“อนุทิน” ยันไม่มีต่อรองการเมือง ค้านปมการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว บอก ทำหนังสือขอสงวนสิทธิ์ ครม.ล่วงหน้าแล้ว ยกอดีต คดีกล้ายาง-CTX ขึ้นศาลครั้งเดียวเกินพอ ลั่น ความสัมพันธ์รัฐบาลปึึ้ก บอกเดินสวน ธรรมนัส ต้องทัก เพราะเป็นเพื่อนกัน ขอสื่ออย่าถามเทียบชั้น พลเอก อนุพงษ์ ถามเเบบนี้ ไม่รู้สี่รู้แปด อู่ตั่วอู่โส่ย
วันนี้ (10 ก.พ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ไม่มีความขัดแย้ง ส่วนรายละเอียดสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว ขอให้ไปถาม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงคมนาคม และข้าราชการประจำ เนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้ออกมาชี้แจงแล้วและเป็นไปตามนั้น
ส่วนจะเป็นปัญหาหรือไม่ ถ้ากระทรวงคมนาคมยังมีความเห็นแย้ง ถ้านายกรัฐมนตรีจะใช้มติคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ นายอนุทิน ระบุว่า ต้องดูเป็นประเด็นไป ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ทำความเห็นออกมาแล้วเป็น 8 ข้อ พร้อมยืนยันยันว่า ไม่ได้มีความเห็นแย้งว่าจะต่อหรือไม่ต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่ขอให้ทำความชัดเจนตามขั้นตอนของฝ่ายกฎหมายกระทรวงคมนาคม การโอนถ่ายจากรถไฟฟ้ามหานคร หรือ รฟม. มาเป็นของ กทม. ถ้ามีการแก้ไขข้อเห็นแย้งแต่ไม่ตรงกับ กระทรวงคมนาคม ก็ขอให้ไปถาม นายศักดิ์สยาม เอง พร้อมกับมองว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความเห็นแย้งเรื่องการทำงานที่ไม่ตรงกัน ซึ่งถ้าอยากให้เดินหน้าต่อก็ต้องใช้วิธีการลงมติ แต่หากอีกฝั่งเห็นว่าผิดกฎหมายอยู่ก็มีสิทธิที่จะสงวนสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยทำ คือ การไม่เข้าร่วมประชุม และทำหนังสือชี้แจง
ทั้งนี้ นายอนุทิน ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ตนเคยหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่า มีความลำบากใจในประเด็นดังกล่าว หากนำเข้าพิจารณาก็ขอไม่เข้าร่วมประชุม โดยทำเป็นหนังสือโต้แย้งแทนการโต้เถียง ปะทะคารม ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการประชุม ครม. เสีย พร้อมกับย้ำว่า การที่ตนและ 7 รัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทย ไม่เข้าร่วมประชุมไม่ใช่เรื่องบังเอิญทุกฝ่ายรับทราบหมด ทั้งทีมงานนายกรัฐมนตรีก็ได้มีการพูดคุย และประสานงานกันมาโดยตลอด การเป็นรัฐบาลไม่ใช่พวกมากลากไป ไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำได้ ถ้าคิดแบบนั้นก็ไม่ต้องเข้า ครม. พร้อมยกตัวอย่างแบบนี้ หากตนต้องการบรรจุข้าราชการ 50,000 คน ตนก็ทำได้ ไม่ต้องมาเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล ก.พ.พิจารณา แล้วบอกว่าไม่มีตำแหน่ง ทุกเรื่องหากประเด็นยังค้างคาอยู่ ก็ต้องไปแก้ไข
ทั้งนี้ นายอนุทิน ยังระบุอีกว่าพรรคภูมิใจไทย เห็นว่า ครม.มี 36 คน หากจะต้องผ่านให้ได้หมดอย่างไรก็แพ้อยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะได้เสียง 7:36 แต่ทำไมต้องนำไปสู่จุดนั้น สร้างความลำบากใจให้กับนายกรัฐมนตรี พร้อมให้เหตุผลการสงวนสิทธิ์ เพราะหากมีการร้องเรียนตามมา คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบส่วนบุคคล ซึ่งรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ได้ทำหนังสือสงวนสิทธิ์เพื่อยืนยันว่าไม่เห็นด้วย ดังนั้น อยากให้สื่อดูวาระให้ชัดว่าเป็นวาระการพิจารณา ไม่ใช่เห็นชอบ และ ครม. ทุกคนจะต้องมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล ถึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ของรัฐบาล พร้อมยืนยัน ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลนั้น “ดีปึ๊กแน่นอน” เมื่อฟังเสียงปึ๊กดูก็รู้
