1."ตะวัน" นอนคุก หลังศาลไม่ให้ประกัน คดีป่วนขบวนเสด็จ ขณะที่เจ้าตัวอ้าง แค่ขับรถเร็ว ไม่ได้ตั้งใจป่วน-ไม่รู้มีขบวนเสด็จ!
จากกรณีที่ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อายุ 20 ปี แกนนำกลุ่มทะลุวัง และเพื่อนซึ่งทราบในเวลาต่อมาว่า คือ นายณัฐนนท์ ไพโรจน์ หรือแฟรงค์ ได้ขับรถบีบแตรลากยาวระหว่างขบวนเสด็จของกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จผ่านทางร่วมต่างระดับมักกะสัน ซึ่งมีการปล่อยรถประชาชนร่วมในเส้นทาง เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ไม่เท่านั้น รถ น.ส.ทานตะวัน ที่มีเพื่อนเป็นคนขับ ยังขับด้วยความเร็วเพื่อจะแซงขบวนเสด็จด้วย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถวายความปลอดภัยปฏิบัติหน้าที่รถปิดท้ายได้สกัดกั้นรถของ น.ส.ทานตะวันและเพื่อนให้หยุดการกระทำดังกล่าว ก่อนปรากฏคลิปที่ น.ส.ทานตะวัน แสดงความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ที่มาสกัดกั้น พร้อมใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ ฯลฯ
หลังจากนั้น กระแสสังคมต่างตำหนิการกระทำของ น.ส.ทานตะวันและเพื่อนอย่างกว้างขวางที่บีบแตรป่วนขบวนเสด็จ พร้อมจี้ให้ตำรวจถอนประกัน น.ส.ทานตะวัน และสอบจริยธรรมนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เป็นนายประกันให้ น.ส.ทานตะวัน จนได้รับการประกันตัวก่อนหน้านี้ รวมทั้งให้ดำเนินคดี น.ส.ทานตะวันและเพื่อนที่กระทำการดังกล่าว ซึ่งตำรวจ สน.ดินแดง ได้รวบรวมพยานหลักฐานและออกหมายเรียก น.ส.ทานตะวันและนายณัฐนนท์ มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ทั้งคู่ไม่มาพบพนักงานสอบสวน จึงมีการออกหมายเรียกครั้งที่ 2 หากไม่มา จะออกหมายจับ
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ. น.ส.ทานตะวัน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยอ้างว่า วันดังกล่าวไม่รู้ว่ามีขบวนเสด็จ และไม่ได้ตั้งใจจะไปป่วน โดยระบุว่า "ความจริง คือ 1. วันนั้นเราเพิ่งกลับจากงานศพ และมีธุระจะไปทำแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 2.เราไม่ได้รู้ว่าจะมีขบวนเสด็จ และไม่ได้มีความตั้งใจจะไปป่วน รวมถึงไม่ได้ขวางขบวนตามที่เป็นข่าว เพราะหากใครดูคลิปจริงๆ ก็จะรู้ว่าเราไม่ได้ขวางขบวนหรือปาดหน้าขบวนตามที่สื่อหลายช่องบอก แต่เพียงขับรถเร็วและไม่ระมัดระวังจริงๆ เพียงเพื่อจะรีบไปให้ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตามที่เราจะไปทำธุระ
"3.เราทบทวนเหตุการณ์นั้น และคิดได้ว่าการขับรถเร็วและไม่ระมัดระวังแบบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ จึงได้ขอโทษในส่วนนี้ไป และจะนำไปปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก 4.เรายังคงยืนยันในสิทธิและเสรีภาพในการตั้งคำถามแบบที่เราได้ถามไปตามไลฟ์โดยที่เราเรียกตำรวจว่าพี่ และ "ตัวเรา" ไม่ได้พูดคำหยาบใดๆ กับตำรวจ มีเพียงการตั้งคำถามเท่านั้น นี่คือความจริงทุกตัวอักษร จะเชื่อหรือไม่เป็นสิทธิของทุกคน ที่มีคนบอกว่าเราขวางหรือขับรถตามขบวนเสด็จ ไม่เป็นความจริง"
วันต่อมา (12 ก.พ.) ทนายความของศูนย์สิทธิมนุษยชนได้นำหนังสือของ น.ส.ทานตะวัน และนายณัฐนนท์ มายื่นให้พนักงานสอบสวนเพื่อขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนออกไปเป็นวันที่ 20 ก.พ. โดยอ้างว่า ติดภารกิจเรื่องการเรียน จึงไม่สามารถเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากพนักงานสอบสวนและคณะทำงานในคดีฯ ได้ประชุมพิจารณาเหตุผลที่ทั้งสองอ้างในการขอเลื่อนเมื่อวันที่ 13 ก.พ.แล้ว มีความเห็นว่า ไม่มีเหตุอันควรที่ผู้ต้องหาอ้างว่าติดเรียน พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับทั้ง 2 คน ก่อนนำหมายจับเข้าควบคุมตัวทั้งสอง ที่หน้าศาลอาญาในช่วงเย็นวันเดียวกัน
