xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 28 ม.ค.-3 ก.พ.2567

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.ศาล รธน.มีมติเอกฉันท์ "พิธา-ก้าวไกล" เสนอแก้ ม.112 เจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน ล้มล้างการปกครองฯ สั่งให้เลิกการกระทำ-เลิกแสดงความคิดเห็นเพื่อยกเลิก ม.112!

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยคดีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพระพุทธะอิสระ ผู้ร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 ว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขณะเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2564 ผู้ถูกร้องที่ 1 และ ส.ส.สังกัดผู้ถูกร้องที่ 2 จำนวน 44 คน เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … แก้ไขเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร และระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป 2566 ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้นโยบายของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 หาเสียงเลือกตั้งโดยให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ถูกร้องทั้ง 2 มีพฤติการณ์รณรงค์ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าวเรื่อยมา โดยการเข้าร่วมการชุมนุมกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมีกรรมการบริหารพรรค สส. สมาชิกพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นผู้ต้องหา หรือนายประกันผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเคยแสดงความคิดเห็นทั้งให้แก้ไขและยกเลิกกฎหมายดังกล่าวผ่านการจัดกิจกรรมทางการเมืองและสื่อสังคมออนไลน์หลายครั้ง

"การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองเสนอให้มาตรา 112 ออกจากลักษณะหนึ่งความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เป็นการกระทำเพื่อมุ่งหวังให้ความผิดตามมาตรา 112 เป็นความผิดที่ไม่มีความสำคัญและความร้ายแรงระดับเดียวกับความผิดในหมวดของลักษณะ 1 และไม่ให้ถือเป็นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกต่อไป มีเจตนามุ่งหมายที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ"

อีกทั้ง ที่ผู้ถูกร้องที่ 1 กับพวกเสนอให้ความผิดตามมาตรา 112 เป็นความผิดอันยอมความได้ และให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์และถือว่าเป็นผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น เป็นการมุ่งหมายให้การกระทำความผิดตามมาตรา 112 กลายเป็นความผิดในเรื่องส่วนพระองค์ของสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น เป็นการลดสถานะความคุ้มครองของสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้รัฐไม่ต้องเป็นผู้เสียหายในความผิดดังกล่าวโดยตรง และให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน และจะเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ส่งผลให้การกระทำความผิดตามมาตรา 112 ไม่ใช่การกระทำความผิดที่กระทบต่อชาติและประชาชน ทั้งที่การกระทำความผิดดังกล่าวย่อมเป็นการทำร้ายจิตใจของชนชาวไทยที่มีเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะทรงเป็นพระประมุข และศูนย์รวมความเป็นชาติที่รัฐต้องคุ้มครองและต้องเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา

"การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว มีเจตนาเซาะกร่อน บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเหตุให้ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด ข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้องทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น"

ศาลรัฐธรรมนูญระบุด้วยว่า การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น เป็นความผิดอาญา ผู้กระทำจะต้องมีการกระทำที่เข้าองค์ประกอบแห่งความผิดจึงจะถูกกล่าวหาและดำเนินคดีได้ ผู้ถูกร้องทั้งสองจึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่า เป็นความเห็นต่างหรือเป็นคดีการเมือง เพราะการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 34 มีข้อห้ามมิให้ใช้สิทธิ์หรือเสรีภาพ หากเป็นการกระทำที่ส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

พฤติการณ์ที่แสดงออก หรือเข้าร่วมการชุมนุมที่มีการรณรงค์ให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ถือเป็นหลักประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือเป็นผู้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าวเสียเอง ย่อมแสดงให้เห็นว่า พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์ต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่คุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2566 จัดกิจกรรมปราศรัยใหญ่ ณ สวนสาธารณะเทศบาลแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดย น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ น.ส.อรวรรณ ภู่พงศ์ ขึ้นปราศรัยเชิญชวนผู้ถูกร้องที่ 1 รวมถึงว่าที่ผู้สมัครผู้แทนราษฎรของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมกิจกรรม "คุณคิดว่ามาตรา 112 ควรยกเลิกหรือแก้ไข" ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 1 นำสติ๊กเกอร์สีแดงติดลงในช่องยกเลิก มาตรา 112

นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องที่ 1 ยังปราศรัยตอนหนึ่งว่า "พี่น้องประชาชนเสนอกฎหมายยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้ามา พรรคก้าวไกลก็จะสนับสนุนเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นต้องขอโทษน้องทั้งสองที่พี่ต้องแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ในสภาก่อน ถ้าสภายังไม่ได้รับการแก้ไข ก้าวไกลจะออกไปสู้ด้วยกันครับ" แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้ถูกร้องที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคของผู้ถูกร้องที่ 2 ในขณะนั้นที่พร้อมจะสนับสนุนยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้บทบัญญัติแห่งการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์หมดสิ้นไป...

"เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองมีพฤติการณ์ในการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและความคิดเห็นเพื่อการทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยซ่อนเร้น หรือผ่านการนำเสนอกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรค เหตุตามคำร้องผ่านพ้นไปแล้ว แต่การดำเนินการรณรงค์ให้การยกเลิกการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาของผู้ถูกร้องทั้งสองดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นขบวนการ โดยใช้หลายพฤติการณ์ ทั้งการชุมนุม การจัดกิจกรรม การรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร การใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง หากยังปล่อยให้ผู้ถูกร้องทั้งสองกระทำการดังกล่าวต่อไปย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองจึงเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ซึ่งวรรคสอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้"

อาศัยเหตุผลดังกล่าวจึงวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง สั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การโฆษณาและการสื่อความหมายวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 74

2."เรืองไกร-ธีรยุทธ" ยื่น กกต.ส่งศาล รธน.สั่งยุบพรรคก้าวไกล หลังเข้าข่ายใช้สิทธิล้มล้างการปกครอง พร้อมตัดสิทธิ กก.บห.พรรค 10 ปี มั่นใจ ไม่น่ารอด!


ความเคลื่อนไหวหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขณะเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ปรากฏว่า ได้มีปฏิกิริยาจากหลายฝ่าย

โดยในส่วนของพรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ชี้ว่า "ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยทันที คือ อย่างนี้คนที่ศาลเคยตัดสินยกฟ้องคดี ม.112 ไปเท่าไร ให้ประกันตัวไปเท่าไร ประชาชนที่เข้าชื่อเสนอให้ยกเลิก ม.112 จะอย่างไร เราเสนอนโยบาย คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร สิ่งเหล่านี้เต็มไปด้วยคำถามตามมาทั้งหมด วันนี้พรรคก้าวไกลพยายามพิสูจน์ตัวเอง ว่าเราไม่ได้ต้องการจะล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แน่นอนอาจจะมีคนบางกลุ่มไม่เชื่อ แต่เราก็ต้องพิสูจน์ต่อไป พิสูจน์ซ้ำๆ เพื่อยืนยันให้เห็นว่า เราต้องการเข้ามาแก้ปัญหาของบ้านเมืองจริงๆ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ คงต้องพิสูจน์กันด้วยเวลา"

เมื่อถามว่า หากฉากทัศน์สุดท้ายของการแก้ ม.112 คือการยุบพรรคก้าวไกล มีแผน 2 หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งคิดไปถึงตรงนั้น เพราะเรายังมีเวลาในการพิจารณา ยังต้องคุยกันภายในพรรคว่า สุดท้ายแล้วจะอย่างไร อย่าเพิ่งพูดถึงแผนสอง เพราะหากเราคุยกันเคลียร์ และมีทิศทางที่ชัดเจน ก่อนจะมีแผนบีก็ต้องสู้คดีก่อน จึงมองว่าอาจจะไม่ต้องรีบให้พี่น้องประชาชนทราบในตอนนี้

ขณะที่นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า ตอนนี้ก็มีปัญหาในคำสั่งของตุลาการ 2 เรื่อง 1. สั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูดการเขียนการพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คือเรื่องนี้ หมายความว่าหลังจากนี้พรรคก้าวไกลก็ต้องห้ามพูดเรื่อง 112 อย่างสิ้นเชิงหรือไม่ หรืออย่างไร พูดได้อย่างเดียวว่าสนับสนุนให้มีการเพิ่มโทษมาตรา 112 เท่านั้นหรือไม่ หรืออย่างไร และยังไม่ต้องนับว่า ต่อไปสื่อมวลชนนักวิชาการ หรือประชาชนทั่วไปจะแสดงความคิดเห็นต่อมาตรา 112 ไม่ได้เลยใช่หรือไม่ หรือต้องแสดงแบบไหน ถือว่าผิดหรือไม่ แต่หากมีการเสนอความคิดเห็น หรือแม้แต่มีการเสนอความคิดเห็นว่า มาตรา 112 มีปัญหาแบบนี้ จะปรับปรุง ก็อาจจะถูกตีความว่ามีเจตนาที่นำไปสู่การล้มล้าง เจตนาแท้จริงเพื่อการซ่อนเร้นหรือยกเลิกหรือไม่ 2. ศาลสั่งไม่ให้มีการแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง และชอบตาม พ.ร.ป. พิจารณาว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลอาญา เรื่องนี้ก็ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร

ด้านนายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกมาเตือนการวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่อาจเข้าข่ายละเมิดศาลว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่ขอให้ตระหนักว่า การวิจารณ์คำวินิจฉัยโดยไม่สุจริต และใช้ถ้อยหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาตร้าย จะมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาดด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ มีโทษตั้งแต่การตักเตือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท รวมถึงโทษจำคุก

ทั้งนี้ จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ส่งผลให้นายธีรยุทธ สุววรรณเกษร ในฐานะผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกมาเดินหน้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 1 ก.พ. เพื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า จากการศึกษารายละเอียดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่า การกระทำของนายพิธาในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมถึงพรรคก้าวไกล เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เห็นว่า นอกจากคำวินิจฉัยของศาลนี้มีผลผูกพัน กกต.ด้วยแล้ว น่าจะเป็นเรื่องผูกพันให้ตนต้องดำเนินการให้ครบถ้วนตามสิทธิที่พึงมีตามรัฐธรรมนูญ จึงได้ทำคำร้องพร้อมเอกสารกว่า 100 หน้านำมายื่นต่อ กกต. เพื่อดำเนินการกับพรรคก้าวไกลให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและตาม พ.ร.ป.ว่า ด้วยพรรคการเมือง 2562 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า เมื่อ กกต.มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองใดกระทำการ (1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ โดยยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลพิจารณาสั่งยุบพรรคก้าวไกล ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2562 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง

นายธีรยุทธ ยังกล่าวด้วยว่า ตนจะเดินทางไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในวันที่ 2 ก.พ. เพื่อให้ตรวจสอบและเอาผิดจริยธรรมของพรรคก้าวไกล และ สส.พรรคก้าวไกล 44 คน ที่ร่วมเสนอชื่อแก้ไขกฎหมาย 112 รวมถึงนายพิธาด้วย เนื่องจากเห็นว่า เป็นการกระทำเข้าข่ายฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เชื่อว่า จะเหมือนกับกรณีของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ที่ใช้เวลาในการพิจารณาไม่นาน

นอกจากนายธีรยุทธที่ยื่นเรื่องต่อ กกต.แล้ว นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเช่นกัน โดยระบุว่า คำวินิจฉัยในคดีดังกล่าว จะผูกพันถึง กกต. ที่ต้องทำตามหน้าที่ เพราะถือเป็นความปรากฏ ส่วนองค์กรที่ 2 คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ต้องพิจารณาว่า ผู้ถูกร้องที่เป็น สส.พรรคก้าวไกล 44 คน ใช้สิทธิและเสรีภาพชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนได้เคยยื่นเรื่องไปแล้วเมื่อปี 2564 “นี่เป็นการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ไม่ได้มีความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ หรือนำความเห็นส่วนตัวมาร้องแต่อย่างใด”

เมื่อถามว่า คำวินิจฉัยนี้จะส่งผลต่อพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เคยใช้การแก้ไขมาตรา 112 ในการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเก็บรวบรวมข้อมูลอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วง หากมีน้ำหนักพอก็จะยื่นเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ รวมถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร ที่เคยหาเสียงในประเด็นแก้ไขมาตรา 112

ถามอีกว่า มั่นใจว่า พรรคก้าวไกลจะถูกยุบใช่หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่น่าจะรอด เพราะศาลวินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งก็จะส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีด้วย

3. ศาลพิพากษาจำคุก "มายด์" 3 ปี คดีปราศรัยหมิ่นเบื้องสูง แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ เหลือจำคุก 2 ปี รอลงอาญา 3 ปี เพื่อให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี!



เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่อัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ยื่นฟ้อง น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ แกนนำม็อบเคลื่อนไหวทางการเมือง ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีร่วมชุมนุมและปราศรัยใน #ม็อบ24มีนา 64 เพราะประเทศนี้เป็นของราษฎร จัดขึ้นโดยแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม บริเวณสี่แยกราชประสงค์

ทั้งนี้ น.ส.ภัสราวลี เผยหลังศาลอ่านคำพิพากษาว่า ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องตนข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเป็นผู้จัดให้มีการชุมนุม ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ศาลมีคำพิพากษาว่าตนกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยคำปราศรัยเป็นการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ลงโทษจำคุก 3 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์ และมีสถานะเป็นนักศึกษา ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี และให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี

น.ส.ภัสราวดี เผยต่อว่า ในคำพิพากษาศาลบอกว่า คำปราศรัยของตนไม่ได้พูดถึงข้อกฎหมายในตอนที่ปราศรัย อาจจะทำให้คนที่รับฟังเข้าใจผิดต่อสถาบันเบื้องสูงได้ แต่ตนยืนยันว่า ข้อเท็จจริงที่ตนอ้างอิงใช้ประกอบในการปราศรัย เป็นข้อเท็จจริงที่เห็นในที่สาธารณะอยู่แล้ว โดยจะสู้คดีนี้ต่อ เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานว่า ประชาชนอย่างเราจะสามารถพูดถึงทุกสถาบันที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญได้

4. "เจ๋ง ดอกจิก" สาบาน ไม่ได้ตบทรัพย์ ถ้าทำจริง ขอให้มีอันเป็นไป อ้าง "ธรรมนัส" ให้ช่วยเคลียร์ ด้าน "ธรรมนัส" เดือด ยันไม่เกี่ยว ไม่ให้ความสำคัญกับคนที่เป็นขยะสังคม!



ความคืบหน้ากรณีตำรวจจับกุมนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ฐานร่วมกับนายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก และ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีต ผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ข่มขู่เรียกรับเงินจากนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว 3 ล้านบาท ก่อนเจรจาต่อรองเหลือ 1.5 ล้านบาท แลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว โดยอ้างว่า พบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต ซึ่งนายศรีสุวรรณยืนยันว่า ไม่ได้เรียกรับเงิน ถูกกลั่นแกล้ง เพราะไปเหยียบตาปลาผู้มีอำนาจ ขณะที่นายเจ๋ง ดอกจิก ก็ยืนยันว่า ตนบริสุทธิ์ แต่ยอมรับว่าเคยเจอผู้เสียหาย

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) หลังประชุม นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงว่า นายสัญญา นิลสุพรรณ สส. นครสวรรค์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระฯ สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามให้นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” พ้นจากตำแหน่ง ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการกิจการศาลฯ แล้ว รวมทั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.รวมไทยสร้างชาติ แต่ น.ส.พิมณัฏฐา ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรควันเดียวกันนี้ กรรมการจึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ

นายอัครเดช กล่าวว่า พรรคยังสั่งการให้ตรวจสอบคณะทำงานของคณะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคและประธานกรรมาธิการ โดยภายในการประชุมพรรคครั้งหน้าให้ส่งรายชื่อให้เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ว่าไปกระทำการอันใดที่สร้างความเสียหายให้กับพรรคหรือไม่ ยืนยันว่า พรรคจะไม่มีการปกป้อง

ทั้งนี้ วันเดียวกัน นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ชี้แจงกรณีพาดพิงถึงนายหมู ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้พาภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว นำเงินไปมอบให้กับนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เพื่อให้ยุติการร้องเรียนการทุจริตโครงการของกรมการข้าวว่า ตนเองกับภรรยาได้รวบรวมข้อมูลมานานพอสมควรก่อนไปแจ้งความดำเนินคดี โดยทีมงานที่ปรึกษารัฐมนตรี ไม่มีใครทราบเรื่องนี้สักคน จนวันที่ 28 พ.ย.66 ด้วยความรำคาญใจ ตนเองและภรรยา จึงชวนนายหมู ที่ปรึกษารัฐมนตรีไปหานายศรีสุวรรณ ที่บ้านด้วย เพื่อให้ไปเป็นพยานว่าไม่ได้จ่ายเงินและไม่ได้คุยเรื่องเคลียร์เงิน แต่ไปคุยว่าผลการสอบสวนการร้องเรียนโครงการต่าง ๆ ออกมาแล้ว ตนเองก็ไม่ได้ผิดอะไร จึงไปถามว่าจะร้องอะไร ซึ่งนายศรีสุวรรณก็ไม่ได้ตอบโต้ พร้อมยืนยันว่าตนเองเป็นคนพุทธแขวนพระเต็มอก ไม่ได้โกหกอะไรแน่นอน