ส่วนที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้อาจนำไปสู่การยุบสภา นายอนุทิน ระบุว่า หลายคนที่วิเคราะห์นั้น ไม่ได้ร่วมรัฐบาล ไม่มีไลน์กับนายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล รู้รายละเอียดแค่ไหนที่ ครม.ไลน์กลุ่ม คุยกัน จึงไม่ใช่เหตุที่จะไปเรียกร้องหรือต่อรอง หากต่อรองไม่มี 7 คน
ส่วนที่พรรคเศรษฐกิจไทยให้ความเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต ของพรรคก้าวไกล จะเป็นสัญญาณให้ยุบสภาเร็วขึ้นหรือไม่ ขอให้ไปถาม ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เอง พร้อมออกตัวว่า ตนเดินสวนกับ ร้อยเอก ธรรมนัส แล้วจะไม่ให้ทักได้อย่างไร เนื่องจากเป็นเพื่อนกัน รัฐบาลส่วนรัฐบาล สภาส่วนสภา การไปของรัฐบาลจะไป คือ 1. นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง 2. นายกรัฐมนตรีลาออก 3. นายกรัฐมนตรียุบสภา 4. กฎหมายการเงินของรัฐบาลไม่ผ่าน ซึ่งก็มีข้อกำหนดอยู่ชัดเจน
เมื่อถามย้ำว่า หากพรรคเศรษฐกิจไทย ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นก็เสี่ยงที่รัฐบาลจะตายคาสภา และอาจจะเกิดการยุบสภาก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอนุทิน ระบุว่า ขอให้ไปถามคนที่มีอำนาจยุบสภา เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เหมือนกับการสงวนสิทธิ์ เป็นเรื่องการทำงานของแต่ละคน เราไม่ใช่นักบู๊ ตีรันฟันแทง เราใช้สติทำงาน
ส่วนรัฐบาลจะไปด้วยศัตรูหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลเป็นของประชาชนไม่มีศัตรู และมีศัตรูไม่ได้ พรรคภูมิใจไทยได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้ว เป็นลายลักษณ์อักษร และ เคลียร์หมดแล้ว รวมถึงผู้สื่อข่าวและสาธารณชนรับทราบ ซึ่งจากนี้ไปจะไม่มีการไม่เข้าร่วมประชุมครม. และพร้อมจะรับฟัง ความเห็นของนายศักดิ์สยามที่จะซักถาม หรือโต้แย้ง และถ้านายกรัฐมนตรีเห็นว่าต้องดำเนินการต่อไป ก็สามารถสั่งการได้ ในการจะลงมติ แสดงให้เห็นว่าเราหลบเราหมอบแล้ว ในการหลีกเลี่ยง การที่จะความเห็นไม่ตรงกันต่อหน้า ในที่ประชุม ครม. ถึงเวลาโหวตหากไม่มีการแก้ไข ก็โหวตโน แต่ถ้าแก้ไขแล้ว ไม่มีอะไรกังวลว่าจะไปที่บ้านหลังพ้นตำแหน่ง และถูกต้องตามกระบวนการ ถูกต้องทุกอย่าง และประชาชนได้รับประโยชน์ มีแต่จะเร่งให้รีบโอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ระหว่าง พล.อ อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับ นายอนุทิน นายกรัฐมนตรี จะเลือกใคร นายอนุทิน กล่าวด้วยเสียงดังว่า "ไม่ต้องถาม ว่า นายกฯจะเลือกใคร ท่านเป็นพี่น้องกัน รู้สี่รู้แปด ภาษาบรรพบุรุษตนที่มาจากยุโรป เขาเรียกอู่ตั่วอู่โส่ย (เป็นภาษาจีนแปลว่า เราต้องรู้จักว่าลำดับใครโตกว่าเรา) พร้อมย้ำว่า รู้สี่รู้แปด รู้ใหญ่รู้เล็ก ไม่ได้เทียบกันตรงนั้นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่เลย ถามออกทะเลแล้วไม่ใช่ ไม่ต้องการให้เลือก ให้เลือกประชาชน”
พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ยังกล่าวถึงในอดีตที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเคยมีมติเห็นชอบ คดีกล้ายาง คดี CTX ที่ทุกฝ่ายเห็นว่าถูกกฎหมาย ว่า ตนไม่อยากซ้ำรอยกับคดีดังกล่าว ครั้งเดียวก็เกินพอ ที่ตนและนายวิษณุจะต้องไปขึ้นศาล และเมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ความเห็นของฝ่ายกฎหมาย 4 หน่วยงาน เชื่อถือไม่ได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน ปฏิเสธที่จะตอบคำถามโดยระบุว่าไม่รู้ พร้อมกับระบุว่า เรื่องความรักความชอบส่วนตัวไม่เอาแล้วไม่ไหว แต่ไม่ใช่ว่าไม่โหวต เพราะกลัวว่าจะเป็นอะไร แต่ต้องดูว่าไม่ผิดกฎหมาย ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน