจที่ถูกออกหมายเรียกเป็นนายตำรวจระดับนายพล ส่วนอีก 3 คนไม่มีตำรวจระดับนายพล พร้อมยืนยันว่า การขอออกหมายจับครั้งนี้ไม่กดดัน เพราะเราทำตามกฎหมาย
มีรายงานว่า การยื่นขอออกหมายจับครั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลอาญามีการประชุมก่อนมีคำสั่ง พบว่า เส้นทางการเงินโยงถึงผู้ต้องหาทั้ง 5 คน จึงอนุญาตออกหมายจับให้ 4 คน เว็บ BNKMaster แต่เนื่องจาก มี 1 ราย เป็นข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับ พล.ต.อ.จึงให้ออกหมายเรียกแทน
โดยจากการตรวจสอบพบว่า เว็บพนันนี้เป็นเว็บที่ทำกำไรเงินหมุนเวียนหลักหลายล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้หมายจับศาลอาญาบุกจับนางพิมพ์กับพวกได้พร้อมของกลาง รวมทั้งสมุดบัญชีอีกหลายเล่ม ซึ่งเป็นบัญชีที่ใช้บริหารจัดการเว็บ และมีเส้นเงิน คาดว่าเป็นกำไร โอนเข้าให้พ่อบ้านของนายตำรวจใหญ่ ซึ่งพ่อบ้านนั้นถูกแจ้งข้อหาฐานสมคบกันฟอกเงิน และฟอกเงินฯ ไปแล้ว
จากการตรวจสอบเส้นเงินของบัญชีม้า(ม้าอีกตัว) ที่พ่อบ้านใช้ พบว่า เส้นเงินเชื่อมไปยังค่าใช้จ่ายอื่นๆ ส่วนตัวหลากหลาย ทั้งบุคคลในครอบครัวและของตนเอง หลักหลายล้านบาท ตามที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว นายตำรวจคนดังเคยให้สัมภาษณ์ไว้ ทั้งมีกรมธรรม์ในหลายบริษัท หลายฉบับ ที่ออกมาจากเส้นเงินนี้ รวมทั้งเงินที่บริจาคเข้าวัด และออกใบอนุโมทนาบัตร ในงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน จากเส้นเงินนี้ จึงล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว แต่ยังไม่พบมีการโอนไปจ่ายแก่ตำรวจเช่นคดีอื่น แต่เป็นเส้นเงินส่วนตัว ครอบครัว และบริจาค
มีรายงานว่า รายชื่อตำรวจที่ถูกออกหมายจับ 3 นาย ประกอบด้วย พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา ข้อหาสมคบฯ ฟอกเงิน, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน, ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ข้อหาสมคบฯ ฟอกเงิน, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ข้อหาสมคบฯ ฟอกเงิน, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ส่วนพลเรือน 1 ราย คือ นายณพรรษกร (อู๊ด หาดใหญ่) ข้อหาสมคบฯ ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน
วันเดียวกัน นายณัฐวิชช์ เนติจารุโรจน์ พร้อมด้วยนายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ได้แถลงข่าวกรณีพนักงานสอบสวนมีการขอศาลออกหมายจับตำรวจ 4 นาย พลเรือน 1 คน หลังพิจารณาหลักฐานน่าเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน BNK Master ซึ่งมีข่าวว่ามีรายชื่อของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อยู่ด้วย โดยยืนยันว่า ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง ไม่ออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ โดยศาลได้มีดุลพินิจว่า ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับตามคำร้องได้ เรื่องนี้ มีการเผยแพร่ข้อเท็จจริงไปในทำนองว่า นอกจากศาลไม่อนุมัติหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แล้ว ศาลให้ออกหมายเรียก ได้ตรวจสอบแล้ว ศาลไม่ได้มีคำสั่งอย่างที่เผยแพร่และเข้าใจกัน ขออนุญาตเผยแพร่ให้เข้าใจ รับทราบร่วมกัน
ทั้งนี้ ทีมทนายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ชี้ว่า สิ่งที่พนักงานสอบสวนดำเนินการอยู่ ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยข้อกฎหมาย เพราะข้อเท็จจริงที่กล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มีการส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.แล้ว และได้มีมติรับเรื่องไว้ไต่สวนแล้ว อำนาจการพิจารณาและไต่สวนว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีความผิดหรือไม่ จะอยู่ที่ ป.ป.ช. ไม่ได้อยู่ที่พนักงานสอบสวนแล้ว หากพนักงานสอบสวนยังมีการกระทำไม่เป็นไปตามข้อกฎหมาย ก็มีสิทธิไม่ยอมรับ และยืนยันดำเนินการตามสิทธิทุกช่องทาง
ทีมทนาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังชี้ด้วยว่า ความพยายามออกหมายจับในช่วงนี้ ทีมทนายความเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเป็นการกระทำดิสเครดิต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพราะเป็น รอง ผบ.ตร.อาวุโส อันดับ 1 เป็นแคนดิเดตที่จะได้รับการพิจารณาแต่งตั้ง การออกหมายท่านในช่วงนี้ เป็นการเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง มีผลต่อการพิจารณาแต่งตั้ง ผบ.ตร. ที่จะเกิดในไม่กี่เดือนนี้ สำหรับเส้นทางการเงินนั้น ทีมทนายความ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงใหม่ หรือเส้นทางการเงินใหม่แต่อย่างใด
ทั้งนี้ วันต่อมา (13 มี.ค.) นายณัฐกร โตสกุล ทนายความซึ่งได้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพฯใต้ เอาผิด พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยนำข้อมูลสำนวนการสอบสวนของ สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน มาเปิดเผย ซึ่งมีข้อความที่ไม่ควรจะนำมาพูด เพราะเป็นถ้อยคำในสำนวนคดี และเกินเลยออกมาเยอะ ทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้รับความเสียหาย
นายณัฐกร ยังกล่าวด้วยว่า เร็วๆ นี้จะมีการแถลงข่าวเรื่องเส้นทางการเงินให้สื่อมวลชนทราบ และว่า ความจริงเส้นทางการเงินที่มาทาง พล.อ.อ.สุรเชษฐ์มีจำนวนไม่มากเท่ากับเส้นทางการเงินที่ไปทางอื่น ซึ่งควรต้องโดนสอบเช่นกัน เรื่องเส้นทางการเงินไปที่ไหนเป็นเรื่องที่ประชาชนควรรับทราบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยพูดว่า ถ้าแฉออกมาตายหมู่จริงหรือไม่ ทนายความพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า ประมาณนั้น
ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีให้สัมภาษณ์คดีเว็บพนันมินนี่ว่า ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร เพราะเชื่อมั่นในความยุติธรรม และที่ผ่านมาตนเองให้สัมภาษณ์ในฐานะโฆษกของคณะทำงาน ซึ่งสิ่งที่พูดเป็นข้อเท็จจริง ไม่ได้มีการแต่งเติมเพื่อทำร้ายใครแต่อย่างใด และเป็นไปตามพยานหลักฐานทุกอย่าง และข้อมูลที่พูดไปเป็นข้อเท็จจริงรวม ๆ ไม่ได้มีการนำพยานหลักฐานในสำนวนมาเปิดเผย ไม่เหมือนกับเจ้าหน้าที่บางคนที่ชอบเอาหลักฐานในสำนวนมาเปิดรายวัน และมองว่าหลักฐานสำคัญทางคดีเป็นหลักฐานที่ควรเปิดในชั้นศาลเท่านั้น
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวถึงกรณีที่ทนายความของ พล.ต.อ สุรเชษฐ์ ออกมาเปิดเผยว่าหลังจากนี้จะมีการแฉข้อมูลเส้นทางการเงินซึ่งเชื่อมโยงไปถึงบิ๊กตำรวจใน สตช.ว่า อย่าขู่ รำคาญ ใครมีหลักฐานให้เอาออกมาเปิดเผย อย่าทำให้ตำรวจเสื่อมเสีย ใครหลักฐานชัดเจน ก็ต้องถูกดำเนินการอยู่แล้ว เพราะมีทั้งหน่วยงาน ปปป. และ ป.ป.ช. จัดการ และแม้ว่าจะเป็นตัวเอง ถ้ามีหลักฐานก็เอาออกมา หากผิดก็พร้อมติดคุก
"ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำคดีแล้ว ต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่กังวลที่ถูกฟ้อง เพราะตอนแรกคิดว่าน่าจะโดนฟ้องเป็น 100 คดี แต่โดนแค่ 3-4 คดี ถือว่ายังน้อย ยืนยันว่าไม่ได้ท้าทาย เพราะรู้ว่าต้องรบกับใคร การรบกับพญามาร ก็ต้องเจอแรงกระแทกกลับมาเยอะเช่นกัน ส่วนจะฟ้องกลับหรือไม่ ยังคงเฉยๆ มองว่าเป็นเพียงเรื่องกวนใจ เหมือนแมลงหวี่แมลงวันมาตอมบ้าง ดังนั้นปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ชุดทำงานยังคงมีขวัญกำลังใจที่ดี"
4. ศาลพิพากษายกฟ้องคดี "ธนาธร" ฟ้อง "หมอวรงค์" หมิ่น พร้อมเรียกค่าเสียหาย 24 ล้าน ชี้ การที่จำเลยโพสต์จะแจ้งความโจทก์ตาม ม.112 เป็นการใช้สิทธิตาม ก.ม.ไม่ถือว่าหมิ่น!
