ข่าวปนคน คนปนข่าว
** "เจ๋ง ดอกจิก" โต้ตบทรัพย์ "อธิบดีกราบแทบตัก" "ธรรมนัส" ขอให้ช่วยจบกับ "พี่ศรี" ทิ้งบอมบ์...ถ้าไม่ผิดจะเคลียร์ทำไม ? เหตุใดภรรยาร่ำรวยมาก !?
เคลื่อนไหวแล้วสำหรับ “เจ๋ง ดอกจิก” ยศวริศ ชูกล่อม และ “การ์ตูน” น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.รวมไทยสร้างชาติ หลังจากที่ถูกกล่าวหาพร้อมนักร้องดัง “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา ฐานร่วมกัน “ตบทรัพย์” ณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว จนกลายเป็นกระแสดัง ฉาวโฉ่ โดยออกตัวมาพร้อมคำอธิบายว่า ที่หายหน้าไปหลายวันตั้งแต่เกิดเรื่องไม่ใช่ “กลัว”แต่เพราะ โทรศัพท์ทั้ง 2 คน ถูกยึดไปตั้งแต่วันแรก จึงไม่สามารถเก็บข้อมูล รายละเอียดต่างๆได้เลย
ที่ต้องเคลื่อนไหว เพราะจำเป็นต้องชี้แจง เพื่อแก้คำครหา นินทา และแก้คำกล่าวหา ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความเสียหาย เสียชื่อ เสื่อมเสียศักดิ์ศรี เกียรติยศอย่างยิ่ง จนไม่มีหน้าไปพบปะผู้คน
เรียกว่า ทนอยู่นานหลายวัน ต้องขอพูดบ้าง ตั้งแต่ตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ได้อย่างไร ?
จากนั้น “เจ๋ง” ก็เริ่มร่ายไทม์ไลน์ จากวันที่ 18 ธันวาคม 2566 ศรีสุวรรณ และ ตัวเอง เจอข้อพิรุธส่อทุจริตในกรมฝนหลวงฯ ในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการประกวดราคาซื้อเครื่องบินขนาดกลาง โดยงบประมาณ 1,188 ล้าน เมื่อตรวจสอบเจอ ก็นัดหมายว่าจะไปร้องต่อคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำ และติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร โดยนัดหมายกันว่า จะไปร้องเรียนต่อประธาน กมธ. ในวันที่ 20 ธันวาคม 2566
จากโครงการฝนหลวง ตัวเองมีข้อมูลตรงกับ “ศรีสุวรรณ” ว่า ในกรมการข้าวก็มีการทุจริตอย่างมโหฬาร จึงเตรียมเอกสารร้องเรียนกรมการข้าวต่อ แต่เพื่อนซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญของเสื้อแดง มาขอว่า อย่าไปยุ่ง พวกกัน อธิบดีเป็นน้องเขา แตะไปเดี๋ยวจะมีปัญหา
ต่อมา ระหว่าง “เจ๋ง กับอธิบดี” ซึ่งยืนยันว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน โทรนัดคุยกัน โดยเจ๋งบอกว่าเป็นฝ่ายอธิบดีที่ขอกินกาแฟด้วย จากเดิมนัดที่โรงแรมมารวย แต่เปลี่ยนเป็นที่กรมการข้าวแทน เพราะอธิบดีบอกโรงแรมคนเยอะ ไม่สะดวก
