xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองปี 67 ไร้ความหวัง ปชป.รอเสียบ พท.จ่อดึง พปชร.ควบรวม อนาคตต้องปล่อย กก.เป็นรัฐบาล ให้ด้อมส้มเห็นเนื้อแท้ เพื่อเซตซีโร่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” มองการเมืองปี 2567 มีเค้าลางความวุ่นวายจากหัวเชื้อในปี 2566 คาด ปชป.ร่วมรัฐบาลแน่ ด้าน พท.อาจดึง พปชร.มาควบรวม ตามสไตล์ “ทักษิณ” พรรคต้องมี สส.200 เสียงขึ้น คาดหากเลือกตั้งใหม่ก้าวไกลจะได้เสียงเกินครึ่ง ควรปล่อยตามธรรมชาติ ให้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ด้อมส้มจะได้เห็นเนื้อแท้ว่าเป็นของเก๊ ทำเจ๊งคามือ แล้วเซ็ตซีโร่การเมืองไทยใหม่ แต่ต้องหาผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ คิดถึงประเทศเป็นส่วนรวม ทำทุกอย่างเพื่อคนรุ่นลูกรุ่นหลาน



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึง การเมืองในปี 2566 ที่ผ่านมาว่า เป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 9 ปีนับตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งมีการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ทั้งนี้เป็นเวลา 9 ปี เต็มที่ประเทศไทยวนอยู่ในกำมือของ“กลุ่ม 3 ป.”ปัญหาทุกอย่างของประเทศที่ถูกสะสม หมักหมม ก็รุนแรงขึ้นทุกวัน ๆ เช่นเดียวกับ แรงกดดันทางการเมืองที่สะสมเอาไว้เหมือนกับ “หม้ออัดแรงดัน” ที่ถูกฝาปิดเอาไว้มา 9 ปี สุดท้ายจึงระเบิดออกในการเลือกตั้ง วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566

ผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวัน 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา นำพาประเทศไทยมาสู่หัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งก็คือพรรคก้าวไกล ที่ชูแนวความคิดใหม่ ปฏิเสธการทำงานแบบเดิมๆ มาที่ 1ด้วยจำนวนที่นั่ง ส.ส.151 ที่นั่ง ตามด้วยพรรคอันดับที่ 2 คือ พรรคเพื่อไทยที่คิดว่าตัวเองจะชนะแบบแลนด์สไลด์ แต่ได้ ส.ส.มาเพียง 141 ที่นั่ง


พรรคก้าวไกลที่นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พยายามจัดตั้งรัฐบาล แต่ด้วยนโยบายที่จะแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงเจอแรงต้าน เนื่่องจากหลายฝ่ายมองเห็นสอดคล้องกันว่า เป็นความพยายามของพรรคก้าวไกลที่จะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือการล้มล้างสถาบันกษัตริย์

ทำให้มีผู้ร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ใช้เป็นนโยบายหาเสียง ถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ โดยเมื่อ วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ศาลได้นัดไต่สวนพยานบุคคลคือนายพิธา กับ นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวพน้าพรรคก้าวไกลและหัวหน้าพรรคก้าวไกลไปเรียบร้อยแล้ว และจะมีการลงมติพร้อมกับนัดฟังคำพิพากษาใน วันพุธที่ 31 มกราคม 2567 หรือปลายเดือนหน้า


ด้วยนโยบายดังกล่าว การจัดตั้งรัฐบาลนำโดยพรรคก้าวไกลจึงพบทางตัน ไม่สามารถรวบรวมเสียง ส.ส.และ ส.ว.ได้เกินกึ่งหนึ่งของทั้ง 2 สภาคือ 375 เสียง ประกอบกับกรณีที่นายพิธาติดบ่วงคดีการถือหุ้นสื่อ คือหุ้นไอทีวี และถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ทำให้ในที่สุดเกิดการพลิกขั้วการจัดตั้งรัฐบาลขึ้น และพรรคเพื่อไทยซึ่งชูนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีได้กลายเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล 11 พรรค ส.ส. 314 เสียงขึ้นแทน