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วรงค์ เดชวิกรมกิจ ประธานพรรคไทยภักดี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท กรณีที่ นพ.วรงค์ ได้ไลฟ์สดทำนองว่า นายธนาธรสนับสนุนเกี่ยวกับปฏิรูปสถาบัน อันเป็นการล้มล้างการปกครอง จากการเเถลงข่าวจะตั้งพรรคไทยภักดีเเละไลฟ์สดเฟซบุ๊ก เหตุเกิดระหว่างวันที่ 20 ม.ค.-4 ก.พ.2564
นพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า การฟ้องร้องคดี สืบเนื่องมาจากการที่ตนเองประกาศตั้งพรรคไทยภักดี มีเป้าหมายในการต่อสู้กับพรรคก้าวไกล รวมถึงต่อสู้กับคณะก้าวหน้า และม็อบ 3 นิ้ว ที่พาดพิงถึงขบวนการล้มล้างการปกครอง นำไปสู่การฟ้องร้องถึง 2 คดี โดยคดีแรกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล เป็นผู้ฟ้องร้องตนเอง ข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนคดีนี้นายธนาธร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องตนเองข้อหาหมิ่นประมาทเช่นกัน เนื่องมาจากเหตุการณ์เดียวกันแต่มีการแยกฟ้อง สำหรับคดีที่นายพิธาหรือพรรคก้าวไกลฟ้องร้องตน ศาลได้พิพากษายกฟ้องว่าไม่ได้หมิ่นประมาท ทราบภายหลังว่าพรรคก้าวไกลได้ยื่นอุทธรณ์
นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า ตนเองเชื่อมั่นในข้อมูลและพยานหลักฐานต่างๆ เพราะทุกคำพูดตนเอามาจากสื่อทั้งสิ้น ไม่ใช่สร้างหรือมโนขึ้นมาเอง ตนก็ชี้ให้ศาลเห็นว่า การดำเนินคดีมาตรา 112 เกิดขึ้นจริง และตนเป็นพยานในการเบิกความด้วย
เมื่อถามว่า หากพิพากษายกฟ้องจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ชอบมีคดีความ ชีวิตทางการเมืองก็เคยฟ้องร้องแค่หนึ่งคดี และชนะด้วย พวกเราเป็นนักการเมือง และบอกว่าเป็นนักประชาธิปไตย จะต้องรับฟังคนอื่น อะไรที่ไม่ถูกต้องตนก็ได้ชี้แจง แต่เวลาที่ตนเองแสดงความคิดเห็นบนหลักการ ก็ขอให้รับฟังตนบ้าง ไม่ใช่ฟ้อง
นพ.วรงค์ ยังฝากถึงสังคมด้วยว่า การฟ้องร้องของนายธนาธร เรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันเปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งสิ้น และมีนัยทางการเมือง ฉะนั้นหากจะอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ต้องรับฟังพวกเรา อะไรที่ถูกหรือผิดก็ต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่การฟ้องกลับ และคนที่มีความเห็นที่ขัดแย้ง กลับถูกเขาฟ้องร้องเยอะมาก และเมื่อมีการฟ้องจะต้องวางเงินต่อศาลไม่น้อยกว่า 200,000 บาท ไม่รวมค่าทนายความ ซึ่งเขาสูญเสียเงินเยอะมากในการฟ้องปิดปากประชาชน และถือว่าไม่ใช่ของจริง
ต่อมา ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาว่า ข้อความที่จำเลยโพสต์ เป็นการแจ้งล่วงหน้าให้ทราบว่า จำเลยจะไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับโจทก์ในความผิดหมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 ในภายหน้า อันเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ทำให้ผู้ที่ได้อ่านหรือประชาชนเข้าใจไปได้ว่า โจทก์กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ข้อความดังกล่าวจึงมิได้มีเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา พิพากษายกฟ้อง