จากนั้น นายศรีสุวรรณ ได้แถลงข่าวร้องเรียนเรื่องฝนหลวงที่สภาฯ และไม่ได้พบกันอีก มีเพียงภรรยาที่ไปพบ ซึ่งการให้เงินนายศรีสุวรรณทุกครั้ง เป็นการล่อซื้อที่ได้หารือกับตำรวจ ทั้งนี้ ด้วยความคับแค้นเจ็บใจ และความที่ตนเองเป็นคนหัวร้อน ตนเองกับภรรยาจึงวางแผนเพื่อไม่ให้รัฐมนตรีต้องเดือดร้อน จึงจ้างทนายความมาสู้คดี “ตายเป็นตาย” ซึ่งผลการสอบสวนก็ชี้ชัดว่าตนเองไม่ได้ทำผิด หลังนายศรีสุวรรณถูกจับ ตนเองจึงโทรศัพท์ไปแจ้งให้รัฐมนตรีทราบ และกราบขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีก็ได้ให้กำลังใจตนเอง และบอกว่าจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบอีกครั้ง เราขอโทษนาย ที่ไม่ได้บอกก่อน เพราะกลัวทีมงานนายเดือดร้อน

ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เผยวันเดียวกันว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างขั้นตอนเชิญ "นายหมู" มาให้ปากคำในฐานะพยาน และไม่เพียงแต่นายหมู แต่พนักงานสอบสวนจะเชิญอักษรย่อทุกคนมาสอบปากคำทั้งหมด นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังเตรียมออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการของนายศรีสุวรรณเพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 2 คน ซึ่งเป็นตัวการที่ตำรวจต้องการตัวมาก และเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในคดี

"ยืนยันว่าพนักงานสอบสวน บก.ปปป.จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่างแน่นอน จะยึดตามพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้กลั่นแกล้งรังแกใคร ไม่มีใต้ดินใดๆ ...แก๊งดังกล่าวไม่ใช่การร้องเรียนเพื่อให้ประเทศชาติดีขึ้น แต่เป็นเหลือบไร เป็นสุนัขข้างทาง เป็นไรข้างถนน ที่จะพยายามจะไล่เห่า ไล่กัดเพื่อแย่งอาหาร อาหารก็เปรียบเสมือนงบ พวกนี้ก็จะล้อมหน้าล้อมหลังเอาเศษอาหาร เป็นพวกขี้เรื้อน ดังนั้นต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ ยืนยันคดีนี้หากหลักฐานไม่พอ จนมั่นใจขนาดนี้ ตำรวจ บก.ปปป. ก็คงไม่กล้ารบกับยักษ์ขนาดนี้ ซึ่งมีทั้งพ่อยักษ์ และลูกยักษ์ ถ้าใครคิดว่าอยู่เหนือกฎหมายก็ลองดู"


วันต่อมา (1 ก.พ.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป.นำกำลังเข้าจับกุมนายเอกลักษณ์ วารีชล อายุ 47 ปี ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินสำหรับตนเองโดยมิชอบ ฯลฯ ที่บ้านพักย่านคลองสามวา พร้อมเข้าตรวจค้นพยานหลักฐานต่างๆ

รายงานข่าวแจ้งว่า นายเอกลักษณ์ได้ร่วมกับนายศรีสุวรรณ นายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก และ น.ส.พิมณัฏฐา ข่มขู่เรียกรับเงินจากอธิบดีกรมการข้าว แลกกับการยุติเรื่องร้องเรียน โดยมีรายงานว่า นายเอกลักษณ์ ถือเป็นคีย์แมนคนสำคัญระดับสั่งการ คอยนัดประชุมแจกจ่ายงานให้กับแก๊งผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมทั้ง 3 ราย รวมทั้งเมื่อได้เงินมาแล้วจะนำมาแบ่งกันทุกงานด้วย