วันต่อมา (14 ก.พ.) พนักงานสอบสวน สน.ดินแดน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอฝากขัง น.ส.ทานตะวัน และนายณัฐนนท์ นศ.ธรรมศาสตร์ ข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันกระทำด้วยประการใดอันเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ, ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร มาขออำนาจศาลฝากขัง ซึ่งศาลอนุญาตให้ฝากขัง ต่อมา ทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ข้อหาที่ผู้ต้องหาถูกกล่าวหามีอัตราโทษสูง พฤติการณ์ในการกระทำของผู้ต้องหามีลักษณะไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ก่อให้เกิดความปั่นป่วนต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม หากให้ปล่อยตัวชั่วคราว มีเหตุเชื่อว่าจะไปก่อเหตุอันตรายลักษณะเดียวกันนี้หรือประการอื่น อีกทั้งอาจเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ยกคำร้อง
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา มีรายงานว่า น.ส.ทานตะวัน ได้เขียนข้อความมากับเพื่อนถึงสื่อมวลชนระบุว่า “นี่คือคำตอบที่ผู้ใหญ่ในประเทศนี้ให้กับหนู แต่หนูยืนยันที่จะสู้ต่อไป การก้าวขาเรือนจำ เราไม่เหลืออะไรนอกจากร่างกายที่มีไว้ต่อสู้ หนูจะใช้ร่างกายและจิตวิญญาณที่เหลือเหลืออยู่สู้ต่อไป หนูและแฟรงค์จะอดอาหารและน้ำประท้วงเพื่อ 3 ข้อเรียกร้อง โดยจะไม่ยื่นประกันตัว 1.ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 2.ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะเห็นต่างอีก 3.ประเทศไทยไม่ควรเป็นคณะรัฐมนตรีสิทธิมนุษยชน"
ทั้งนี้ การกระทำของ น.ส.ทานตะวัน และนายณัฐนนท์ ที่บีบแตรป่วนขบวนเสด็จ ทำให้ประชาชนทั่วประเทศ รวมทั้งศิลปินนักแสดง และหน่วยงานต่างๆ พากันแสดงออกถึงความรักและถวายกำลังใจแด่กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โดยพร้อมใจกันสวมเสื้อสีม่วง ฯลฯ
2.“ทวี” เผย “ทักษิณ” ได้พักโทษ เพราะเข้าเกณฑ์ป่วยร้ายแรง-อายุเกิน 70 ด้าน "เศรษฐา" แบไต๋พร้อมขอคำปรึกษาเรื่องที่ "ทักษิณ" ชำนาญ!
เมื่อวันที่ 13 ก.พ. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยถึงการพักโทษนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาด ที่ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่คืนเดียว เพราะอ้างว่าป่วย และเข้าพักที่ รพ.ตำรวจ ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางกลับไทย 22 ส.ค.66 จนถึงปัจจุบัน และไม่เคยมีภาพออกมายืนยันว่า เจ้าตัวอยู่ชั้น 14 ของ รพ.ตำรวจจริงว่า ทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้เสนอเรื่องการพักโทษมาที่กระทรวงยุติธรรมแล้ว และมีคณะร่วมกันพิจารณา เนื่องจากการพักโทษครั้งนี้มีทั้งหมด 945 คน ซึ่งคณะอนุกรรมการพักโทษได้มีการอนุมัติไปทั้งสิ้น 930 คน โดยมีส่วนหนึ่งที่ไม่อนุมัติ
พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า การพักโทษอยู่ในกฏหมายราชทัณฑ์ มาตรา 52 ซึ่งการจะพิจารณาบุคคลที่จะได้รับการพักโทษคือ จะต้องเข้าเงื่อนไขติดคุกมาแล้ว 6 เดือน หรือ 1 ใน 3 หากอันไหนมากกว่ากันให้ใช้เกณฑ์อันนั้น แต่โทษต้องเหลือไม่เกิน 10 ปี ซึ่งการดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพักโทษในครั้งนี้ มีชื่อของนายทักษิณด้วยหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ในรายงานการประชุมมีชื่อของนายทักษิณด้วย โดยคณะอนุกรรมการพักโทษเห็นชอบตามที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์เสนอ เนื่องจากเกณฑ์ของนายทักษิณ อยู่ในกลุ่มเจ็บป่วยร้ายแรง พิการ หรืออายุ 70 ปีขึ้นไป
เมื่อถามว่า นายทักษิณจะได้พักโทษวันไหน พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ท่านต้องโทษ 1 ปี ถ้า 1 ใน 3 คือ 4 เดือน แต่กรณีของนายทักษิณ พอครบ 6 เดือน ก็เป็นอัตโนมัติที่จะได้รับการพักโทษ ส่วนจะได้พักโทษวันใดนั้น ต้องไปไล่วันดู แต่เราไม่มีวันหยุดอะไร ถ้าได้รับครบเกณฑ์ก็เป็นสิทธิ์ของผู้พักโทษ ทางราชทัณฑ์ก็จะมีการประสานกัน
พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า อยากจะเรียนว่า มันเป็นเรื่องปกติ ตนได้ตรวจสอบว่า โครงการการพักโทษ กรณีเจ็บป่วยร้ายแรง พิการ หรืออายุ 70 ปี มันเริ่มมาตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบันมีอยู่จำนวน 2,240 คน ซึ่งนอกจากการพักโทษแล้ว ยังมีการยกเลิกการพักโทษก็มี เนื่องจากว่าในช่วงที่ผ่านมาต้องมีการปฎิบัติตามเกณฑ์ที่อนุกรรมการกำหนด
