xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องลึกแผนจับ “พี่ศรี” เรื่องยังไม่จบ กระทรวงเกษตรฯ แหล่งหมักหมมทุจริต เมืองไทยยังต้องการนักร้อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” ชี้ “แก๊งพี่ศรี” ถูกจับฐานตบทรัพย์ ว่าไปตามพยานหลักฐาน แต่เรื่องยังไม่จบ กรมที่ถูกกล่าวหาต้องถูก ป.ป.ช.สอบสวน ไม่ใช่แค่สอบกันเองแล้วบอกว่าโปร่งใส ตั้งข้อสังเกต “อธิบดีข้าว” สนิทสนม “ธรรมนัส” ถึงขั้นเรียกนาย แถมมีพิรุธให้สัมภาษณ์เรื่องวางแผนจับ “ศรีสุวรรณ” ไม่ตรงกัน เชื่องานนี้ “พี่ศรี” ติดกับดัก “เจ๋ง ดอกจิก” รับงานจาก “ธรรมนัส” ที่สนิทสนมกันมานาน หวังกระทบชิ่งถึง “ลุงตู่” ทั้งหมดเป็นปฏิบัติการหลอกกันไปล่อกันมา ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างคนดี-คนเลว ย้ำกระทรวงเกษตรฯ คือแหล่งรวมการทุจริต อธิบดีบางกรมซื้อเก้าอี้เป็นพันล้าน ต่อให้หมด “ศรีสุวรรณ” เมืองไทยก็ยังต้องการนักร้องเรียน แต่ต้องใจซื่อมือสะอาด เพราะข้าราชการ-นักการเมืองล้วนไว้ใจไม่ได้



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณี เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือ การ์ตูน อดีต ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดอุตรดิตถ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ และคนใกล้ชิดของ เจ๋ง ดอกจิก ในความผิดฐานข่มขู่เรียกรับเงิน นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว จำนวน 3 ล้านบาท ก่อนเจรจาต่อรองเหลือ 1.5 ล้านบาท แลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว ที่พบพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต ซึ่งทั้งนายศรีสุวรรณ และ“เจ๋ง ดอกจิก”ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนวางเงินสด 400,000 บาทเพื่อขอประกันตัวออกไป

เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมนายศรีสุวรรณ จรรยา เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2567
นายสนธิกล่าวว่าพฤติกรรมการข่มขู่-รีดทรัพย์โดยใช้อาชีพนักร้องเรียนของตัวเองเป็นเครื่องมือของนายศรีสุวรรณ กับพรรคพวกนั้น ก็ต้องเป็นเวรกรรมที่แต่ละคนก็ต้องรับผิดชอบกันไป ว่ากันไปตามพยาน หลักฐาน และข้อเท็จจริง

แต่ตอนนี้เรื่องยังไม่จบ ยังมีข้อมูลทั้งเชิงเปิดเผย และเชิงลึกที่ทยอยถูกคายออกมาแต่ละฝ่าย โดยตนและทีมที่ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น พบเห็นว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติ และน่าเคลือบแคลงสงสัยในหลาย ๆ ประเด็น

นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก”และ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์
ข้อแรก งานนี้ไม่เพียงแต่ฝั่ง “พี่ศรี” จะต้องเข้าสู่กระบวนการทางคดีความ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่ฝั่งข้าราชการโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำลังถูกกล่าวหา ไม่ว่าจะ กรมฝนหลวง หรือ กรมการข้าว และอื่นๆ ก็ต้องถูกสอบสวนหาข้อเท็จจริงด้วย หากผิดจริงต้องรับโทษ ไม่ใช่แค่สอบกันในกรม สอบกันในกระทรวงแล้วบอกว่าจบ โปร่งใส บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรในกอไผ่