“วันนี้จะพูดความจริงทั้งหมด เมื่อไปถึงที่กรมฯ ประมาณบ่ายโมง อธิบดีลงมารับผมที่หน้าตึก ผมก็ขึ้นไปที่ห้องของอธิบดี โดยมีภรรยานั่งอยู่ โดยเขาบอกว่า พี่ช่วยผมหน่อย ผมไม่ไหว พี่ช่วยเจรจาผมหน่อย ผมบอกไม่ต้องห่วง วันนี้มาเพื่อช่วย เพราะเพื่อนผมฝากไว้ ซึ่งอธิบดีบอกว่า ตัวเองเป็นเสื้อแดง และสนับสนุนเสื้อแดงมาตลอด ผมจึงช่วยเต็มที่ ช่วยด้วยหัวใจ เขาก็กราบที่ตัก ขอบคุณที่มาช่วยดูแล เดี๋ยวมีอะไรประสานกับภรรยาผมนะ ซึ่งภรรยาอธิบดีกรมการข้าว ถามว่า จะติดต่อกับใคร ผมจึงให้ติดต่อกับ น.ส.พิมณัฏฐา เพราะเขาเป็นเลขาฯของผมเอง” เจ๋ง กล่าว
ตัวละครที่โผล่ออกมาจากปากของ “เจ๋ง” วันนี้อีกคนก็คือ "ธรรมนัส พรหมเผ่า" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่ เจ๋ง บอกว่า พอรายงานให้ทราบก็ขอให้เขาช่วยอธิบดีด้วยว่า "พี่ช่วยทำๆ ให้จบๆ หน่อย"
ประมาณวันที่ 18 ธ.ค. หรือ วันที่ 19 ธ.ค.66 ตัวเองไปหา “ธรรมนัส” ที่ทำเนียบฯ ถามว่าเรื่องพี่ศรี จะเอายังไง ? ซึ่งธรรมนัส ถามกลับว่า พี่ศรีจะเอายังไง พอตัวเองบอกไม่รู้ ธรรมนัส จึงบอก "พี่เจ๋ง" ไปช่วยจัดการให้หน่อย เลยเป็นที่มาที่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้
ขณะที่ “เจ๋ง” บอกให้ไล่ไทม์ไลน์ดีๆ มี "นายหมู-อธิบดี และ ภรรยา” ไปตกลงกับ ศรีสุวรรณ ว่ายังไง? ซึ่งเขาบอกไม่รู้ มารู้ทีหลัง ว่าตกลงกันว่า "2 โล" ข่าวก็ออกมา จ่ายกันไปเบื้องต้นแล้วด้วยซ้ำ
สรุปว่า “เจ๋ง ดอกจิก” ลั่นวาจา ตัวเองบริสุทธิ์มาก ช่วยด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ตั้งใจจะเข้าไปหาข้อเท็จจริงว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับจะได้ส่วนแบ่งอะไรเลย ตัวเองและ "การ์ตูน" เลขาฯ ทำหน้าที่ประสานเท่านั้น ยืนยันว่า ไม่ใช่แก๊งตบทรัพย์ และไม่เคยคิดว่าในกรมการข้าวมีงูเห่า เรื่องทุจริตนั้น จริง ไม่จริง ต่างฝ่ายก็มีข้อมูล ถ้ามีการร้องก็ต้องสอบกัน คนเราถ้าไม่ผิด ไม่มีแผล จะเคลียร์ทำไม ? พร้องตั้งข้อสังเกตว่า ภรรยาอธิบดีฯ เปิดบริษัทฯด้วยเงินลงทุน 600 กว่าล้าน เหตุใดร่ำรวยมาก!
สุดท้าย “เจ๋ง ดอกจิก” หยิบธูปเทียนแพ ลุกขึ้นสาบานว่า ถ้าตัวเองเป็นแก๊งตบทรัพย์ ใครเรียก ก็ขอให้มีอันเป็นไป และถ้าไปไม่ได้เป็นแบบนั้น ขอบารมีพระแก้วมรกต ศาลหลักเมือง พระแม่ธรณี สิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนี้ ไปจัดการคนกับคนที่กล่าวหาให้ทุกข์ใจ เป็นร้อยพันเท่า รวมทั้งทุกคนที่คิด และเกี่ยวข้องขอให้มีอันเป็นไป และถ้าผมไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอให้ตัวเองเจริญขึ้นเรื่อยๆ
งานนี้ใครจะพูดจริง ใครจะพูดเท็จ อีกไม่นานความจริงต้องปรากฏให้สังคมรับรู้ ตามกฎที่ว่า ความจริงย่อมมีหนึ่งเดียว!!