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดยนายพิชิต ไชยมงคล และนายนัสเซอร์ ยีหมะ ร่วมกับกลุ่ม ศปปส. และกลุ่มกองทัพธรรม ได้เข้ายื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด เพื่อสอบถามความคืบหน้าคดีนายทักษิณ ชินวัตร ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นเบื้องสูงมาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ปี 2558 พาดพิงสถาบันฯ ซึ่งเป็นความผิดนอกราชอาณาจักรที่อยู่ในความรับผิดชอบของอัยการสูงสุด
นายพิชิต กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาเพื่อสอบถามและยื่นความเห็นให้อัยการสูงสุด นำไปประกอบการพิจารณา หลังจากโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดแถลงข่าวว่าเมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ได้แจ้งข้อหานายทักษิณ ในความผิด มาตรา 112 และผู้ต้องหาได้ยื่นขอความเป็นธรรม ซึ่งกลุ่ม คปท.มีความเห็นใน 3 ประเด็น คือ
การที่นายทักษิณร้องขอความเป็นธรรมในคดีนี้ เราเห็นว่า การที่กองทัพบกมาร้องทุกข์ให้อัยการสูงสุดแจ้งข้อหานั้น เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้ต้องหาไม่มาชี้แจงต่อสู้คดีเองในเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากหลบหนีออกนอกประเทศ ดังนั้น การยื่นขอความเป็นธรรม จึงไม่ใช่เหตุที่อัยการจะต้องมาพิจารณา และต้องการให้อัยการสูงสุดชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการหลังนายทักษิณได้รับการพักโทษให้ชัดเจนว่า จะมีมาตรการกับผู้ต้องหาอย่างไร จะมีการอายัดตัว หรือจะให้ประกันตัว หรือจะถ่วงเวลาไปให้พ้นโทษ ก็ต้องชี้แจงให้ชัดเจนด้วย
รวมถึงจากการที่ตัวแทนกลุ่มได้ไปสอบถามแพทย์ที่โรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็พบว่ามีข้อขัดแย้งกัน เพราะทางแพทย์ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานไหนขึ้นไปห้องที่นายทักษิณรักษาตัวอยู่บนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจเลย นอกจากผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วที่อัยการสูงสุดแถลงว่า มีการไปแจ้งข้อกล่าวหานั้น เกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร เพราะการแจ้งข้อกล่าวหาจะต้องแจ้งต่อหน้าผู้ต้องหา
นายพิชิต กล่าวด้วยว่า ในวันนี้ เราได้มายื่นหนังสือไว้ และหากหลังวันที่ 18 ก.พ.หรือวันที่นายทักษิณได้รับการพักโทษ แล้วยังไม่ได้รับความชัดเจนในเรื่องนี้ ก็จะกลับมาทวงถามอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่า ในช่วงวันที่คาดว่า นายทักษิณจะได้รับการพักโทษนั้น ทางกลุ่มจะมีการทำกิจกรรม แต่ยังอยู่ระหว่างการหารือกัน โดยจะไปต้อนรับที่หน้าโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง เพราะได้ทวงถามเรื่องนี้มาตลอดหลายสัปดาห์ว่านายทักษิณจะออกจากโรงพยาบาลตำรวจมาในลักษณะไหน จะแข็งแรงหายป่วยทันทีหลังจากป่วยหนักมา 180 วันหรือจะออกมาแบบเป็นผู้ป่วยติดเตียง โดยจะเป็นการทำกิจกรรมเพื่อไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ด้านนายณรงค์ ศรีระสันต์ พร้อมด้วยนายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้เป็นตัวแทนมารับหนังสือจาก คปท. โดยนายณรงค์ ชี้แจงว่า การสั่งสำนวนนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เมื่อสั่งคดีอย่างไรแล้ว ทางโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดจะมีการแถลงข่าวอีกครั้ง ขณะเดียวกันจะเสนอหนังสือของทางกลุ่มมวลชนที่ยื่นวันนี้ให้กับท่านอัยการสูงสุดด้วย
ส่วนที่มีข่าวว่า อัยการและพนักงานสอบสวนได้เข้าไปแจ้งข้อกล่าวหากับนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น นายรณรงค์ กล่าวว่า ทางโฆษกฯ ไม่ได้มีข้อมูลในส่วนนั้น และยืนยันไม่ได้ เพราะไม่ใช่พนักงานสอบสวน
ขณะที่นายนาเคนทร์ กล่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุดสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเหมือนทุกคน แต่ด้วยหน้าที่ของอัยการในการพิจารณา ก็จะพิจารณาตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ และให้ความเป็นธรรม ขอให้ทุกคนสบายใจได้ เพราะอัยการพร้อมจะให้ความเป็นธรรม พร้อมปกป้องเทิดทูนสถาบันฯ