ข้อที่สอง ที่สำคัญ ตามข่าวที่แพร่สะพัดยังมีการลือว่า มี “นายหมู” คนใกล้ชิดของ รมว.เกษตรและสหกรณ์นั้นเป็นคนพาภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว นำเงินไปมอบให้กับนายศรีสุวรรณ เมื่อ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 โดยอ้างว่าต้องการให้เรื่องร้องเรียนยุติลง และไม่ทำให้เสื่อมเสียต่อองค์กร ซึ่งเรื่องนี้ ในเวลาต่อมาอธิบดีกรมการข้าวก็พยายามออกมาปฏิเสธเสียงแข็ง ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2567 นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ชี้แจงกรณีมีข่าวพาดพิงถึง “นายหมู” ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าเป็นผู้พาภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว นำเงินไปมอบให้กับนายศรีสุวรรณ ยืนยันว่า ตนเองกับภรรยาได้รวบรวมข้อมูลมานานพอสมควรก่อนไปแจ้งความดำเนินคดี โดยทีมงานที่ปรึกษารัฐมนตรี ไม่มีใครทราบเรื่องนี้สักคน จนวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ด้วยความรำคาญใจ ตนเองและภรรยาจึงชวนนายหมู (ที่ปรึกษารัฐมนตรีธรรมนัส)ไปหานายศรีสุวรรณที่บ้านด้วย เพื่อให้ไปเป็นพยานว่าไม่ได้จ่ายเงินและไม่ได้คุยเรื่องเคลียร์เงิน

อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวว่า จากข่าวเชิงลึกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า ครั้งนั้นฝั่งอธิบดีมีการจ่ายเงินไปด้วย 500,000 บาท


อธิบดีฯ บอกว่า จากนั้นนายศรีสุวรรณ ได้แถลงข่าวร้องเรียนเรื่องฝนหลวงที่สภาฯ และไม่ได้พบกันอีก มีเพียงภรรยาที่ไปพบซึ่งการให้เงินนายศรีสุวรรณ เป็นการล่อซื้อ ที่ให้ไปหลายครั้งก็เป็นการล่อซื้อทั้งสิ้น โดยทุกครั้งได้หารือกับตำรวจ ด้วยความคับแค้นเจ็บใจ และความที่ตนเองเป็นคนหัวร้อน ตนเองกับภรรยาจึงวางแผนเพื่อไม่ให้รัฐมนตรีต้องเดือดร้อน จึงจ้างทนายความมาสู้คดี “ตายเป็นตาย” ซึ่งผลการสอบสวนก็ชี้ชัดว่าตนเองไม่ได้ทำผิด หลังนายศรีสุวรรณถูกจับ ตนเองจึงโทรศัพท์ไปแจ้งให้รัฐมนตรีทราบ และกราบขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีก็ได้ให้กำลังใจตนเอง และบอกว่าจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบอีกครั้ง เราขอโทษ “นาย” ที่ไม่ได้บอกก่อน เพราะกลัวทีมงาน “นาย” เดือดร้อน

“นี่คือสิ่งที่อธิบดีกรมการข้าวเรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรว่า “นาย” ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ข้าราชการ ชื่อก็บอกว่าเป็นข้ารับใช้ราชการ นายของอธิบดีกรมการข้าวคือผม และท่านผู้ชม เราเป็นผู้เสียภาษีอากรให้ แต่ ร.อ.ธรรมนัส​ พรหม​เผ่า​ หรือรัฐมนตรีคนไหนก็ตามที่ดูและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ใช่นายคุณ เขาเป็นผู้บังคับบัญชาในภาพรวม และตำแหน่งที่คุณควรเรียกคือท่านรัฐมนตรี ไม่ใช่นาย


“คำว่านาย ที่คุณเรียกเขานี่ แสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับรัฐมนตรีธรรมนัสลึกซึ้งมาก และที่ผมรู้มา คุณกับเฉลิมชัย ศรีอ่อน ก็โคตรจะลึกซึ้ง เช่นกัน เพราะฉะนั้นขอให้เรื่องอะไรก็ตาม คุณดำรงศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการ ถ้าคุณเป็นข้าราชการที่สุจริต ไม่เคยทำงานให้กับรัฐมนตรีว่าการเกษตรในการหาเศษหาเลย ส่งเข้าหาตัวรัฐมนตรีแล้ว คุณเรียกเขาแค่ท่านรัฐมนตรีก็พอ นี่คุณเรียกนายเลย ายคือคนที่คุณต้องรับใช้เขาทุกเรื่อง ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คุณระมัดระวังคำพูดของคุณหน่อยก็แล้วกัน” นายสนธิกล่าว