การพลิกขั้วขึ้นมาเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยอีกครั้งในรอบ 9 ปี ยังเป็นการเปิดทางให้ นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษผู้หลบหนีคำพิพากษาจำคุกคดีทุจริตจากศาลฎีกาหลายคดี สามารถเดินทางกลับมาประเทศไทยได้ด้วย เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี หลังจากหนีคดีออกจากประเทศไทยไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2551

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ในปี 2566 เป็นต้นตอ และหัวเชื้อของเค้าลางปัญหาทางการเมืองรอบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้า 2567 และปีถัดๆ ไป ทั้งยังมีแนวโน้มว่าอาจจะลุกลามกลายเป็น “วิกฤต” กลายเป็น “ระเบิดเวลา” ครั้งใหม่ที่พร้อมที่จะระเบิดกลายเป็นความขัดแย้ง และกลายเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพียงเพราะทุกฝ่ายมุ่งหวังเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่มุ่งหวังเอาไว้ส่วนตน, กอบโกยผลประโยชน์แต่เฉพาะพรรคพวกของตัวเอง ไม่เว้นแม้พรรคก้าวไกล โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม ของประเทศชาติ และของประชาชนเลยแม้แต่น้อย

ผลโพล “พิธา-ก้าวไกล” ยังนำโด่ง

วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” หรือโพลล์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีการเปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาสปี 2566” พอดิบพอดีกับที่ รัฐบาลใหม่เข้ารับตำแหน่งและทำงานมาได้ประมาณ 4 เดือน

โดยนิด้าโพลทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13-18 ธันวาคม 2566 แบ่งเป็นผลการสำรวจตัวบุุคคล และพรรคการเมือง ผลปรากฎว่า คำถามที่ว่าบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้พบว่า อันดับ 1 -39.40% ยังเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) โดยให้เหตุผลว่าเพราะ มีความเป็นผู้นำ เป็นคนรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์ดี บุคลิกดี และเข้าถึงประชาชน


อันดับ 2 - 22.35% เป็น นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) เพราะ มีความรู้ความสามารถ ตรงไปตรงมา และชื่นชอบพรรคเพื่อไทย
อันดับ 3 -18.60% ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้
อันดับ 4 - 5.75% ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง (พรรคเพื่อไทย) เพราะ เป็นคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบพรรคและนโยบายพรรคเพื่อไทย และชื่นชอบผลงานในอดีตของตระกูลชินวัตร
อันดับ 5 - 2.40% ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะ มีความรู้ความสามารถ มีความน่าเชื่อถือ ตรงไปตรงมา และมีความซื่อสัตย์สุจริต

ส่วนคำถามที่ว่าพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้พบว่า
อันดับ 1 - 44.05% ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล
อันดับ 2 - 24.05% เป็นพรรคเพื่อไทยน้อยกว่าพรรคก้าวไกลเกือบครึ่ง)
อันดับ 3 - 16.10% ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้
อันดับ 4 - 3.60% เป็นพรรคประชาธิปัตย์
อันดับ 5 - 3.20% ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ


ก้าวไกล = ทองเก๊

จากผลการสำรวจล่าาสุดของนิด้านี้ จะเห็นได้ว่าคะแนนความนิยมของ “พรรคก้าวไกล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ก็ยังคงนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล แบบขาดลอย ทั้ง ๆ ที่ ก็มีหลายๆ เหตุการณ์อื้อฉาวในพรรคก้าวไกลหลุดออกมาเรื่อยๆ

กาลเวลาก็พิสูจน์ความจริงที่มีหนึ่งเดียวว่าจริง ๆ แล้วพรรคนี้ที่สืบทอดมาจากพรรคอนาคตใหม่ ตั้งแต่ผู้ก่อตั้ง กรรมการบริหารพรรค ส.ส. ไล่ไปจนถึงสมาชิกพรรคนั้นส่วนใหญ่แล้ว ไม่ใช่“ทองแท้”แต่เป็น“ทองเก๊”ซึ่งเมื่อผ่านลม ผ่านฝน ผ่านพายุ ผ่านการพิสูจน์ สุดท้ายทองคำที่ชุบผิวเอาไว้มันก็ลอกออกมา แสดงให้เห็นเนื้อแท้ข้างในว่า “กระดำกระด่าง” ไม่ได้สุกใสเปล่งปลั่งดั่งทองคำเหมือนกับภาพที่สร้างเอาไว้ ตัวอย่างกรณีอื้อฉาวของบรรดาคนในพรรคที่เรียงรายออกมา ไม่ว่าจะเป็น