ล่าสุด (17 ก.พ.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงขั้นตอนการปล่อยตัวนายทักษิณว่า เข้าใจว่าจะมีการปล่อยตัวในวันที่ 18 ก.พ. เชื่อว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ส่วน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีการรายงานขั้นตอนอะไรที่เป็นพิเศษหรือไม่ ก็เป็นไปตามที่พูดที่ข่าวออกมาแล้ว เป็นไปตามกฎหมายทุกอย่าง
ส่วนการปล่อยตัวจะเป็นในช่วงกลางคืนหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ไม่ทราบเลยครับ ผมไม่ทราบ แต่เป็นวันที่ 18 ผมไม่ทราบ ไม่แน่ใจในข้อกฎหมาย วันที่ 18 คือวันที่ 18 ไม่แน่ใจ ไม่ได้มีการคุยกัน ไม่ได้ลงรายละเอียด ผมเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมาย”
เมื่อถามว่า นายกฯ จะมีโอกาสไปเจอกับนายทักษิณหรือไม่ หลังได้รับการปล่อยตัว นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องดูตามความเหมาะสม ส่วนที่ถามมาว่าจะไปขอคำแนะนำอะไรหรือไม่ ตนเชื่อว่าในฐานะนายกฯ ตนให้เกียรติอดีตนายกฯ ทุกท่าน “ถ้ามีโอกาสเจอกันตามงาน หรือถ้ามีเรื่อง หรือถ้ามีความจำเป็นที่นายกฯ ในอดีตมีความชำนาญในเรื่องนั้นเป็นพิเศษ ผมเชื่อว่าผมไม่เขินอายที่จะไปปรึกษา วันนั้นเจอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ก็คุยกันเป็นชั่วโมง มีหลายเรื่องที่ท่านให้คำแนะนำมา”
ส่วนจะแค่ขอคำปรึกษาหรือตั้งเป็นคณะทำงาน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ยังไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น ผมยังไม่ทราบว่าท่านอยากทำแบบนั้นหรือเปล่า ไปพูดก้าวล่วงแบบนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง ผมเชื่อว่าท่านจากไปหลายปีแล้ว ก็คงมีเรื่องที่อยากจะทำ ท่านเองก็ไม่สบายอยู่ด้วย ก็ต้องดูความเหมาะสม“
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด (17 ก.พ.) มีรายงานว่า นายทักษิณอาจเปลี่ยนแผน จากเดิมที่คาดว่า จะออกจาก รพ.ตำรวจ ในวันที่ 18 ก.พ. ช่วงเวลา 05.00-06.00 น. โดยจะมีรถของโรงพยาบาลพระราม 9 มารับแล้วไปส่งยังบ้านจันทร์ส่องหล้า ซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 เขตบางพลัด กรุงเทพฯ โดยอาจจะเปลี่ยนเป็นยังไม่ออกจาก รพ.ตำรวจในวันที่ 18 ก.พ. อาจพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจต่อ หากสุขภาพยังไม่เอื้ออำนวยต่อการเคลื่อนย้าย ซึ่งจะต้องดูรายละเอียดการพูดคุยระหว่างแพทย์และผู้ป่วยประกอบด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา หลายฝ่ายสงสัยว่านายทักษิณป่วยหนักจริงหรือไม่ ซึ่งหากนายทักษิณสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันทีในวันที่ 18 ก.พ. ก็เท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่าข้ออ้างเรื่องอาการป่วยหนักจำเป็นต้องนอนอยู่โรงพยาบาลตำรวจก่อนหน้านี้ไม่เป็นความจริง
3. ตำรวจงัดหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิด เอาผิด "นักข่าวประชาไท-ช่างภาพอิสระ" พบมีการนัดเจอ-วางแผนกับมือพ่นสีวัดพระแก้ว ก่อนก่อเหตุ 1 วัน!
จากกรณีที่ตำรวจได้แสดงหมายจับและจับกุมนายณัฐพล เมฆโสภณ ผู้สื่อข่าวเว็บไซต์ประชาไท และนายณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ ช่างภาพอิสระ เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ข้อหาเป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน และ พ.ร.บ.ความสะอาด เหตุเกิดจากการรายงานข่าวนายศุทธวีร์ สร้อยคำ หรือบังเอิญ อายุ 25 ปี แกนนำกลุ่มศิลปะปลดแอก ชาวจังหวัดขอนแก่น ก่อเหตุพ่นสีกำแพงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เพื่อไม่เอามาตรา 112 และเครื่องหมายสัญลักษณ์อนาคิสต์ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2566 ที่ผ่านมา
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 13 ก.พ. นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส ได้โพสต์ข้อความปกป้องนักข่าวทั้งสอง ผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า "เมื่อรัฐบาลเริ่มจับนักข่าวเพียงเพราะไปทำข่าวตามหน้าที่ นั่นคือสัญญาณการเริ่มปราบปรามช่องทางการสื่อสารประชาชน!"