นายสนธิกล่าวอีกว่า ในวันเดียวกันนั้น ร.อ.ธรรมนัส​ พรหม​เผ่า​ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กลับให้สัมภาษณ์ ว่าเรื่องนี้กระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้เสียหาย ตนในฐานะผู้บังคับบัญชา และสนิทสนมกับอธิบดีกรมการข้าวรวมถึงภรรยา ทุกเรื่องที่ผู้ใต้บังคับบัญชามีปัญหาก็จะมาปรับทุกข์กับตนตั้งแต่ต้นจนถึงปลายเรื่อง ตนรับรู้มาตลอด แต่ไม่อยากพูดมากไม่เกิดประโยชน์เพราะจะกลายเป็นการแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ ย้ำว่าสารตั้งต้นในการจับกุมไม่ได้เริ่มจากพนักงานสอบสวนแต่เริ่มจากการมาปรับทุกข์กับตน จึงแนะนำให้ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย...

ทั้งนี้ มีข้อสังเกตหลายเรื่องที่เป็นคำถามชวนสงสัย

หนึ่ง ทำไมในการให้สัมภาษณ์วันเดียวกัน “อธิบดีกรมข้าว” บอกว่าทำเองกับ ภรรยาทั้งหมด เรื่องนี้“นาย”ก็คือ ร้อยเอก ธรรมนัส ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ไม่เกี่ยวข้องไม่รับรู้ พอ “พี่ศรี” ถูกจับ เขาถึงไปแจ้งข่าว

ขณะที่ฝ่าย ร.อ.ธรรมนัส กลับบอกว่าตัวเองรับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนปลาย แถมยังเป็นคนแนะนำให้อธิบดีไปปรึกษาฝ่ายกฏหมายเองด้วย


สอง ประเด็นทุจริตต่างๆ ที่ “พี่ศรี” ยื่นและกำลังจะยื่นสอบ ทั้งกรมฝนหลวง และการบินเกษตร กรมข้าว ป.ป.ช.ต้องเข้าไปจัดการสอบให้กระจ่าง ถ้าผิดต้องรับโทษ ที่อธิบดีกรมข้าวบอกว่า “มีการตั้งกรรมการสอบแล้วผมไม่ผิด” ถามว่าเป็นการตั้งสอบในกระทรวงหรือไม่? แล้วถ้าไม่ผิดคือไม่ผิดอย่างไร?

ป.ป.ช.จริงๆ แล้ว นอกจากจะเข้าไปจับ “ศรีสุวรรณ” ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่จะไปจับ นี่เป็นการเตะตัดขานักการเมืองบางคนหรือไม่ ป.ป.ช.ควรต้องไปดำเนินการตรวจสอบอธิบดีกรมการข้าว และเรื่องอื่นๆ ให้ครบถ้วน และกระจ่างแจ้งด้วยกันทั้งสองฝ่าย ด้วย

สาม นอกจากนี้ ยังขอเตือนอธิบดีกรมการข้าวเรื่องหนึ่ง คือคุณเป็นข้าราชการระดับอธิบดี แต่เวลาสัมภาษณ์ออกสื่อเรียก ร้อยเอก ธรรมนัสว่า“นาย”ทุกคำ คุณอย่าลืมว่ารัฐมนตรีมาแล้วก็ไป แต่เจ้านายของคุณตัวจริงคือประชาชน

