xs
xsm
sm
md
lg

จับพิรุธ 5 ข้อ รวบ “พี่ศรี-เจ๋ง-การ์ตูน” หวังป้ายขี้ “พีระพันธ์” ปล่อยอธิบดีข้าวลอยนวล?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จับพิรุธ 5 ข้อ รวบก๊วน “พี่ศรี” ฐานรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว สถานะของ “เจ๋ง และการ์ตูน” ยังไม่ชัดว่าเป็น “เจ้าพนักงานของรัฐ” แต่ ป.ป.ช.-ป.ป.ท.กลับเข้ามายุ่ง พร้อมตั้งข้อหาผิด ม.149 แถมรอจับตอนเข้าทำเนียบ เป็นการรับงานเพื่อเชื่อมโยง “พีระพันธ์” กระทบชิ่งถึง “บิ๊กตู่” หรือไม่ ขณะเดียวกันกลับไม่ดำเนินการกับอธิบดีข้าวและภรรยา ทั้งที่มีข้อร้องเรียนเยอะแยะ แค่เบี่ยงประเด็นว่าถูกเรียกสินบนก็กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ซ้ำมีเหตุบังเอิญไฟไหม้กระทรวงเกษตรฯ โดย รมว.ธรรมนัสอ้างแปลกๆ ว่ามาจากการล้างแอร์



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงคดีที่ตำรวจ ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. รวบตัวนายศรีสุวรรณ จรรยา ,นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก และ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือการ์ตูนในข้อหาข่มขู่เรียกรับเงินจากนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว และภรรยา ว่าไม่ควรมองด้านเดียว เพราะยังมีข้อพิรุธหลายข้อ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องชี้แจงให้โปร่งใสเช่นกัน

ประกอบกับเมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ ได้เกิดเหตุไฟไหม้ บริเวณห้องชั้น 2 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ บริเวณห้องทำงานของทีมงาน นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในเวลาต่อมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เองว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากการ"ล้างแอร์"จนทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร โดย เอกสารสำคัญในห้องที่ปรึกษาของ รมช.ไชยา น่าจะได้รับความเสียหายทั้งหมด แต่ไม่ใช่เอกสารสำคัญ


ขณะที่ตัว รมช.เกษตรฯ นายไชยา เองก็บอกว่าจุดที่เกิดเพลิงไหม้อยู่ห่างจากห้องทำงานตัวเองประมาณ 30 เมตร ทำให้ไม่มีเอกสารสำคัญใดเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ โดยนายไชยา ยังยืนยันด้วยว่ากรณี การจับกุมนายศรีสุวรรณ จรรยา และ "เจ๋ง ดอกจิก" คดีตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าวนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเอง เพราะไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลกรมการข้าว หากเป็นประเด็นที่นายศรีสุวรรณ มาร้องเรียน การจัดซื้อเครื่องบินฝนหลวง ประเด็นนี้ตัวเองจึงได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลในส่วนบริหารและนโยบาย แต่ไม่มีส่วนกับการดูแลเงินงบประมาณ ที่นายศรีสุวรรณตั้งข้อสงสัย


แม้จะมีการออกมายืนยันแบบหัวชนฝาว่า ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีตรวจสอบทุจริตในกระทรวง และ กรณีรวบตัวศรีสุวรรณ กับ เจ๋ง แต่เหตุเพลิงไหม้ปริศนาที่ ก.เกษตรฯ ดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดกระแสความสงสัยไปทั่วว่า มีใครต้องการเผาทำลายหลักฐานอะไรหรือไม่ เพราะช่วงเวลามันช่างเหมาะเจาะ เหมาะเหม็งเสียเหลือเกิน?