ต่อมาช่วงเย็น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า นายเอกลักษณ์ หรือเอก เป็นคนเก่ง มีความรู้ความสามารถ สามารถควบคุมดูแลสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีมาก เก่งจนสามารถควบคุมคนอย่างนายศรีสุวรรณได้ นายศรีสุวรรณ ยังต้องฟัง เพราะเขาเป็นคนที่มีข้อมูลการทุจริต การตรวจสอบหน่วยงานรัฐต่างๆ เป็นจำนวนมาก รู้จักคนไปทั่วทุกวงการ ถ้าหากนายเอกลักษณ์นำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมก็คงดี แต่กลับนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยด้วยว่า หลังจากนี้จะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2-3 ราย

ด้านนายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก และ น.ส.พิมณัฏฐา ได้แถลงเปิดใจครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ก.พ. หลังถูกล่าวหาปมรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว โดยนายเจ๋ง ดอกจิก ยืนยันว่า ไม่ใช่แก๊งตบทรัพย์ ไม่เคยคิดจะไปรีดทรัพย์ใคร ความจริงตั้งใจไปช่วยอธิบดีกรมการข้าว โดยไม่คิดเลยว่าในกรมการข้าวมีงูเห่าด้วย และว่า สองฝ่ายมาพูดกับตนไม่ตรงกัน ฝ่ายหนึ่งบอกว่ามีหลักฐานว่ากรมการข้าวทุจริต เตรียมจะไปร้องตามหน้าที่ อีกฝ่ายบอกว่าไม่ได้ทุจริต จึงอยากฝากให้ไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าใครพูดจริง แล้วถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด จะมาคุยมาเคลียร์ทำไม “ยืนยันไม่ใช่แก๊งตบทรัพย์ ไม่ได้เงินสักบาท แต่งานนี้ถูกหักหลัง ลั่นคนเราถ้าไม่ผิด ไม่มีแผล จะเดือดร้อนทำไม”

ทั้งนี้ ช่วงท้ายของการแถลง เจ๋ง ดอกจิก ยังลุกขึ้นถือพานพวงมาลัยดอกมะลิ พร้อมกล่าวคำสาบานว่า “ถ้าผมเป็นแก๊งตบทรัพย์ ขอให้ผมมีอันเป็นไป หากผมไม่ได้เป็นดังนั้น ขอบารมีพระแก้วมรกต ศาลหลักเมือง ช่วยจัดการกับคนกล่าวหา ให้ไม่มีที่อยู่ ให้ทุกข์ใจกว่าผมร้อยเท่าพันเท่า และขอให้บุคคลที่กล่าวหา ขอให้มีอันเป็นไปทั้งครอบครัว อย่าได้ผุดได้เกิด ถ้าผมไม่ได้เกี่ยวกับแก๊งตบทรัพย์ ขอให้ผมเจริญขึ้นเรื่อยๆ”

เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า ในการแถลงของเจ๋ง ดอกจิก มีการพาดพิงถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ ทำนองว่า ตนทำตามคำสั่งของ ร.อ.ธรรมนัส “ยอมรับว่าได้รายงาน ร.อ.ธรรมนัส ... โทรศัพท์ไปเล่าให้ท่านฟังว่ามีเรื่องกรมข้าว ท่านบอกพี่ช่วยทำๆ ให้จบๆ หน่อย ประมาณ 18 ธ.ค. 66 วันที่ 19 ธ.ค. ก็ไปหา ร.อ.ธรรมนัสที่ทำเนียบ ถามว่าเรื่องพี่ศรีจะเอายังไง ท่านก็ถามว่าพี่ศรีจะเอายังไง ก็บอกไม่รู้ เขาบอกพี่เจ๋งไปช่วยจัดการให้หน่อย เลยเป็นที่มาที่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ ก็เลยไปช่วยเจรจา ท่านบอกให้ทำตามที่ศรีว่า ก็เลยไปจัดการให้จบๆ”

ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส ไม่พอใจหลังถูกนายเจ๋ง ดอกจิก พาดพิงในการแถลง โดยยืนยันว่า ไม่เคยเจอนายเจ๋งในทำเนียบรัฐบาล ก่อนชี้ไปที่ตึกข้างๆ ฝั่งซ้ายมือ แล้วบอกว่าเจอกันตรงนี้ ตอนนั้นกำลังแถลงข่าวอยู่ เจอหน้าประตู หน้าบันได จึงถามว่ามาทำอะไร นายเจ๋งก็ตอบว่ามาติดตามเรื่องร้องเรียน ตนจึงบอกว่า เรื่องนี้ขอไม่ยุ่ง ไปคุยกันเองเลย เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ตรงนี้ ไม่มาไหว้เจ้ากระทรวง เจ้าที่เจ้าทางก็อย่ามาลบหลู่