สี่ นอกจากนี้ ระหว่างที่ได้ฟัง “อธิบดีกรมข้าว” แถลงข่าว ผมก็เกือบเชื่อแล้ว เพียงแต่พอเหลือบไปเห็น นายวรัญชัย โชคชนะ ยืนเป็นแบคกราวด์ข้างหลัง ทำให้ผมฉุกคิดได้หน่อยว่า เวลาคุณวรัญชัย ไปยืนหลังใครก็ตาม เรื่องนี้น่าจะมีกลิ่นตุ ๆ โดยสุดท้ายหลายเรื่องมักจบไม่ค่อยดี อย่างเช่นจำได้ไหม คือ คุณวรัญชัยก็ชอบไปยืนข้างหลัง คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตอนแถลงข่าวอยู่เป็นประจำ


นายสนธิ กล่าวว่า เรื่อง“แก๊งพี่ศรี กับ อธิบดีกรมข้าว”นี้ไม่ได้มีนัยเฉพาะในเรื่องของขบวนการร้องเรียนตบทรัพย์ และเรียกทรัพย์จากข้าราชการ ที่มีจุดอ่อนเรื่องข้อครหาของการทุจริตในการดำเนินโครงการต่างๆ เท่านั้น แต่ในทางการเมืองก็ยังมีประเด็นอื่น ๆ อีกหลายหลายมิติ

คำถามมีอยู่ว่า หากผู้ต้องหาทั้ง 3 คนมีความผิดจริง ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์?

เบื้องต้นคนที่ค่อนข้างจะโชคร้าย คือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้รับผลกระทบทางการเมืองเต็ม ๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องภาพลักษณ์ของพรรค เพราะ เจ๋ง ดอกจิก นอกจากเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ยังเคยเป็นหนึ่งในคณะทำงานเขตราชการที่ 11 เช่นเดียวกับ น.ส.พิมณัฏฐา หรือ การ์ตูน นายพีระพันธุ์ ก็เพิ่งตั้งเป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 เพิ่มเติม อยู่ทีมเดียวกับ เจ๋ง ดอกจิก โดยลงนามเมื่อวันที่ 26 มกราคม ก็คือวันเกิดเหตุตำรวจรวบตัวคนทั้งสองนั่นเอง แต่ล่าสุดหลังเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ก็มีการยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งทันที


เรื่องนี้ เป็นเรื่องความผิดส่วนตัวของเจ๋ง ดอกจิก ไม่เกี่ยวกับพรรค และไม่เกี่ยวกับนายพีระพันธุ์ และเจ๋ง ดอกจิก เข้ามาในพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะเป็นเพื่อนกับแรมโบ้ (นายเสกสกล อัตถาวงศ์) ซึ่งแรมโบ้ก็คือทีมงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

อีกประการหนึ่ง เป็นที่รู้กันว่า ร.อ.ธรรมนัส นั้น ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะที่นายพีระพันธุ์ นั้นเป็นเหมือนตัวตายตัวแทนของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการทำการเมืองต่อไป การจะทำเรื่องนี้แล้วพาดพิงนายพีระพันธุ์ ย่อมกระทบไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย นี่เป็นแค้นสั่งฟ้า จึงตกเป็นเป้าโจมตีหรือไม่

เรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับสภาวะทางการเมืองของไทยที่จะเชื่อมโยงไปถึงอีกหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นกรณีพรรคก้าวไกล, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ พรรคภูมิใจไทย, คดีหมูเถื่อน-ตีนไก่เถื่อน ที่เชื่อมโยงและเกี่ยวพันกับพรรคประชาธิปัตย์

กล่าวโดยสรุปก็คือ งานนี้ ศรีสุวรรณ ติดกับดักเพราะ “เจ๋ง ดอกจิก” ซึ่งรับงานมาจาก ธรรมนัส พรมเผ่า เพราะวงในเป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้งคู่นั้นมีความสนิทสนมกันมาอย่างยาวนาน