ยังไม่นับกับคดีการปราบปรามหมูเถื่อน และ ตีนไก่เถื่อน ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของนายไชยาอีกต่างหาก ที่ถึงวันนี้แม้เรื่องราวจะฉาวโฉ่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว จนนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน บี้แล้วบี้อีก หรือเรียกว่า "บี้จนเบื่อ" แต่ก็ยังไม่สามารถจับกุม หรือ ดำเนินคดีข้าราชการที่เกี่ยวข้องได้เลยแม้แต่คนเดียว ทั้ง ๆ ที่กรมใหญ่ 2 กรมในกระทรวงเกษตรฯ คือ กรมประมง และ กรมปศุสัตว์ นั้นมีหน้าที่รับผิดชอบกับเรื่องเถื่อน ๆ นี้โดยตรง แต่ก็ไม่มีใครรับผิดชอบ

นอกจากปริศนาเรื่องไฟไหม้ที่ ก.เกษตรฯ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาแล้ว ถึงทุกวันนี้ แม้เรื่องราวจะผ่านมาสัปดาห์กว่าแล้ว แต่การจับกุม นายศรีสุวรรณ จรรยา กับ "เจ๋ง ดอกจิก" และ คนใกล้ชิดคือ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีต ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดอุตรดิตถ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ยังมีอีกหลายประเด็นปริศนาที่สร้างความงงงวยให้คนที่รู้เรื่องนี้เช่นกัน


ก่อนอื่นต้องกล่าวเลยว่า อนาคตในการทำหน้าที่ "นักร้อง" ของคนที่ชื่อ "ศรีสุวรรณ จรรยา" นั้นถึงจุดจบแล้วอย่างสิ้นเชิงอันนี้เข้าใจตรงกัน

แต่ประเด็นพิรุธที่จำเป็นต้องกล่าวถึงจากเรื่องดังกล่าวนั้นมีอีกมาก กล่าวคือ

ประเด็นพิรุธที่ 1 : สถานะของ “เจ๋ง และการ์ตูน”

ปรากฏข้อมูลจากสื่อมวลชนว่าการตั้งข้อกล่าวหาต่อนายศรีสุวรรณ กับพวกคือ “เจ๋ง ยศวริศ” และ “การ์ตูน พิมณัฏฐา” ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการดำเนินการตามการให้การของ อธิบดีกรมการข้าวและภรรยา โดยมีการกล่าวอ้างว่านายเจ๋งเป็น “เจ้าพนักงานของรัฐ” เพราะได้รับการแต่งตั้งจากรองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) ให้เป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ทว่า มีเรื่องที่ต้องตั้งคำถามดังนี้คือ


หนึ่ง องค์ประกอบความผิดตาม มาตรา 149 ของประมวลกฎหมายอาญาไม่สมบูรณ์ จึงอาจไม่มีความผิดตาม มาตรา 149 โดยมาตรา 149 นั้นบัญญัติเอาไว้ว่า “มาตรา 149 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาดทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต”

จากองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่เจ๋งจะมีความผิดตามมาตรา 149 ได้และจะทำให้ ศรีสุวรรณ กับ การ์ตูน ถูกตั้งข้อหาหนักขึ้นว่าร่วมกันกระทำความผิดตามมาตรา 149 กับนายเจ๋งได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการ กล่าวคือ 1)นายเจ๋ง ยศวริศ ต้องมีสถานะตามกฎหมายเป็นเจ้าพนักงาน และ 2)นายเจ๋ง ยศวริศ มีตำแหน่งตามที่ได้รับแต่งตั้งที่นำไปใช้เรียกรับประโยชน์เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งนั้น

ประเด็นที่ต้องถามต่อ ก็คือ "เจ๋ง ดอกจิก" ยศวริศ ชูกล่อม และ "การ์ตูน" พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ มีสถานะการเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่? และ ทั้งคู่ใช้ตำแหน่งของการเป็นเจ้าพนักงาน ในการกระทำความผิดหรือไม่?