ด้าน นพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่า วันนี้นายธนาธรไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียงผู้รับมอบอำนาจเดินทางมาเท่านั้น ซึ่งตนชนะคดี และว่า ศาลพิพากษายกฟ้องเป็นคดีที่ 3 แล้ว คดีแรก น.ส.พรรณิการ์ หรือช่อ เป็นโจทก์ฟ้อง คดีที่สอง พรรคก้าวไกลเป็นโจทก์ฟ้อง และคดีนี้นายธนาธรยื่นฟ้องเอง ซึ่งคดีนี้เรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท อยากจะบอกกับพวกเขาว่า การฟ้องประชาชนพร่ำเพรื่อนั้น นอกจากจะเสียเงินเยอะแล้ว ก็อยากให้ประชาชนตระหนักว่า คนพวกนี้อ่อนประสบการณ์ วันใดที่เข้าไปบริหารประเทศด้วยการอ่อนประสบการณ์แบบนี้ จะทำให้ประเทศเสียหายและล่มจมได้ จึงขอให้พี่น้องประชาชนคิดให้รอบคอบ ถ้าเขาจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ตนคิดว่าประเทศไทยอาจจะเปลี่ยนเป็นแบบประเทศยูเครน
วันนี้แม้จะเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น เขามีสิทธิ์ที่จะยื่นอุทธรณ์ แต่ตนจะต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐาน ไม่ใช่มีเพียงแค่พยานบุคคล ซึ่งตนถูกฝึกให้พูดความจริง เวลาโพสต์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียจะมีเอกสารอ้างอิงทั้งหมด ตนไม่เคยกลัวถูกฟ้อง เพียงแต่เรื่องนี้ทำให้เสียเวลา จึงขอให้มาพูดคุยกันอย่างลูกผู้ชายไม่ว่าจะผ่านเวทีไหนก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112 หรือเรื่องล้มล้างสถาบัน เจอกันเมื่อไหร่ก็ได้ ตนเองพร้อมที่จะไปดีเบต โต้วาที ด้วยทุกเวที หรือช่องโทรทัศน์ช่องไหนก็ได้
นอกจากนี้แล้วอยากฝากว่า ช่วงใกล้จะมีการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีตัวแทนพรรคการเมืองปล่อยคลิปวิดีโอพยายามรณรงค์เชิญชวนไปสมัครสมาชิกวุฒิสภาและให้ไปเข้าแคมป์ มองว่าเป็นการสร้างเจตนารมณ์ก่อนจะให้ไปสมัครวุฒิสภา ซึ่งต้องย้ำว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต้องการให้สมาชิกวุฒิสภาเป็นกลางทางการเมือง จึงไม่ควรมีพรรคการเมืองใดเข้าไปยุ่งหรือเชิญชวนเข้าแคมป์ดังกล่าว มองว่าเป็นการฝักใฝ่และจะทำให้เจตนารมย์ของสมาชิกวุฒิสภาและประเทศมีปัญหาแน่นอน เพราะวุฒิสภามีหน้าที่แต่งตั้งองค์กรอิสระที่สำคัญมาก เช่น กกต.,ป.ป.ช.,ผู้ตรวจการแผ่นดิน,ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ อนาคตจะทำให้องค์กรเหล่านี้ถูกแทรกแซงได้ง่ายขึ้น
5. ศาลราชบุรี พิพากษาจำคุก "เจ๊นุช" 13 ปี 5 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายทหารหญิงรับใช้นานกว่า 2 ปี ด้านแฟนเจ๊นุชเจอคุก 4 ปี 1 เดือน!
สืบเนื่องจากกรณีที่ ส.ต.ท.หญิงกรศศิร์ บัวแย้ม หรือเจ๊นุช ผบ.หมู่ กก.4 บก.ส.1 และนายคมสิทธิ์ จังพานิช แฟนหนุ่ม ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายนางสาว เอ ทหารหญิง ซึ่งเป็นทหารรับใช้นานกว่า 2 ปี จนครอบครัวทนไม่ไหว นำเรื่องเข้าร้องทุกข์กับ กัน จอมพลัง และนำมาสู่ความช่วยเหลือ จนในที่สุด เจ๊นุชกับเพื่อนชายคนสนิทถูกจับในความผิด 7 ข้อหา คือ 1.ค้ามนุษย์ 2.พ.ร.บ.แรงงาน 3.พ.ร.บ.พกพาอาวุธปืน 4.ความผิดต่อเสรีภาพ 5.ความผิดต่อร่างกาย 6.บังคับใช้แรงงาน และ 7.ร่วมกันทำร้ายร่างกายทั้งสาหัสและไม่สาหัส โดยอัยการได้สั่งฟ้องไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2565 นั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 มี.ค. กัน จอมพลัง ได้พานางสาวเอ พร้อมทนายโรส และญาติของนาวสาวเอ มาฟังคำพิพากษาที่ศาล จ.ราชบุรี