ขณะที่ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวภาคสนามชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กปกป้องนักข่าวดังกล่าวเช่นกันว่า #FreedomofSpeech "#นักข่าวไม่ใช่อาชญากร #Journalistisnotacriminal เป็นกำลังใจให้เป้/ยา และสำนักข่าวประชาไทค่ะ กรณีนี้เขาแค่ไปทำข่าว แต่กลับถูกดำเนินคดีให้การสนับสนุนทำลายโบราณสถาน และมีหมายจับ โดยไม่มีหมายเรียก ไม่มีโอกาสได้ชี้แจง ก็ถูกจับเข้าคุก ไม่มีโอกาสพูดใดๆ การปิดปากสื่อมวลชน = ปิดปากประชาชน"
อย่างไรก็ตาม วันเดียวกัน (13 ก.พ.) เพจ "สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว" ได้ออกมาเปิดเผยภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาเปิดเผย โดยเห็นว่า ผู้สื่อข่าวประชาไท และช่างภาพอิสระนัดเจอมือพ่นสีกับพวก หนึ่งวันก่อนก่อเหตุพ่นข้อความบนกำเเพงวัดพระเเก้ว
โดยตำรวจได้เผยภาพจากกล้องวงจรปิด ลำดับให้เห็นถึงการกระทำที่นำไปสู่การออกหมายจับนักข่าวทั้งสอง ซึ่งเห็นว่า นายณัฐพลได้ร่วมประชุมวางแผนกับกลุ่มผู้ก่อเหตุพ่นสีบริเวณกำแพงวัดพระแก้ว ตั้งแต่ก่อนก่อเหตุ 1 วัน โดยช่วงเย็นถึงค่ำก่อนเกิดเหตุพ่นสี นายณัฐพลพร้อมกับพวก ซึ่งมีบางคนร่วมกันก่อเหตุพ่นสีที่บริเวณกำแพงวัดพระแก้ว ได้ไปหารือเพื่อวางแผนและสำรวจสถานที่ก่อน ที่บริเวณหน้าศาลฎีกา สนามหลวง
จากนั้น วันก่อเหตุ คนกลุ่มเดิมก็ไปรวมตัวกันเวลา 16.00 น. กระทั่ง 17.40 น. ถึง 18.00 น. ทุกคนเข้าประจำจุด และทำหน้าที่ของตัวเอง ระหว่างที่นายศุทธวีร์ ผู้ต้องหาพ่นสี ดำเนินการก่อเหตุ นายณัฐพล ผู้สื่อข่าวประชาไท และนายณัฐพล ที่เป็นช่างภาพอิสระ ทำหน้าที่ถ่ายภาพ ส่วนผู้ร่วมกลุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิง ทำหน้าที่ไลฟ์สด อีกคนเป็นชายทำหน้าที่ถ่ายวิดีโอ ส่วนเพื่อนร่วมกลุ่มที่ทำหน้าที่อีกคนหนึ่งทำหน้าที่ถ่ายภาพนิ่ง และสุดท้ายคือ ตะวันเป็นคนกระจายคลิปและภาพต่างๆ ลงสื่อโซเชียล
ภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า นายณัฐพลเข้าที่เกิดเหตุก่อนที่จะมีการก่อเหตุ และมีพฤติกรรมถ่ายภาพ มีนายศุทธวีร์เตรียมดำเนินการและกำลังดำเนินการ เพราะปกติถ้าไม่ทราบแผนมาก่อน ก็จะไม่สามารถนำอุปกรณ์มาถือรอถ่ายภาพขณะเกิดเหตุได้
ทั้งนี้ หลังพนักงานสอบสวนขอศาลฝากขังนักข่าวทั้งสอง ศาลอนุญาตให้ฝากขัง และอนุญาตให้ประกันตัว โดยตีราคาประกันคนละ 3.5 หมื่นบาท
4. ศาลพิพากษายกฟ้องคดี "อ้อย เข็มทิศชีวิต" ฟ้อง "ผู้จัดการ" หมิ่น หลังเสนอข่าว "รวมคนดังชีวิตหวิดพังเพราะเข็มทิศ" ศาลชี้ เจ้าตัวเอาหลักศาสนาพุทธมาเปิดคอร์สหากิน!
เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือครูอ้อย ไลฟ์โค้ชเข็มทิศชีวิต เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ไทยเวิลด์ มีเดีย จำกัด จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และละเมิด พร้อมเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 5,052,777 บาท
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2566 เพจเฟซบุ๊ก "ผู้จัดการสุดสัปดาห์" ได้โพสต์ภาพ น.ส.ฐิตินาถ และบุคคลในวงการบันเทิงอื่นๆ และมีข้อความในภาพว่า “รวมคนดังชีวิตหวิดพังเพราะเข็มทิศ” และเขียนข้อความประกอบภาพว่า “เป็นประเด็นอย่างต่อเนื่องสำหรับคอร์สหลักสูตร “เข็มทิศชีวิต” ของ “ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง” หลังคนในวงการต่างทยอยถอนตัวออกจากการวงจรของเจ้าตัวมากขึ้น ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปก็ต้องบอกว่า “คอร์ส” การจัดสัมมนาปรึกษาปัญหาชีวิตของเจ้าตัวนั้นมีปัญหามาตั้งแต่แรกๆ แล้ว และมี “คนดัง” มากมายที่ชีวิตพังเพราะเข็มทิศ โดยเมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2567 ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดไต่สวนมูลฟ้อง และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 12 ก.พ. 2567
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่พระโพธิสัตว์ยอมละทิ้งราชสมบัติ บุตร และภรรยา เสด็จหลีกออกผนวชแสวงหาทางพ้นทุกข์ จนได้ปัญญาตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นองค์พระอรหันตระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตั้งพระศาสนาหรือพระธรรมวินัยขึ้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ไว้ให้พระพุทธศาสนิกชนได้ยึดถือเป็นสรณะนั้น เป็นการกระทำเพื่อโปรดเหล่าสัพพสัตว์ที่จะได้ศึกษาเรียนรู้ตาม จนเกิดปัญญารู้เห็นสัจจธรรม ทำให้ทุกข์ในใจเบาบางลงไปจนหมดสิ้นอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ โดยพระตถาคตไม่ได้กระทำไปด้วยความปรารถนาในลาถ ยศ คำสรรเสริญ หรือทรัพย์สินเงินทองใด ๆ
ซึ่งการเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนไปสู่ผู้มีศรัทธา ก็ทรงให้เป็นหน้าที่ของเหล่าสงฆ์สาวกหรือนักบวชในธรรมวินัย ที่ได้รับการศึกษาธรรมวินัยจนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ตน มีคุณสมบัติเป็นผู้มักน้อย สันโดษในลาภสักการะ เลี้ยงขึ้นด้วยปัจจัยสี่ที่ผู้ครองเรือนมอบให้ด้วยใจศรัทธา เที่ยวจาริกไปเผยแพร่คำสอนและชี้ทางแห่งความสุขความเจริญในชีวิตให้แก่คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยมีความเห็นชอบเป็นสัมมาทิฏฐิ ได้ตาปัญญาเป็นแสงสว่างของชีวิต ก็ย่อมจะพบชีวิตใหม่ที่มีคุณค่ากว่าการได้ทรัพย์สินอันใดในโลก เพราะแม้จะยังทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ในอัตภาพนี้ ก็ต้องได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติในอัตภาพต่อ ๆ ไปอย่างแน่นอน ส่วนการดำรงอยู่อย่างมั่นคงของพระศาสนาเป็นที่พึ่งของเหล่าสัพพสัตว์ชั่วกาลนาน พระองค์ทรงมอบให้เหล่าพุทธบริษัท 4 อันประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ช่วยกันกระทำ โดยภิกษุและภิกษุณีต้องอยู่ในพระธรรมวินัย อุบาสกและอุบาสิกามีความเคารพในพระรัตนตรัย เป็นต้น
เมื่อพิจารณาหลักการสำคัญของพระศาสนาตามพระประสงค์ที่กล่าวมาข้างต้นและความต้องการอยากพ้นทุกข์ของมนุษย์เข้าด้วยกัน ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนย่อมต้องยอมรับว่า พระธรรมคำสั่งสอนที่ได้ประทานไว้ให้โดยมหากรุณานั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดมีคุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ในโลก และเป็นการประทานให้เปล่า ๆ ไม่ต้องใช้เงินหรือทองเข้าแลก
จึงไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เหล่าพุทธบริษัท 4 ผู้หนึ่งผู้ใด ที่ได้เรียนรู้พระธรรมแล้วจะอาศัยเอาพระธรรมนั้นออกแสดงเพื่อการค้า หรือเพื่อแสวงหาผลกำไร เพราะเป็นการตีราคาพระธรรมคำสอนเทียบค่ากับเงินทอง เป็นการกระทำที่ไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยประการหนึ่ง เป็นหนทางที่จะนำไปสู่การเบียดเบียนในทางทรัพย์สินเงินทองได้ประการหนึ่ง ทำให้บุคคลที่ยังไม่ได้มั่นคงในพระรัตนตรัยพากันเสื่อมถอยหนีห่างไปจากศาสนาประการหนึ่ง
และประการสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการสั่งสอนหรือถ่ายทอดธรรมะให้บุคคลอื่น ผู้ตั้งตนเป็นครูอาจารย์ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ เป็นผู้ได้เปรียญธรรมหรือศึกษาปฏิบัติธรรมจนเป็นผู้ข้ามโคตรจากปุถุชนเป็นอริยะบุคคลอย่างชอบขั้นโสดาบัน มีคุณธรรมวิเศษในใจ มีดวงตาเห็นธรรมรู้เห็นอยู่ในแนวทางแห่งพระนิพพาน มีมรรคองค์ 8 เป็นปฏิปทาในตน แล้วจึงค่อยสามารถให้การอบรมสั่งสอนปุถุชนผู้ยังมีปัญญามืดบอดแต่มีศรัทธาได้ เพราะคนที่ยังเป็นปุถุชนและยังไม่ได้เปรียญธรรมหากเที่ยวไปสั่งสอนคนอื่น ก็เท่ากับคนตาบอดเดินจูงคนตาบอดไป ย่อมจะไม่สามารถถึงจุดหมายตามที่ปรารถนาได้ แต่กลับต้องประสบกับทุกข์และคลาดเคลื่อนออกนอกทางแห่งพรหมจรรย์ที่ทรงแสดงไว้ให้อย่างแน่แท้
เมื่อคดีนี้ โจทก์เป็นผู้ยังไม่ได้เปรียญธรรมมีแต่ปริญญาทางโลก ได้ยอมรับว่าได้นำเอาหลักศาสนาพุทธมาใช้เป็นปัจจัยในการประกอบธุรกิจ มีรายได้และผลกำไรจากการเปิดคอร์สอบรม “เข็มทิศชีวิต” เป็นเงินไม่น้อยประมาณปีละ 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยการเก็บเงินค่าสมัครเข้าอบรมคอร์สเข็มทิศชีวิตจะกำหนดค่าสมัครตามจำนวนผู้สมัคร หากมีผู้สมัครจำนวนน้อยจะคิดค่าสมัครแพงกว่ากรณีที่มีผู้สมัครจำนวนมาก ค่าคอร์สรายบุคคลในราคาหลักหมื่นหรือไม่ก็หลักแสน โดยเพียงบุคคลเดียวหากเรียนหลายคอร์สจะต้องใช้เงินประมาณ 3 ล้านบาทนั้น ย่อมเท่ากับเป็นการรับรองอยู่ในตัวต่อผู้มีศรัทธาในพระศาสนาว่า ตนเองมีภูมิจิตภูมิธรรมสูง เลยขั้นปุถุชนคนหนึ่งด้วยกิเลสไปแล้ว
คดีนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า บุคคลผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงเคยเข้าคอร์สอบรมเข็มทิศชีวิตกับโจทก์ มีความสนิทสนมรักใคร่ในตัวโจทก์ แต่ต่อมา ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะลงข่าวกล่าวถึงโจทก์ด้วยกับคำตามฟ้อง บุคคลเหล่านั้นต่างก็ร้องขอให้โจทก์ลบรูปของตนที่ถ่ายคู่กับโจทก์ออกจากเว็บไซต์ประชาสัมพันธ์คอร์สอบรม "เข็มทิศชีวิต" ของโจทก์ และแสดงออกให้สังคมทราบว่า ไม่ยอมที่จะให้โจทก์ใช้ชื่อเสียงของตนไปประชาสัมพันธ์คอร์สอบรมของโจทก์อีก และบางคนถึงขั้นขัดแย้งไปทางกฎหมายกับตัวโจทก์ ซึ่งเห็นว่า การที่โจทก์ต้องหยุดเปิดคอร์ส "เข็มทิศชีวิต" ไปก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปีเศษ ก็น่าเชื่อว่า เป็นผลมาจากข้อเท็จจริงการที่ผู้เข้าอบรมได้สัมผัสหรือได้เห็นปฏิปทาในทางธรรมของโจทก์ ที่ปรากฏอยู่ในข่าวซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจำเลยที่ 1 ลงข่าว
พฤติการณ์แห่งรูปคดีย่อมจะน่าเชื่อได้ว่า บรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียงดังกล่าวนอกจากจะไม่ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการเข้าคอร์สแล้ว ยังถึงขั้นกับตั้งตัวรังเกียจในตัวโจทก์อีกด้วย และโดยที่หลักการสำคัญของศาสนาพุทธ และทุกศาสนาที่ให้มนุษย์ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วยความมีเมตตาและกรุณา ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ เพื่อให้อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความผาสุกแล้ว เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำของโจทก์ตามที่กล่าวมาข้างต้น จึงต้องเชื่อได้ว่า ตัวโจทก์เป็นคนที่ได้กระทำให้บุคคลผู้เสียเงินสมัครเข้าอบรมคอร์ส "เข็มทิศชีวิต" ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ทั้งในด้านชื่อเสียงและเงินทอง จึงนับว่าเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยหลักธรรมอันเป็นหลักการของศาสนาพุทธ
โจทก์จึงไม่อาจอาศัยการกระทำที่ขัดแย้ง ไม่ตรง และไม่เป็นไปโดยชอบด้วยคำสอนของพระศาสดา มีเจตนามุ่งหวังและแสวงหากำไรเป็นประโยชน์เฉพาะตน มาใช้เป็นฐานรองรับในการขอใช้อำนาจแห่งกฎหมายคุ้มครองการกระทำดังกล่าวว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของตนโดยชอบธรรม เพื่อให้ลงโทษบุคคลอื่นที่กล่าวประกาศตีแผ่และตำหนิติเตียนเฉพาะแต่การกระทำและผลของการกระทำของโจทก์ โดยไม่ใช่เป็นการใส่ร้ายในเรื่องส่วนตัวของโจทก์แต่ประการใด ดังนี้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัยในคดีอาญา ที่จะมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (4) พิพากษายกฟ้อง
5. "บิ๊กโจ๊ก" ไม่กังวลหลังมีข่าวอาจถูกดำเนินคดีฟอกเงินเว็บพนัน "มินนี่" เชื่อ เป็นขบวนการเตะตัดขาไม่ให้ขึ้น ผบ.ตร.!