ทั้งนี้ หากแม้ว่า "เจ๋ง” และ “การ์ตูน” จะมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวอ้าง แต่หากไม่ได้มีอำนาจและหน้าที่ในการกล่าวหาหรือร้องเรียน การดำเนินคดีหรือไม่ดำเนินคดีผู้ใด ยกตัวอยางเช่นกรณีนี้คืออธิบดีกรมการข้าว "เจ๋ง และการ์ตูน" ก็จะไม่มีความผิดตามมาตรา 149 ตามประมวลกฎหมายอาญา

เพราะฉะนั้น การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แถลงข่าวย้ำแล้วย้ำอีกว่า ว่า“เจ๋ง และการ์ตูน” เป็นเจ้าพนักงาน แต่เจ้าหน้าที่ไม่เคยขยายความถึงองค์ประกอบความผิดที่สำคัญที่ว่าทั้งคู่เรียกรับผลประโยชน์เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการในตำแหน่งคณะทำงาน(ไม่ใช่กรรมการ)เขตตรวจราชการที่ 11 (ซึ่งครอบคลุมเฉพาะ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัด นครพนม มุกดาหาร และสกลนคร เท่านั้น โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรุงเทพมหานคร หรือ จังหวัดอื่น ๆ) โดยมิชอบอย่างไร และอำนาจตามตำแหน่งของนายเจ๋งสามารถกระทำการหรือไม่กระทำการตามที่เรียกรับผลประโยชน์ได้หรือไม่ เพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 149 นี่จึงนับว่า เป็นเรื่องที่ผิดวิสัยปกติของเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวน

ทั้งนี้ตามหลักการพื้นฐานของการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว การตั้งข้อกล่าวหาบุคคลใดว่ากระทำความผิดอาญาจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงและเสรีภาพของบุคคลนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนจึงพึงต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ รัดกุม และระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาที่จะทำให้มีโทษสูงกว่าการกระทำตามปกติ โดยอ้างว่าเป็นการกระทำโดยมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานเช่นในกรณีนี้

“ท่านผู้ชมครับ หลายคนที่ดู ก็บอกว่าท่านรัฐมนตรีฯ พีระพันธุ์ ท่านออกมาปกป้อง เจ๋ง ประเด็นไม่ใช่ว่าท่านมาปกป้องเจ๋ง หรือไม่ปกป้องหรอก ประเด็นก็คือว่า เราจะยึดถือความถูกต้องของกฎหมายเอาไว้หรือเปล่า นั่นคือประเด็นหลักมากกว่า เพราะความจริงมาตรา 149 นั้น ที่มีหนึ่งเดียวคือต้องมีองค์ประกอบ 2 องค์ประกอบที่ผมเล่าให้ฟัง


“ซึ่งผมก็ต้องขอเตือนท่าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ หรือ รองเต่า รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินคดีนี้ ว่า ถึงแม้จะมีการอ้างว่าได้ส่งให้มีการตีความไปที่ ป.ป.ช. แล้ว ป.ป.ช. ระบุออกมาว่าสองคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ผมขอกราบเรียนด้วยความเป็นห่วงว่าคุณไม่ใช่คนตัดสินนะ ศาลจะเป็นคนตัดสิน แล้วศาลจะยึดตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด แล้วดูการแต่งตั้งของ เจ๋ง ซึ่งอยู่ในหน่วยตรวจราชการที่ 11 แล้วหน้าที่ของ เจ๋ง ที่ถูกแต่งตั้งนั้น เป็นคณะทำงาน ไม่ได้เป็นกรรมการเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าศาลตัดสินไปเช่นนั้น ผมกลัวว่าคดีจะโอละพ่อ เพราะจะถูกยกฟ้องหมดทั้งยวง รวมไปจนถึงศรีสุวรรณ จรรยา ด้วย