1.ส.ส.แจ้ นายวุฒิพงษ์ ทองเหลา โดนร้องเรียนกรณีคุกคามทางเพศ


2.ส.ส.ปูอัด นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม โดนร้องเรียนกรณีคุกคามและล่วง ละเมิดทางเพศ


3.นอกจากนี้เมื่อย้อนกลับไปในปี 2565 ก็ยังมีกรณี นายสัณห์สิทธิ์ เนาถาวร ส.ก.เขตวัฒนา พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาว่าคุกคามทางเพศเช่นกัน

4.กรณีที่ในเดือนกรกฎาคม 2565 นายอานุภาพ ธารทอง ส.ก.เขตสาทร พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาโดยเยาวชน 4 ราย อายุ 16-18 ปี ว่าถูกลวงไปดื่มสุราและล่วงละเมิดทางเพศ แต่นายอานุภาพได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา และประกันตัวออกมาต่อสู้คดี ก่อนขอลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกล เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค

นายอานุภาพ ธารทอง
5. เดือนมิถุนายน 2566 กรณี นายสิริน สงวนสิน ส.ส.กทม. เขตทวีวัฒนา ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายหญิงที่คบหาเป็นแฟนสาว ถูก แจ้งความต่อ สภ.บ่อวิน จ.ชลบุรี พรรคก้าวไกลลงโทษด้วยการตัดสิทธิดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรค

นายสิริน สงวนสิน
นี่แค่น้ำจิ้ม แค่ตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ นะครับ แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องแค่เรื่องเดียวคือ เรื่องการคุกคามทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศ ไม่นับรวมกับความอ่อนด้อยทางประสบการณ์ และความรู้ความสามารถในแง่ประเด็นต่าง ๆ ทั้งในเชิงการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่บุคลากรพรรคก้าวไกลขาดแคลน อีกทั้งประกอบกับความหยิ่งยโสโอหัง เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น จึงไม่สามารถที่จะหา “แนวร่วม” เข้ามาร่วมเป็นพลังเสริมในการขับเคลื่อนนโยบายของตัวเองได้อย่างเป็นรูปธรรม

การวางภาพลักษณ์ของพรรคก้าวไกล มีนโยบายที่ตรงใจประชาชน วางมาตรฐานสูง แต่ความเป็นจริง ส.ส.ในพรรค หลายคนไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานเหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องคุกคามทางเพศเป็นเรื่องใหญ่ระดับสากล ก้าวไกลก็ใช้เรื่องนี้เป็นนโยบายหลักในการหาเสียง แต่ คนในพรรคกลับสร้างเรื่องเหล่านี้เสียเอง

ส่วนตัวนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เอง แม้ว่าผลโพลล์ยังคงนำมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็มีปัญหาของตัวเองหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
-นโยบายแก้ไข หรือ ยกเลิก กฎหมายอาญา มาตรา 112
-นโยบายต่างประเทศ ที่เชิดชูชาติตะวันตกสหรัฐอเมริกา ชักนำเข้ามาแทรกแซงประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในภูมิภาคนี้
-การชอบโกหกจนเป็นนิสัย วันนี้พูดอย่างอีกวันพูดอีกอย่าง สร้างภาพว่าเป็นคนดี อย่างโน้นอย่างนี้ หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” แต่สุดท้ายก็ดันถูกจับโป๊ะได้ทุกเรื่อง