ร.อ.ธรรมนัส ยังบอกอีกว่า ไม่อยากรับรู้ว่านายเจ๋งกำลังติดตามและร้องเรียนอะไรอยู่ และไม่อยากให้ใช้คำว่าตบทรัพย์ เงินหลักล้าน หรือ 1.5 ล้าน มาขอกันกินดีกว่า พร้อมย้ำว่า เรื่องนี้ตนไม่เกี่ยว ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้คนแบบนี้ไปเคลียร์ พร้อมถามกลับ เจ๋ง ดอกจิก ว่ามีหน้าที่อะไรในกระทรวงเกษตรฯ ถึงมาตรวจสอบ

ส่วนที่นายเจ๋งยกพานเหนือหัวสาบานนั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า คนเราหากจะพูดอะไร สิ่งที่พูดกับหลักฐานที่ตำรวจมีมันหนังคนละม้วน ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว และไม่ขอฝากอะไรไปถึงนายเจ๋งที่ได้เอ่ยชื่อตนระหว่างแถลงข่าวเมื่อวาน เพราะตนเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ...ส่วนจะมีใครไปหักหลังนายเจ๋งหรือไม่นั้น ตนไม่รู้ รวมถึงที่บอกว่ากรมการข้าวมีงูเห่า ตนก็ไม่รู้ ก่อนบอกว่าที่นี่ไม่มีงูเห่า แต่มีมังกร ตนขอไม่ให้ความสำคัญกับคนที่เป็นขยะสังคม

5. ศาลพิพากษายกฟ้อง "ตุน มิน ลัต-ลูกเขย สว.อุปกิต" คดีค้ายาเสพติด ชี้ หลักฐานรับฟังไม่ได้ ด้านทนายเตรียมนำคำพิพากษาไปสู้ในคดี "สว.อุปกิต"!



เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายตุน มิน ลัต นักธุรกิจชาวเมียนมา, นายดีน ยัง จุลธุระ, น.ส.น้ำหอม, น.ส.ปิยะดา และบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด โดยนายตุน มิน ลัต และ น.ส.น้ำหอม ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุนการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มีลักษณะเป็นความผิดร้ายแรง องค์กรอาชญากรรม

คดีนี้ อัยการฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 22 ก.พ.-10 พ.ค.2562 จำเลยทั้ง 5 กับพวกที่ยังหลบหนี และจำเลยบางส่วนที่ศาลจังหวัดธัญบุรีพิพากษาไปแล้ว ได้บังอาจร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยตกลงวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำในการจัดหายาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า)

โดยพวกจำเลยทำหน้าที่ดูแลรับฝากเงิน ถอนเงิน โอนเงินซื้อขายค่ายาเสพติดเข้าบัญชีของบริษัทฯ จำเลยที่ 5 โดยอ้างว่า เพื่อไปชำระค่าไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย จ.เชียงราย ลักษณะปกปิด อำพรางซึ่งการได้มาของเงินจำนวนดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด
โดยบริษัทฯ จำเลยที่ 5 มีหน้าที่นำเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดเปลี่ยนสภาพเป็นสินค้าประเภทกระแสไฟฟ้า ส่งออกไปประเทศเมียนมา รวมความผิดกว่า 32 กระทง

ทั้งนี้ ศาลได้สั่งเบิกตัวจำเลยทั้งหมดจากเรือนจำมาฟังคำพิพากษา โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดจำนวน 6 กลุ่ม ที่ก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำพิพากษาว่ามีความผิด ส่วนเส้นทางการเงินของเครือข่ายยาเสพติดทั้ง 6 กลุ่มมีบางส่วนที่มีการเชื่อมโยงมาที่ร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราตามแนวชายแดน ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจในเครืออัลลัวร์ กรุ๊ป ก็ใช้บริการร้านแลกเปลี่ยนเงินตราร้านเดียวกัน เพราะมีความน่าเชื่อถือ และทางสถานทูตมีการตรวจสอบแล้วพบว่า ได้รับอนุญาตถูกต้องจากหน่วยงานภาครัฐของทางเมียนมา

จากการนำสืบของพยานซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดทั้ง 6 กลุ่มให้การยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักกับจำเลยทั้ง 5 มาก่อน และในขณะจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดจำเลยทั้ง 5 ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของพยานบุคคล จากกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่มาเบิกความต่อศาล สอดคล้องต้องกันว่า เป็นลูกค้าที่ใช้บริการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้าที่ซื้อไป
บางรายใช้วิธีการโอนเงินมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นช่วงสถานการณ์โควิด ที่ชายแดนปิด ไม่สามารถเดินทางไปมาระหว่างกันได้

เชื่อว่าร้านแลกเปลี่ยนเงินตรา มีผู้มาใช้บริการถึง 500 บัญชี และมี 22 บัญชีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่มาใช้บริการร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราด้วย ซึ่งตัวแทนบริษัท เมียนมาร์ อัลลัวร์ กรุ๊ป ก็ใช้บริการบัญชีเงินฝากร้านแลกเปลี่ยนเงินตราเดียวกันนี้ด้วย ทำให้ชุดพนักงานสวนสวนเข้าใจผิดได้ แม้ในช่วงที่จำเลยที่ 1-4 ถูกจับกุม ทางบริษัทของกลุ่มจำเลย ก็ยังใช้วิธีการชำระเงินแบบเดิม ซึ่งผิดปกติวิสัยว่า หากถูกจับกุมในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดแล้วจะใช้วิธีการเดิมในการชำระเงิน

ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกเขยของนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ได้ถูกเชิญให้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทอันลัวร์ กรุ๊ป ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ไม่ต้องโดนตรวจสอบ เป็นเพราะความมักง่ายในการทำธุรกิจไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ปกปิด เพราะเป็น สว. หลีกเลี่ยงการตรวจสอบเกี่ยวกับการทำธุรกิจ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

ศาลพิเคราะห์แล้วไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 5 ร่วมกันทำผิดเกี่ยวกับการสมคบค้ายาเสพติด และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พยานหลักฐานของจำเลยสามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ทั้งหมด พิพากษายกฟ้อง


หลังศาลพิพากษายกฟ้อง นายเรืองศักดิ์ สุขเสียงศรี ทนายความนายดีน ยัง จุลธุระ จำเลยที่ 2 ลูกเขยนายอุปกิต และทนายความของนายอุปกิต เผยว่า คดีนี้เส้นทางการเงินกระจายไปทั่ว ไม่ใช่เฉพาะบริษัท เมียนมา อัลลัวร์ แต่โจทก์ฟ้องเฉพาะจำเลย จึงหักล้างว่า นิติบุคคลอื่นที่มีเส้นทางการเงินคล้ายกับเรา มาหักล้างว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ถ้าเราเกี่ยวข้อง นิติบุคคลอื่นก็ต้องเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็น คาราบาว เอสซีจี โรงเรียนนานาชาติก็จะต้องเกี่ยวด้วย เพราะรับเงินจากร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราที่เดียวกัน ซึ่งศาลพิจารณาโดยมีรายละเอียดข้อเท็จจริง มีเหตุผลอย่างละเอียดมากๆ คำพิพากษานี้จะเป็นตัวอย่างให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะจับกุมใคร ต้องดูให้ละเอียดก่อนออกหมายจับ เพราะศาลพูดออกมาเลยว่าหละหลวมมาก ซึ่งคดีนี้มีโทษถึงประหารชีวิต ดีที่เราสู้คดีไม่ได้รับสารภาพ ลองคิดดูหากพลาดจะเป็นอย่างไร

นายเรืองศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของ สว.อุปกิต ตนจะต้องใช้คำพิพากษานี้ ถึงแม้จะยังไม่ถึงที่สิ้นสุดไปประกอบในสำนวน เนื่องจากข้อเท็จจริงเหมือนกันหมด ทั้งพยานบุคคลและพยานหลักฐาน ซึ่งในคำพิพากษาคดีนี้ก็มีชื่อนายอุปกิตด้วยก็สามารถนำไปอ้างอิงได้ ส่วนจะเป็นประโยชน์หรือไม่ตนไม่ทราบ แต่จำเป็นต้องใช้แน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น