นายสนธิกล่าวว่าหากจะถามว่า ตัวอธิบดีกรมการข้าวนั้นบริสุทธ์หรือไม่ ขอเปรียบเทียบอย่างนี้ดีกว่า ตนทำงานสื่อมวลชนมา 40 กว่าปีรู้ดีว่ากระทรวงเกษตรฯ นั้นถือเป็นกระทรวงเกรดเอ เป็นแหล่งทำมาหากินของบรรดานักการเมืองอยู่แล้ว ถือเป็นกระทรวงที่มีปัญหาการคอรัปชั่นมากที่สุดทุกยุคทุกสมัย แตะไปที่ไหนเป็นเงินทั้งนั้น นักการเมืองถึงแข่งกันที่จะมาเป็น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็เคยอยากมาเป็น ร.อ.ธรรมนัสก็เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยเกษตรมาก่อน ก็คงจะรู้เส้นสนกลในเป็นอย่างดี


ใครเข้ากระทรวงเกษตรฯ เดินเข้าไปในกระทรวงเกษตรเห็นแต่เงินแต่ทอง ยกตัวอย่าง กรมชลประทาน คนที่จะเป็นอธิบดีบางคนยอมเสียเงินเป็นพันล้านเพื่อที่จะมานั่งเป็นอธิบดี แล้วค่อยถอนทุนคืน กรมอื่นๆ เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมฝนหลวง กรมปศุสัตว์ กรมประมง ก็เช่นกัน

โครงการที่เกิดการคอร์รัปชัน ที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่ามาจากกระทรวงเกษตรฯ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น โครงการจำนำข้าว โครงการกล้ายาง โครงการโคล้านตัว หรือที่ไม่ใช่โครงการที่ต้องใช้งบประมาณภาครัฐ แต่ต้องผ่านการเห็นชอบจากหน่วยงานภายในกระทรวงเกษตรที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดก็คือ มหากาพย์เรื่อง “หมูเถื่อน-ไก่เถื่อน” ที่มีผลประโยชน์ปีละหลายหมื่นล้านบาท


ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากอดีต จนถึงปัจจุบันแล้ว ตำแหน่งอธิบดีต่าง ๆ ในกระทรวงเกษตรฯ นั้นจึงไม่ได้มากันง่าย ๆ ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งใบบุญนักการเมือง ซึ่งที่พึ่งที่ดีที่สุดคือการจ่ายเงินใต้โตะ และอิงแอบกับผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น

“อย่างอธิบดีกรมวิชาการเกษตร พ่อค้าเต๊ยเงินกัน ลงขันกัน ให้รัฐมนตรี เพื่อแต่งตั้งคนของตัวเองเป็นอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เพื่อสั่งของ สินค้า จากกลุ่มพ่อค้าพวกนี้” 

นายสนธิ กล่าวอีกว่า เมื่อมีการเปลี่ยนยุคของกระทรวงเกษตร จาก นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พรรคพลังประชารัฐ นั้นโครงการต่าง ๆ เขามีสิ่งที่เรียกว่า “เงินค้างท่อ” กันอยู่ โดยมีข้าราชการบางคนที่ทำหน้าที่เดินเก็บเงินจากโครงการต่างๆ เพื่อส่งต่อให้นักการเมืองบางคน เรียกว่าส่งเงินไปตามท่อ พอเปลี่ยนรัฐมนตรี โครงการหลายโครงการยังไม่สิ้นสุด จะได้เงินก็ต่อเมื่อรอเวลาสักพัก จึงมีเงินค้าอยู่ ซึ่งเรียกว่า “เงินค้างท่อ”

ทั้งหมดจึงสรุปลงมาเป็นปฏิบัติการหลอกกันไปล่อกันมา ณ ปัจจุบัน ซึ่งบอกได้เลยว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความขัดแย้งระหว่างคนดี-คนเลว อย่างแน่นอน แต่เป็นความโลกของนักการเมือง และความเห็นแก่ตัวของข้าราชการประจำที่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ วิ่งเข้าไปรับใช้นักการเมือง