“จริงๆ แล้ว หลังจากที่โพลนิด้าอันนี้ออกมาว่าความนิยมของก้าวไกลกับนายพิธายังมาเป็นอันดับหนึ่ง ผมไม่ได้แปลกใจแม้แต่นิดเดียว เพราะสังคมยังมีคนที่ด้อยปัญญา หลงไหลความจอมปลอมอีกมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนอย่างน้องไนซ์, นายนอท กองสลาก, เณรคำ, ธัมมชโยรวมไปถึงลุงพลและคงยังมีคนแบบนี้เกิดขึ้นอีกมากมาย


“แต่ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า เมื่อมองไปที่พรรคการเมืองทุกพรรค เรามีแต่นักการเมือง ไม่มีผู้นำ บรรดาพรรคใหญ่พรรคอื่น ๆ ก็ตกต่ำ มองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ไม่ได้เข้มแข็งหรือเป็นที่พึ่งให้สังคมไทยได้เลยแม้แต่นิดเดียว” นายสนธิกล่าว

“ทักษิณ”ใช้อภิสิทธิ์ ทำ “เพื่อไทย” คะแนนทรุด

พรรคเพื่อไทย ซึ่งความนิยมจากนิด้าโพลอยู่ในลำดับที่ 2 ทั้งๆ ที่ได้เป็นแกนนำฝั่งรัฐบาล และมีโอกาสได้โชว์ฝีมือในการบริหารประเทศอยู่ทุกวันนี้

แต่การใช้อภิสิทธิ์และอำนาจในการแทรกแซงกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่ทำให้นักโทษชายทักษิณที่ต้องโทษจำคุก 1 ปี สามารถออกไปนอนนอกคุกแบบไม่แคร์สังคม กำลังฉุดให้ความนิยมของ“พรรคเพื่อไทย”ให้ลดต่ำลงเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ


แม้ว่าจะมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ ซึ่งเป็นคนที่ใช้ได้ มาเป็นผู้นำ มาจากภาคธุรกิจ จึงเป็นคนที่ทำงานเร็ว ตัดสินใจเร็ว สั่งงานเร็ว แต่ที่ไปได้เท่านี้ เพราะว่านายเศรษฐาไม่มี ส.ส.ในมือ อีกทั้งยังมีแรงกดดันจาก “นายกฯ โดยพฤตินัย” อีก 2-3 คนจากตระกูลชินวัตร รวมทั้งขาดผู้สนับสนุน ทั้งรัฐมนตรี ส.ส.ในพรรคที่ไม่ได้ช่วยเหลือนายกฯ เลย เพราะมัวแต่สนใจเรื่องของตัวเอง ข้าราชการเกียร์ว่าง ไม่ให้ความร่วมมือ ถือคติไม่ทำไม่ผิด

ส่วนนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เล่นการเมืองก็เหมือนเล่น เพราะมีบารมีสั่งงานรัฐบาลได้ แต่จะเล่นอีกไม่เกิน 3- 4 ปี ดังนั้นปีหน้าก็จะเห็นการขับเคลื่อนอย่างรุนแรงของโครงการต่าง ๆ โดยรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยที่วางตัวเอาไว้

“ภูมิใจไทย” สาหัส! อยู่ได้เพราะบ้านใหญ่?

พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคใหญ่อันดับที่ 3 ด้วยจำนวนเสียง ส.ส. 71 เสียง เป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ครองเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น มหาดไทย ศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรียกว่ายึดพื้นที่กระทรวงสำคัญ ๆ หลายกระทรวง

แต่น่าตกใจ ที่ผลนิด้าโพลที่เพิ่งสำรวจไป ปรากฏว่า ความนิยมในตัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ติด 1 ใน 5 ของผู้นำที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้คะแนนเสียงเพียงแค่1.70%ทั้งยังตามหลังนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน(พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้2.40%) ที่เป็นพรรคเล็กกว่าเสียด้วยซ้ำ

ขณะที่ ความนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ติด 1 ใน 5 เช่นกัน โดยจากผลสำรวจได้คะแนนนิยมต่ำเตี้ยเพียง1.70%ทั้ง ๆ ที่เมืองไทยมีพรรคการเมืองใหญ่ๆ หลงเหลือเพียงไม่กี่พรรคเท่านั้น สัญญาณที่สาหัสสากรรจ์กว่า ก็คือ ความนิยมของพรรคภูมิใจไทยยังตามหลังพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ไปแล้วอีกด้วยซ้ำ