“อย่าได้รับงานของนักการเมืองอีกฟากหนึ่ง เพื่อมาทำลายล้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะการที่ตั้งข้อหาว่าเป็นเจ้าพนักงานนั้น แท้ที่จริงแล้วคือการส่งสัญญาณตีวัวกระทบคราดไปยังพรรครวมไทยสร้างชาติ และเป็นที่รู้กันว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นั้น เกลียด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ่งกว่าขี้ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้นเป็นตัวแทนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คำถามมีอยู่ว่า จู่ๆ ทำไม ป.ป.ช. กระโดดเข้ามาร่วมเล่นงานนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ ป.ป.ช. ป.ป.ช.วางแผนการจับด้วยนะ แล้วมีการแถลงข่าว เลขาธิการ ป.ป.ช. ออกมาแถลงเป็นเรื่องเป็นราวเลย ผมไม่เคยเห็นเลขาธิการ ป.ป.ช. ออกมาแถลงข่าวแบบนี้


“คำถามมีอยู่ว่า ประธาน ป.ป.ช. นั้นสนิทสนมกับใคร ? พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือเปล่า เป็นไปได้ไหม ว่าในที่สุดแล้ว เมื่อกระชากพรรครวมไทยสร้างชาติลงมาได้แล้ว คำถามที่เราต้องถาม ท่านผู้ชมครับ เราต้องถามกันว่า ใครจะได้ประโยชน์จากงานนี้ แน่นอนที่สุด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ได้ พรรคพลังประชารัฐ ได้ไปเต็มๆ เพราะฉะนั้นแล้วผมอยากให้ดูอีกหลายๆ มิติ” นายสนธิกล่าว

ประเด็นพิรุธที่ 2 : การจับกุม สถานที่จับกุม

การจับกุมผู้กระทำความผิดในกรณีนี้มี 3 ราย คือ1.นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน 2.นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก”  3.น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือ การ์ตูน

เป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้กระทำความผิดทั้ง 3 รายนี้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งที่เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการจับกุมได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ไปจับกุมนายศรีสุวรรณที่บ้านพักในช่วงเช้าของ วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2567 ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่ตำรวจประสงค์จะจับกุม นายยศวริศ และ น.ส.พิมณัฏฐา ด้วยความสุจริตใจแล้ว ก็สามารถเข้าจับกุมบุคคลทั้งสองตอนเช้าที่บ้านพักได้เช่นเดียวกับกรณีของนายศรีสุวรรณ แต่กลับไม่ดำเนินการ โดย พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ด้วยว่าเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการติดตาม "เจ๋ง ยศวริศ" ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ถึง 4 แห่งก่อนที่จะมาเตรียมการจับกุม นายเจ๋ง และ น.ส.การ์ตูน ที่ทำเนียบรัฐบาล


“ท่านผู้ชมครับ มันพิลึกไหม ? ก็คุณติดตามเขาถึง 4 แห่ง คุณสามารถจะจับเขาได้ทุกเมื่อ ทำไมคุณไม่ขับรถแล้วก็เรียกให้เขาจอดรถแล้วก็จับกุมเขา ยื่นหมายจับให้เขาเลย สิ้นเรื่องสิ้นราว ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงๆ นะครับ ท่านรองฯ จรูญเกียรติ จับกุมเจ๋ง การ์ตูน ดำเนินการได้ก่อนจะเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล แต่พวกคุณกลับรอให้ เจ๋ง และ การ์ตูน เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนจึงดำเนินการเข้าจับกุม เพื่ออะเไร ? เพื่อจะโยนขี้ สิ่งสกปรกเข้าไปหาพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

“นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีพิรุธ น่าสงสัยอย่างยิ่งว่าการบุกจับครั้งนี้ของคุณ เพื่อสร้างฉากเชื่อมโยงทางการเมือง ทำให้คนคิดไปว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และพรรครวมไทยสร้างชาติ ใช่หรือเปล่าครับ ท่านรองฯ จรูญเกียรติ ผมชักไม่แน่ใจว่าท่านรับงานใครมาหรือเปล่า”
 นายสนธิกล่าว

ประเด็นพิรุธที่ 3 : การเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีของ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท.