เมื่่อวันที่ 16 ก.พ. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีเว็บพนันออนไลน์ "มินนี่" เตรียมร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับนายตำรวจใหญ่คนดังระดับบิ๊ก ในฐานะผู้บงการ ข้อหาฟอกเงิน โดยมีการเชื่อมโยงว่า นายตำรวจระดับบิ๊กคนดังกล่าว อาจหมายถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของตำรวจที่ถูกจับกุมในคดีนี้ว่า ได้เห็นกระแสข่าวดังกล่าวแล้ว แต่ก็ไม่กังวลใดๆ เป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ที่ตนเองถูกตำรวจเข้าค้นบ้าน แล้วถูกนำมาเล่าใหม่ และคดีนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนให้อัยการไปหมดแล้ว ตนเองเชื่อว่าความจริงก็คือความจริง เป็นไปตามกฎหมาย ใครจะมากลั่นแกล้งกันไม่ได้ ตนเองทำคดีมาเยอะ ก็ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเยอะเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีการดำเนินคดี ก็ต้องสู้คดีตามกระบวนการ และตนเองก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะพิพากษาถึงที่สุด เพราะกฎหมายไทยเป็นระบบกล่าวหา แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีการแจ้งข้อหากับตนเอง
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยอมรับว่า ตนเองเป็นผู้บังคับบัญชาของตำรวจที่ถูกดำเนินคดีเว็บพนันออนไลน์ทั้ง 8 นาย และจนถึงขณะนี้ตนเองก็ไม่ได้ทอดทิ้งลูกน้อง อันไหนผิดคือผิด อันไหนถูกคือถูก แต่ตนเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ไม่ได้รับเงินเว็บพนัน เงินทั้งหมดทุกอย่างของตนเองชี้แจงได้หมด และตนเองพร้อมพิสูจน์ความจริง ตนเองไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรีมา 2 ปี ผ่านการตรวจสอบมาอย่างละเอียด ก็ไม่ได้ถูกดำเนินคดีหรือลงโทษอะไร หากตนเองมีความผิด ก็คงถูกดำเนินคดีไปนานแล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นตนเองเชื่อว่าเป็นกระบวนการตัดขา ขัดขวางตนเองไม่ให้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีการรื้อฟื้นเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้หนึ่งในลูกน้องที่ตกเป็นผู้ต้องหานั้น ขณะนี้ก็ได้มีการฟ้องกลับคณะพนักงานสอบสวนที่มีการลงลายมือชื่อในรายงานการจับกุมและตรวจค้นกว่า 200 คน ตั้งแต่ยศ "พล.ต.อ." ถึงชั้นประทวนด้วย ดังนั้นตนเองถือว่า "กรรมใครก็กรรมมัน" อย่าไปทำตามใจขณะมีอำนาจ ย้ายใครก็โยกกลับมาได้ แต่หากโดนคดีอาญาติดคุก ใครก็ตามที่ทำไม่ตรงไปตรงมา สุดท้ายก็มีวิบากกรรมหมด มันอาจจะได้ช่วงเดียว แต่ความจริงมีหนึ่งเดียว การเอากฎหมายไปแกล้งใครก็ตาม มันจะได้รับผลกระทบไปหมด ทั้งที่คนที่ทำจริงๆ มีไม่กี่คน
"วันนี้เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากเว็บพนันและตำรวจคนไหนทำเว็บพนันบ้างนักข่าวก็รู้ มันมีตำรวจอยู่แค่กลุ่มเดียวเท่านั้นที่รับเงินเว็บพนัน แต่ผมนั้นไม่ใช่ ดังนั้นเมื่อความจริงมันมีหนึ่งเดียว เมื่อผมไม่ได้รับเงินเว็บพนันเงินทุกอย่างผมก็ดีแคลร์ได้หมด อันนี้มันเป็นเรื่องเก่า มันเป็นนิทานที่ทำกันมาแปดเก้าเดือนแล้ว ก็เอามาวนเล่าซ้ำไปซ้ำมา ทำให้ผมเสียหาย และถ้าหากมีการแจ้งข้อกล่าวหามา ก็ต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาล ต้องจำไว้ว่าหลักกฏหมายในประเทศไทยเป็นระบบกฎหมายการกล่าวหา เมื่อกล่าวหาก็ต้องไปต่อสู้แจงข้อเท็จจริงในชั้นศาล"
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันด้วยว่า ตนไม่เคยทิ้งลูกน้อง และตนก็เชื่อว่าลูกน้องทั้ง 8 คนทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตนจึงไม่ได้ทิ้งลูกน้องเลย เพราะถ้าตนทิ้งลูกน้อง อีก 7-8 ปีที่เหลืออยู่ใครจะทำงานกับตน ยืนยันว่า ไม่ได้เสียกำลังใจในการทำงาน เพราะตนเองก็ยังรับราชการอยู่ "ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง" แต่ถ้าตนเองไม่สู้ ก็คงต้องลาออกไปเลย ถ้าตนเองจะตายก็คงตายตั้งแต่อยู่สำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ตนเองคงไม่ตายน้ำตื้นด้วยการใช้ออนไลน์