หลังฟังคำพิพากษา กัน จอมพลัง พร้อมทนายโรส และน้องเอ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่รอคอยมานานเกือบ 2 ปี วันนี้ศาลพิพากษามาแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1 คือเจ๊นุช เป็นเวลา 13 ปี 5 เดือน ส่วนเพื่อนชายคนสนิท จำคุก 4 ปี 1 เดือน
หลังจากนี้ทางทางทนายโรสจะประสานกับทางอัยการให้ศาลได้พิจารณาโทษ ซึ่งศาลท่านก็คงมีดุลพินิจของท่าน แต่ทางน้องเอกับครอบครัวก็คงจะใช้สิทธิ์ของเขาต่อในเรื่องของโทษ เนื่องจากสิ่งที่น้องนั้นโดนมาเยอะและจดจำไปตลอดชีวิต แต่ก็จะใช้สิทธิ์ที่มีอยู่เพื่อดำเนินการเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อไป ส่วนเรื่องของจมูกที่หักและหายใจได้ข้างเดียวนั้นก็ได้รับการดูแลจากคุณเซปิง และคุณหนุ่มกรรชัย จนสามารถทำให้จมูกกลับมาหายใจได้ปกติ
ด้านทนายโรส ก็บอกว่า ส่วนคำพิพากษาก็จะเป็นไปตามที่คุณกัน จอมพลัง บอก แต่ในส่วนของการชดใช้นั้น ศาลสั่งให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เป็นจำนวนเงิน 365,620 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลสั่งให้ชดใช้ร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 350,616 บาท ส่วนจะเพียงพอกับสิ่งที่น้องเขาโดนมาหรือรักษาตัวไปหรือไม่ ขอให้ทุกท่านคิดเอาเอง ซึ่งทางน้องก็จะมีการอุทธรณ์ตามสิทธิ์ที่เรามี
ส่วนข้อหาที่ถูกพิพากษาในวันนี้ คือ จำเลยที่ 1 และ 2 ร่วมกันทำร้ายร่างกายให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ ร่วมกันทำร้ายร่างกายให้ได้รับอันตรายสาหัส ส่วนจำเลยที่ 1 เจ๊นุช จะมีข้อหาเพิ่มคือ กรรโชกทรัพย์ และข่มขืนใจ ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นมีข้อหาเพิ่มคือพกพาอาวุธ และไม่จ่ายค่าจ้างตามกฎหมาย ส่วนข้อหาค้ามนุษย์นั้นไม่เข้าข่ายความผิด แต่ก็ต้องอุทธรณ์
ขณะที่นางสาวเอ กล่าวว่า ตอนแรกก็รู้สึกกังวลว่าคำพิพากษาจะออกมายังไง แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ก็คงจะต้องสู้ต่อไป ที่ผ่านมาโดนมาเยอะมากทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งภาพความทรงจำทุกอย่างยังอยู่ แต่เราเลือกที่จะไม่จำมัน หรือเอามาทำร้ายจิตใจ ส่วนเรื่องบาดแผลและร่างกายก็จะอยู่กับเราตลอด ส่วนเรื่องคดีความก็จะเดินหน้าสู้ต่อไป แต่ในความรู้สึกนั้นก็อโหสิกรรมให้ในส่วนของกรรม แต่ในเรื่องของคดีความก็ต้องสู้กันต่อไป และจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่ามนุษย์คนหนึ่งไม่สมควรที่จะโดนอะไรแบบนี้
นางสาวเอ เผยด้วยว่า หลังจากที่ได้รักษา จมูกสามารถกลับมาหายใจได้ทั้งสองข้างเหมือนคนปกติทั่วไป จากที่เคยหายใจได้ข้างเดียว ส่วนชีวิตประจำวันตอนนี้ก็ทำกล้วยฉาบขาย เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงคุ้มครองพยานของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมาถึงวันนี้ก็อยากขอบคุณผู้สื่อข่าวที่ช่วยนำเสนอข่าวและขอบคุณคุณกัน จอมพลัง ที่ช่วยเหลือทุกอย่าง และไม่อยากให้ใครที่เป็นมนุษย์ได้พบกับเหตุการณ์แบบนี้อีก จากที่เคยอยู่ในความมืด ก็ไม่คิดว่าชีวิตจะมาพบกับแสงสว่าง จนทำให้มาพบกับคุณกัน จนทำให้รู้สึกว่าความเป็นมนุษย์นั้นมีคุณค่ามากกว่าที่เราจะหายไปจากโลกใบนี้ ทั้งนี้ นางสาวเอได้กับนำพวงมาลัยมาก้มกราบ กัน จอมพลัง เพื่อขอบคุณด้วย