เป็นที่ทราบกันดีว่า อำนาจหน้าที่การดำเนินคดีในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของ ป.ป.ช. กำหนดไว้ที่เจ้าพนักงานของรัฐที่มีตำแหน่งตั้งแต่ระดับ 9 ขึ้นไป และอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ท. ถูกกำหนดให้ดำเนินการกับเจ้าพนักงานของรัฐตั้งแต่ระดับ 8 ลงมา

ด้วยเหตุนี้ หาก "เจ๋ง" ยศวริศ กับ "การ์ตูน" พิมณัฏฐา จะมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ แต่สถานะของ "เจ๋ง และการ์ตูน" ก็เป็นเพียง “คณะทำงาน” มิใช่แม้กระทั่ง “คณะกรรมการ” ย่อมไม่อาจเทียบชั้นว่านายเจ๋งมีระดับราชการเทียบเท่าข้าราชการระดับ 9 นายเจ๋งจึงไม่อยู่ในอำนาจดำเนินการของ ป.ป.ช. แต่เหตุใด ป.ป.ช. จึงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกรณีนี้ได้?


นอกจากนี้ คดีนี้ความผิดตามข้อกล่าวหาเป็นเพียงการเรียกรับสินบนวงเงิน 1.5 ล้านบาท แต่เหตุใด เลขาธิการ ป.ป.ช. จึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่ชั้นวางแผนและการจับกุมรวมทั้งร่วมแถลงข่าวการจับกุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งแม้แต่คดีที่ใหญ่กว่าคดีนี้ก็ไม่เคยปรากฏว่าเลขาธิการ ป.ป.ช.เข้ามายุ่งเกี่ยวและร่วมแถลงข่าวเช่นคดีนี้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายเจ๋งมีสถานะเทียบเท่าข้าราชการระดับ 9 ที่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. หรือไม่ ???

“ผมคิดว่าคนที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ดีที่สุดน่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เพราะเลขาธิการ ป.ป.ช. จะออกมาพูดอย่างนี้ได้อย่างไรถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช. ไม่บอกให้ทำเช่นนี้

“ท่านผู้ชมเริ่มเห็นความทะแม่งๆ ของเรื่องนี้หรือยัง เรื่องรับสินบนนั้น ศรีสุวรรณ จรรยา จบไปแล้ว แต่ผมกำลังพูดถึงความจริงที่มีหนึ่งเดียวว่า กระบวนการ ขั้นตอนที่ถูกต้องมันควรจะเป็นเช่นใด แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนี้ นอกจากไม่เป็นเช่นนี้แล้ว มันยังพิลึกกึกกือ
ป.ป.ช.ใช้อำนาจเหนือกว่ากฎหมายที่กำหนดเอาไว้ ตลกมากท่านผู้ชม

“แล้วในขณะเดียวกัน เวลาคุณจะจับคนที่คุณเข้าใจว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ คุณเข้าใจเช่นนั้น สมมุติคุณจะเข้าใจผิดก็ตาม ถ้าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐแล้ว ควรหรือไม่ควร ตามมารยาท ที่คุณจะต้องถามคนที่แต่งตั้งนางเจ๋ง และ น.ส.การ์ตูน คือ รองนายกรัฐมนตรีพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เสียก่อนว่า คนของท่าน 2 คนนี้ มีหมายจับนะครับ เรื่องนี้ๆ ตามมารยาทคุณควรทำหรือเปล่า

“ท่านรองฯ จรูญเกียรติ ท่านอาจจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำ เพราะว่ามีหมายจับออกมาแล้ว มีหมายจับออกมาแล้ว ทำไมท่านไม่จับเขาล่ะ ท่านบอกว่าท่านตามเขาไปตั้ง 4 จุด ตลอดเวลา ก็จับสิ ทำไมท่านรอให้เขาเข้าทำเนียบฯ ก่อนแล้วค่อยไปจับ ผมถึงบอกว่าคนที่ซวยจริงๆ คือ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค โดนพวกคุณเอาขี้มาป้าย เพื่อให้คนรับรู้ว่าคุณพีระพันธุ์ อยู่เบื้องหลัง”
นายสนธิ กล่าว