จะเห็นว่าพรรคที่ตกต่ำจริงๆ คือพรรคภูมิใจไทยคำถามคือ นายอนุทินเล่นการเมืองมากี่ปีแล้ว แต่ทำไมไม่ได้รับความนิยมเชื่อถือศรัทธาจากประชาชนเลย ควรต้องพิจารณาตัวเอง พรรคภูมิใจไทยมี ส.ส.ได้รับเลือกตั้งเข้ามาไม่น้อย แสดงว่า ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาแทบจะมีแต่บ้านใหญ่ ใช้เงินฟาดทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ ?

“ประชาธิปัตย์” หมดอุดมการณ์ รอเสียบอย่างเดียว

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ แทบจะไม่ต้องพูดถึง มีความเป็นไปได้สูงที่พรรคประชาธิปัตย์ในยุคนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้า และ นายเดชอิศม์ ขาวทอง เป็นเลขาธิการ จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หากสถานการณ์เอื้ออำนวย และคิดว่าไม่น่าจะเกินปี 2567 นี้


มีการประเมินกันว่า การสร้างพรรคการเมืองสไตล์ทักษิณนั้น จะเน้นให้ได้ ส.ส.เกิน 200 เสียง เพื่อเป็นพรรคอันดับ 1 รับประกันการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เหมือนในอดีตที่เขาก่อตั้งพรรคไทยรักไทยแล้วยุบรวมพรรคความหวังใหม่ ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มารวมกับพรรคไทยรักไทย

ยุคนี้ พรรคเพื่อไทย มี 141 เสียง ถ้าจะมีพรรคการเมืองที่ถูกควบรวมเข้ามา น่าจะเป็น พรรคพลังประชารัฐ เพราะมีอดีตคนของพรรคเพื่อไทยอยู่ที่นี่กันหลายคน แม้ไม่ยุบพรรคแต่อาจมาบางส่วน

แน่นอนว่า พรรคประชาธิปัตย์ ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเป้าหมาย เพราะเป็นยุคที่ตกต่ำ ระส่ำระสายที่สุด มี ส.ส.เพียง 25 เสียง อีกทั้ง ส.ส.ส่วนใหญ่มิได้มั่นคงในอุดมการณ์ ขณะที่ผู้อาวุโสอีกหลายคนก็ลาออกจากพรรคไปแล้ว

จากสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ทำให้ประเมินได้เลยว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่พรรคก้าวไกลหรือ พรรคอวตารของพรรคอนาคตใหม่ หากพรรคก้าวไกลไม่ถูกยุบ หรือถูกยุบก็ตั้งพรรคใหม่ มีแนวโน้มขึ้นมาครองเสียงกึ่งหนึ่งในสภาได้ และจะเดินหน้ารื้อรากฐานทั้งหมดของประเทศไทย

ปล่อย “ก้าวไกล” เป็นรัฐบาล เพื่อเซตซีโร่

การเมืองไทยยังเริ่มต้นใหม่ หรือเซตซีโร่ไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งดำเนินการบนพื้นฐานของความขัดแย้ง และไม่เคยหายไป ตั้งแต่สมัย 3ป.ยึดอำนาจ ที่อ้างเรื่องความปรองดอง แต่จนวันนี้ก็ยังสร้างความปรองดองไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มองไม่ทะลุปัญหา เพราะมองแบบข้าราชการประจำ

วืธีเดียวที่ทำให้ความขัดแย้งหมดไปคือ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าพรรคก้าวไกลชนะ ก็ให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลไปเลย อย่าไปแทรกแซง

นายสนธิ กล่าวว่า ตนเป้ฯคนหนึ่งที่ต่อต้านพรรคก้าวไกล เพราะรู้ว่าเป็นทองเก๊ แต่ถ้าไม่เปิดให้พรรคก้าวไกลเข้ามามีอำนาจ ประชาชนก็จะไม่รู้ว่าเนื้อแท้ของพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่โกหกหลอกลวง ทำงานไม่เป็น มีแต่เด็กน้อยเข้ามาบ้าระห่ำ