**ทำตัวเองแท้ๆ แต่แพ้แล้วพาล นี่คือนิสัยถาวรของก้าวไกล
เป็นไปตามความคาดหมาย หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ฟันฉับว่า การเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล “เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ให้หยุดการกระทำนั้นเสีย
จากนั้นก็มี “ดาบสอง” ตามมาเป็นที่เรียบร้อย
โดยมีผู้ไปยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา “ยุบพรรค” และตัดสิทธิ์ทางการเมืองคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล นอกจากนี้ยังไปยื่นเรื่องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวน “ความผิดจริยธรรมร้ายแรง” ของ 44 ส.ส. ที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนการเสนอ ร่างกฎหมายเพื่อแก้ไข มาตรา 112 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก่อนส่งฟ้องศาลฎีกา
หากย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล และแนวร่วม “เครือข่ายสามนิ้ว” ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในยุครัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นั้นมีการเคลื่อนไหวชุมนุม ตั้งเวทีปราศรัย กัดกร่อน บ่อนเซาะสถาบันฯ กันอย่างหนัก ใครถูกจับกุมก็มี สส.พรรคก้าวไกล ไปประกันตัวออกมา
ในเวทีสภา สส.ก้าวไกลก็เสนอร่างกฎหมายเพื่อแก้ไข มาตรา 112 ต่อสภาผู้แทน ในสมัยที่มี “ชวน หลีกภัย” เป็นประธานสภาฯ แต่ไม่ได้รับการบรรจุเข้าสู่ระเบียบวารการประชุมสภาฯ เนื่องจากขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ที่มีเจตนารมณ์คุ้มครองสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์
ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลยังใช้การแก้มาตรา 112 เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียง มีการยกมาเป็นหัวข้อดีเบต กันในหลายเวที หลายวาระ จนในที่สุดกลายเป็นเรื่องที่นำมาสู่การฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ และสุดท้าย ศาลฯ มีคำวินิจฉัยออกมาว่า “แก้ไข 112=ล้มล้างการปรกครอง”
บรรดาแกนนำก้าวไกล มองว่า นี่เป็นอีกบทหนึ่งของ “นิติสงคราม” โดยฝ่ายรัฐ แต่ไม่ยอมมองถึงพฤติกรรม “ทะลุฟ้า” กลุ่มตนเองและเครือข่าย ว่าเพราะตัวเองเป็นผู้จุดชนวนก่อสงครามหรือไม่
“ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่เป็นหนึ่งในผู้นำจิตวิญญาณของก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "ข้อเสนอทางกฎหมายที่พอเป็นไปได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน" มีใจความโดยสรุปว่า
รัฐธรรมนูญ คือ ระบบความสัมพันธ์ทางอำนาจขององค์กรต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ประมุขของรัฐ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลรธน. ศาล
แต่ตอนนี้ ศาลรธน. กำลังใช้อำนาจล้ำแดนองค์กรอื่นๆ ต้องให้องค์กรที่ถูกล้ำแดน ใช้อำนาจโต้กลับไป เช่น ใช้อำนาจแก้ไขรธน. แก้ไข พ.ร.ป. แก้ไข พ.ร.บ. ต่างๆ
“ปิยบุตร”เสนอว่า สส. พรรคการเมือง ต้องใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่ ตอบโต้กลับไปดังนี้
แก้รธน.มาตรา 49 ตีกรอบอำนาจศาลรธน. ไม่ให้รวมถึงการใช้อำนาจของรัฐสภา และการเสนอร่างกฎหมาย
แก้รธน.กำหนด ห้ามมิให้ศาลรธน.เข้าแทรกแซง สกัดขัดขวาง กระบวนการนิติบัญญัติ เว้นแต่กรณีการตรวจสอบว่าร่าง พ.ร.บ.ขัดรธน.หรือไม่ ภายหลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบ และยังไม่ทูลเกล้าฯ
แก้รธน.และ พ.ร.ป.ศาลรธน.ตีกรอบและจำกัดอำนาจศาลรธน. แก้ พ.ร.ป.ศาลรธน. ยกเลิกความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลรธน. แก้รธน. เปลี่ยนองค์ประกอบและที่มาของตุลาการศาลรธน.
และแก้รธน. ยกเลิกศาลรธน. และกำหนดให้องค์กรอื่นทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญแทน
“ปิยบุตร” บอกว่า ถ้าไม่ทำอะไรกับศาลรธน.เลย ก็จะทำให้การเมืองไทย วนลูป และปล่อยให้พวกเขา “ขีดวง” อำนาจของประชาชน และผู้แทนราษฎรให้น้อยลงหดแคบไปเรื่อยๆ
ขณะที่ “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล แม้จะสั่งถอดนโยบายแก้ ม.112 ออกจากเว็บไซต์พรรค เพราะเป็นประเด็นที่ศาลรธน. หยิบขึ้นมาอยู่ในคำวินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง แต่เขาก็เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลฯ ไม่ได้บอก ว่า สส.จะเสนอแก้ไขปรับปรุง ม.112 ไม่ได้ เพียงแต่ต้องดูว่า อะไรคือการเสนอกฎหมายโดยชอบตามคำวินิจฉัยของศาลรธน.
ส่วนประเด็นที่ มีนักวิชาการเสนอความเห็นว่า พรรคก้าวไกล ควรยื่นให้องค์กรระหว่างประเทศตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลฯ ว่า เข้าข่ายละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากลหรือไม่นั้น “ชัยธวัช” บอกว่า เรื่องนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน ก่อนจะทิ้งท้ายว่า ...นี่ถ้าเราอยู่ในสหภาพยุโรป แล้วมีคำวินิจฉัยเช่นนี้ จะไม่สามารถบังคับใช้ได้แน่นอน เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง แต่บังเอิญว่านี่เป็นประเทศไทย
คงเดาไม่ยากว่า “ก้าวไกล” จะนำเรื่องนี้ไปฟ้องต่อชาวโลกหรือไม่!!