ประเด็นพิรุธที่ 4 : เป็นประเด็นสำคัญมาก คือการไม่ดำเนินคดีอธิบดีกรมการข้าว และภรรยา

จากข้อเท็จจริงของคดีที่เผยแพร่มาสู่สื่อมวลชนปรากฏว่า นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว และ ภรรยา นางธัญญรัตน์ ไชย์ศิริคุณากร ออกมายอมรับ พร้อมกับให้การว่าได้นำเงินให้ นายศรีสุวรรณผ่านการติดต่อของ นายเจ๋ง ยศวริศ
เพื่อไม่ต้องการให้นายศรีสุวรรณร้องเรียนการกระทำทุจริตของอธิบดีกรมการข้าว ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ให้เงินนายศรีสุวรรณผ่านนายเจ๋ง เพื่อต้องการมิให้นายศรีสุวรรณร้องเรียนตนเอง และเป็นการกระทำที่สำเร็จผลแล้วตั้งแต่ก่อนเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมาอ้างว่าเป็นการล่อซื้อไม่ได้


“คุณแก้เกมด้วยการอ้างว่าเป็นการล่อซื้อ ข้ออ้างนี้ ขอประทานโทษ สถุนมาก คนที่ไม่รู้เรื่องกฎหมายยังรู้เลยว่าคุณกำลังช่วยอธิบดีกรมการข้าว

“แล้วที่ทราบมา อธิบดีกรมการข้าวมีเรื่องร้องเรียน นายไชยา รัฐมนตรีช่วยฯ ก็มีเรื่องร้องเรียนเรื่องกรมฝนหลวงฯ ข้อร้องเรียนมีเยอะแยะไปหมด ทำไม ป.ป.ช.ถึงไม่ลงไปจับเรื่องนี้ล่ะ ทำไมถึงกันอธิบดีกรมการข้าวออก คำร้องเรียนทุกอย่าง เมื่อเรื่องเกิดขึ้นตำรวจต้องพิจารณาทุกข้อร้องเรียนไม่ใช่หรือ ป.ป.ช.ก็ต้องพิจารณาไม่ใช่หรือ ซึ่งคุณผิดพลาดตั้งแต่ต้น

“สินบน 1 ล้าน 5 แสนบาท ป.ป.ช.ออกมาแถลงข่าว ท่านผู้ชมว่าตลกไหมเรื่องนี้ นี่ผมดูละครกรมราชทัณฑ์ยังไม่พอนะ ผมยังได้ดูละครของสำนักงาน ป.ป.ช. ท่านผู้ชม แล้วจะให้ผมเชื่อใจ ป.ป.ช. ได้อย่างไร”
นายสนธิกล่าว

ดังนั้น หากจะถือว่า “นายเจ๋ง” เป็นเจ้าพนักงานและมีตำแหน่งหน้าที่ให้คุณให้โทษได้ ก็ต้องถือว่า อธิบดีกรมการข้าว และภรรยาร่วมกันให้สินบนเจ้าพนักงาน อันเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 144 ตามประมวลกฎหมายอาญาแล้วด้วยเช่นกัน ทว่ากลับไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีกับ อธิบดีกรมการข้าวและภรรยา ตามมาตรา 144 แต่อย่างใด เพียงแต่ยกข้ออ้างว่า“เป็นการล่อซื้อ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี”เท่านั้น

อนึ่ง มาตรา 144 ตามประมวลกฎหมายอาญา นั้น บัญญัติเอาไว้ว่า “ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ซึ่งประเด็นนี้นั้นนำไปสู่ประเด็นพิรุธข้อต่อไป คือ