“อธิบดีกรมการข้าวคนปัจจุบันนี้ ได้รับการแต่งตั้งจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้เป็นอธิบดีฯ ส่วนภรรยาก็เป็นเจ้าของฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ ก็ไปคิดดูเองก็แล้วกัน ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ก็คือตีนไกกับหมูเถื่อนไม่ใช่เหรอ ผมไม่ได้กล่าวหาว่าภรรยาของท่านอธิบดีเกี่ยวข้อง แต่น่าจะให้ดีเอสไอ ไหนๆ ก็ทำเรื่องนี้แล้ว ตรวจสอบซ้ำได้ไหม ให้ละเอียด เพื่อความโปร่งใส ยืนยันความบริสุทธิ์กันฉิบหายเลย” นายสนธิกล่าว

สำหรับนายศรีสุวรณ นั้นต้องบอกว่าโลภ และโง่บัดซบ ชะตากรรมของคดีนี้ก็ต้องขึ้นกับพยาน หลักฐาน ข้อเท็จจริง ถ้าผิดก็ต้องถูกจัดการตามกฎหมาย ที่แน่ ๆ ตอนนี้เหมือนน้ำลดตอผุด บรรดาสื่อมวลชนเริ่มไปขุดเรื่องต่างๆ อย่างเช่น บ้านเรือนไทยราคา 6 ล้านที่นายศรีสุวรรณสร้างอยู่ที่พิษณุโลกที่มาที่ไปเป็นอย่างไร


พอมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ประชาชนย่อมจะเกิดข้อกังขาว่าที่ผ่านมา การร้องของนายศรีสุวรรณเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคม หรือเพื่อทำมาหากินส่วนตัวกันแน่

“ท่านผู้ชมครับ ผมจะเล่าความจริงให้ฟังเรื่องหนึ่ง สมัยก่อน นอกจากผมตำหนิ แนะนำศรีสุวรรณไปแล้วว่าอย่าซี้ซั้วร้อง มีเรื่องอะไรเล็กใหญ่ สำคัญไม่สำคัญร้องหมด ผมเห็นใจเขา ผมอุตส่าห์ให้เงินเขาก้อนหนึ่ง 4 แสนบาท ผมให้คนสนิทผมคือคุณสุรวิชช์ วีรวรรณ ถือเงินไปให้เขา บอกว่าคุณสนธิให้มา เพื่อให้กำลังใจ เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงาน เพราะผมเชื่อว่าเขายังทำงานด้วยความบริสุทธิ์จริงๆ

“ท่านผู้ชุมครับ รู้จักคน รู้จักหน้าแต่ไม่รู้จักใจ นี่คือบทเรียนที่ผมได้ แต่ผมช่วยเขาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ เพราะผมสงสารเขา ผมไม่รู้ว่าเขาได้รายได้มาจากไหน”


นายสนธิ กล่าวต่อว่า ต่อให้หมดนายศรีสุวรรณไป แต่อย่างไรเมืองไทยก็ยังต้องการนักร้องเรียน แต่ต้องเป็นนักร้องเรียนที่ใจซื่อมือสะอาด บริสุทธิ์ยุติธรรม ตรวจสอบได้ เพราะประเทศเรา ทั้งข้าราชการ นักการเมือง ตำรวจ ล้วนไว้ใจไม่ได้ทั้งสิ้น

“ท่านผู้ชุมคับ ถ้าผมเสนอให้ ใช้ “มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน” เป็นหลักในการร้องเรียนเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ท่านผู้ขุมเห็นด้วยหรือไม่ มูลนิธิยามฯ มีผลงานระดมเงินบริจาค 70 ล้านบาท ซื้อยาฟ้าทะลายโจรแจกจ่ายประชาชนทั่วประเทศ คนเป้นหมื่นเป็นแสนรอดตายเพราะฟ้าทะลายโจร หลักฐานการใช้จ่ายเงินมีหมด

“ผมฝากให้คิด ต้องมีคนร้องเรียน แต่ต้องเป็นคนร้องเรียนที่โปร่งใส และรู้หลัการร้องเรียน มีหลักฐานประกอบ มีแบกกราวด์ ไม่ใช่กระดาษแผ่นเดียวไปยื่น” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น