ถึงเวลาหรือยังที่เราจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ หากการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกลได้เสียงเกินครึ่ง สามารถเป็นรัฐบาลได้โดยไม่มีพรรคร่วม ก็ปล่อยไปเลย จะเสนอนโยบายแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็ปล่อยให้ดำเนินการปฏิรูปแบบสุดซอยกันไปเลย แล้วดูว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งย่อมเกิดแรงต้านจากบรรดาพรรคอนุรักษ์นิยม-พรรคข้าราชการอย่างแน่นอน แต่ก็ควรปล่อยให้ดำเนินการ และสู้กันไปเลยจนสุดซอย


“ผมเชื่อว่า สุดท้ายแล้ว การปฏิรูปแบบขุดรากถอนโคนของพรรคก้าวไกล ก็จะประสบความล้มเหลว เจ๊งคามือบุคลากรของพรรคก้าวไกล ที่ล้วนแล้วแต่เป็นของปลอม ไม่ว่าจะเป็น พิธา, ธนาธร, ปิยบุตร, ชัยธวัช, ช่อ พรรณิการ์, ไหม ศิริกัญญา ฯลฯ เพราะพวกนี้คือเด็กเมื่อวานซืน ทำอะไรไม่เคยสำเร็จสักอย่าง แต่อยากมีอำนาจ มาบริหารประเทศชาติ ซึ่งก็ต้องปล่อยให้เป็นไป เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่นั้นยังโง่เขลา เบาปัญญา และหูหนวกตาบอดกันอยู่แล้ว

“ทีนี้ พอพรรคก้าวไกลทำทุกอย่างเจ๊ง ประชาชนที่โง่เขลาเบาปัญญาก็จะได้ลืมตาขึ้นมาดูบ้าง เมื่อฉิบหายกันหมดทุกพรรคแล้ว เนื่องจากคู่ปรับสำคัญที่สุดของก้าวไกล คือเพื่อไทย การกลับมาประเทศไทยแบบอภิสิทธิ์ชนของทักษิณคราวนี้ก็จะทำให้เพื่อไทยเจ๊ง, ประชาธิปัตย์ไม่ต้องพูดถึง, ภูมิใจไทยก็ไร้ราคา ไม่มีความหมาย พรรคอื่นๆ ไม่มีความหมาย แบบนี้ถึงจะเซตซีโร่ได้ เพราะตอนนั้นความขัดแย้งจะหมดไป

“วันนี้ ถ้ายังมัวแต่ต่อต้านพรรคก้าวไกลอยู่ ก็จะมีคนที่สงสารเห็นใจพรรคก้าวไกล ยังเชียร์พรรคก้าวไกล ผลโพลนิด้าที่ออกมา พิสูจนจ์ชัดเจนว่า ยังมีคนเชียร์พรรคก้าวไกล เนื่องจากยังไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลแล้วทำงานได้หรือเปล่า ก็ปล่อยเขาไปเถอะ

“ถ้าพรรคก้าวไกลเจ๊ง ก็ทำให้ความคิดที่ว่า ทำไมไม่ให้โอกาสพรรคก้าวไกล มันจบสิ้นไป ขณะที่พรรคอื่นๆ ทุกพรรคพิสูจน์ผ่านขั้นตอนมาหมดแล้วว่าใช้ไม่ได้ ล้มเหลว ไม่ได้ทำงานเพื่อประเทศชาติ

“เมื่อถึงวันนั้นก็อาจมีการเซ็ตซีโร่ บนพื้นฐานที่ไม่มีความขัดแย้งอีกต่อไป เราสามารถจะเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์ แต่ที่สำคุญที่สุด ประเทศไทยจะหาผู้นำได้อย่างไร ผู้นำที่คิดถึงประเทศเป็นส่วนรวม และทำทุกอย่างเพื่อคนรุ่นลูกรุ่นหลาน”
นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น