ประเด็นพิรุธที่ 5 : ความพยายามเบี่ยงเบน ประเด็นการกระทำผิดของอธิบดีกรมการข้าว

คดีนี้ นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าวอ้างว่าถูกข่มขู่ว่าจะร้องเรียนให้มีการสอบสวนการกระทำทุจริต ซึ่งอธิบดีกรมการข้าวมีสถานะเป็นข้าราชการระดับ 10 อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. อย่างชัดเจน ดังนั้น การเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องของ ป.ป.ช. จึงน่าจะเข้ามาดำเนินการในส่วนของอธิบดีกรมการข้าว แต่เลขาธิการ ป.ป.ช. กลับไม่กล่าวถึงประเด็นการกระทำของอธิบดีกรมการข้าวที่ถูกร้องเรียนเลย


นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ป.ป.ท.ก็หลีกเลี่ยงในการพูดถึงประเด็นกล่าวหาเรื่องการกระทำทุจริตของอธิบดีกรมการข้าวอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเรียกรับทรัพย์สินจาก นายศรีสุวรรณและพวก ทั้งนี้ แม้ว่าอธิบดีกรมการข้าวจะเป็นผู้ถูกเรียกผลประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอธิบดีฯ จะพ้นจากความผิดโดยการอ้างเหตุที่ว่าตัวเอง ถูกเรียกสินบน เพราะฉะนั้นตัวเองจึงเป็นผู้บริสุทธิ์

“ไม่ใช่ อธิบดีกรมการข้าวยังไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ต้องเข้าไปตรวจสอบ สอบสวน รวมไปถึงทรัพย์สมบัติของภรรยาที่มีตั้งไม่รู้กี่บริษัท บางบริษัทมีเงินนับร้อยๆ ล้านบาท คุณต้องไปตรวจสอบว่าเงินพวกนี้มาจากไหน แล้วข้อกล่าวหาที่มีคำร้องเรียนเยอะแยะไปหมด มีมูลหรือไม่มีมูล” นายสนธิ กล่าว

ด้วยเหตุพิรุธ และปริศนาเหล่านี้ ตอกย้ำซ้ำด้วยไฟำหม้ที่บังเอิญโหมไหม้กระทรวงเกษตรฯ ในเวลาพอเหมาะพอเจาะพอดี แล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ อ้างว่าไฟไหม้จากการล้างแอร์

“คนที่ทำแอร์ประจำ เขาบอกวว่ามีที่ไหนกันล้างแอร์แล้วไฟฟ้าลัดวงจร ไม่มี มันทำให้พวกเราอดฉุกคิดไม่ได้ว่างานนี้ไม่ปกติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. พวกคุณต้องเดินหน้าทำความจริงให้ปรากฏ พิสูจน์ข้อเท็จจริงและข้อพิรุธทั้งหมดนี้ให้ประชาชนหายสงสัย

“ที่สำคัญที่สุด ทำไมคุณถึงไม่ตรวจสอบอธิบดีกรมการข้าวแม้แต่นิดเดียวเลยครับ ท่านผู้ชมว่ามันทะแม่งๆ ไหม แล้วผมจะบอกให้ท่านผู้ชมทราบ ท่านผู้ชมคงจะเห็นด้วยกับผม


“วันนี้ถ้าผมให้คนเข้ามาออกความเห็นว่า ท่านผู้ชมเชื่อถือรัฐมนตรีว่าการฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยฯ ไชยา เชื่อว่าเขาซื่อสัตย์สุจริตหรือเขาไม่ซื่อสัตย์สุจริต ผมไม่ต้องเล่าให้ฟังหรอกครับ ผมรู้คำตอบในใจผมแล้ว ถ้าจะท้าทายผม เดี๋ยวผมจะตั้งโพลขึ้นมา แล้วเอาคำถามนี้ออกมาให้ประชาชนลงคะแนนเสียง เอาไหมครับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ป.ป.ช.” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น