พรรคก้าวไกลกำลังเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของตัวเองและได้ยื่นร่างเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ไปแล้ว แต่ปัญหาของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็คือ พรรคก้าวไกลต้องการนิรโทษกรรมให้กับผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 ด้วย หรือถ้าพูดกันตามความจริงให้ถึงแก่นแล้ว เจตนาของพรรคก้าวไกลคือ นิรโทษกรรมมาตรา 112 โดยมีผู้ต้องหาคดีการเมืองอื่นทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลืองเป็นของแถมเท่านั้น
ส่วนตัวผมเห็นด้วยที่ควรจะให้มีการนิรโทษกรรมทางการเมืองจากความขัดแย้งแตกแยกจากสีเสื้อทางการเมืองของคนไทยเกือบ 20 ปีที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องต่อต้านรัฐบาลของฝ่ายต่างๆ เพื่อให้สังคมไทยกลับสู่ความปรองดอง เพราะการกระทำของทุกกลุ่มทุกฝ่ายไม่ได้กระทำความผิดเพราะหวังผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ล้วนแล้วมีเจตนาต่อชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น เพียงแต่เราเห็นต่างกันทางการเมืองทั้งแนวทางและตัวบุคคล
ที่สำคัญแกนนำทุกสีเสื้อต่างติดคุกติดตะรางกันไปถ้วนหน้าแล้ว คดีของ กปปส.แม้จะอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นก็ลงโทษจำคุกแกนนำหลายคนคนละหลายปี
น่าเสียดายว่าในช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีอำนาจรัฐและอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกว่า 9 ปีนั้น ไม่ได้มีความคิดที่จะนิรโทษกรรมทางการเมืองและไม่พยายามหาทางออกที่จะนำพาสังคมไทยออกจากความขัดแย้งเลย
เพราะถ้าจะลบล้างความขัดแย้งบาดหมางในสังคมไทยก็ควรที่จะนิรโทษกรรมทางการเมืองให้กับทุกฝ่าย เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนทุกฝ่ายกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ ไม่มีมลทินมัวหมองติดตัว เพราะไม่ใช่การกระทำอาชญากรรมที่ส่งผลเสียต่อสังคมและบ้านเมือง
แต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกลจะผ่านสภาฯ ได้ยากก็คือ ต้องการให้มีการนิรโทษกรรมมาตรา 112 พ่วงมาด้วยนั่นแหละ
ความขัดแย้งทางการเมืองเรื่องสีเสื้อนั้นเป็นคดีทางการเมืองแน่ แต่ทุกสีเสื้อไม่ได้มีความคิดที่จะล้มล้างเปลี่ยนแปลงการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการเมือง แต่การถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 นั้น หากจะมองว่า เป็นคดีการเมืองก็คงมองได้ แต่ต้องยอมรับว่า เนื้อหาที่ท้าทายและกล่าวหาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จนถูกดำเนินคดีนั้นมีจุดมุ่งหมายต่อระบอบของรัฐด้วย
และต้องยอมรับว่า ตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่จนมาเป็นพรรคก้าวไกล ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนเดียวกันของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมบนท้องถนนเพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการชุมนุมที่กล่าวหาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงหยาบคายนับตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ สมาชิกของพรรคก้าวไกลออกมาสนับสนุนคนเหล่านี้อย่างเปิดเผย ด้วยการแสดงตัวทั้งเข้าร่วมชุมนุม และเป็นนายประกันเมื่อคนเหล่านี้ถูกดำเนินคดี
การออกมาท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของคนหนุ่มสาวที่ลามไปเหมือนดอกเห็ดช่วงหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระเมตตาไม่ให้นำมาตรา 112 มาใช้ แต่กลายเป็นผลให้มีคนออกมาท้าทายบทบัญญัติของกฎหมายมาตรานี้มากขึ้น จนสุดท้ายรัฐบาลต้องนำกฎหมายมาตรา 112 มาบังคับใช้อีกครั้ง และทำให้มีคนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จำนวนมาก
มีแกนนำหลายคนที่ถูกดำเนินคดีคนละหลายคดีเช่น พริษฐ์ ชิวารักษ์ 24 คดี อานนท์ นำภา 14 คดี ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล 10 คดี ภาณุพงศ์ จาดนอก 9 คดี เบนจา อะปัญ 8 คดี ชินวัตร จันทร์กระจ่าง 7 คดี พรหมศร วีระธรรมจารี 5 คดี ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา, ชูเกียรติ แสงวงค์, วรรณวลี ธรรมสัตยา, เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ 4 คดี ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 3 คดี สมพล (นามสมมติ) 6 คดี
และวันนี้คนที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 หลายคนเป็น สส.ของพรรคก้าวไกล รวมถึงเจ้าของพรรคอย่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
เมื่อมีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 มากขึ้นและจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้เยาว์ ฝ่ายที่สนับสนุนการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นแนวร่วมของพรรคก้าวไกลต่างออกมากล่าวหาว่า รัฐบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 มากขึ้นทั้งที่ความจริงตัวเลขผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 มากขึ้นก็เพราะมีผู้ละเมิดกฎหมายมากขึ้นนั่นเอง ถ้าไม่มีผู้ละเมิดกฎหมาย มาตรา 112 ก็เป็นเพียงตัวอักษรที่ไม่สามารถไปทำร้ายใครได้
เช่นเดียวกับที่เรามีนักโทษในคดียาเสพติดมาก เราจะไปโทษว่าเพราะกฎหมายมีปัญหาไม่ได้ แต่มีผู้ถูกดำเนินคดียาเสพติดมากเพราะมีผู้กระทำผิดมากนั่นเอง ในกรณีความผิดตามมาตรา 112 ก็เช่นกัน
ในคดีตามมาตรา 112 ที่เกิดขึ้นในปี 2563 เป็นต้นมานั้นมีทั้งสิ้น 285 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีทั้งหมด 262 คน ถ้าเราติดตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาในช่วงดังกล่าว เราจะเห็นพวกเขากล่าวหาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย ซึ่งคงต้องบอกว่าแต่ละคนมีโอกาสน้อยมากที่จะพ้นผิดตามข้อกล่าวหาได้
แม้ปัจจุบันการพิจารณาคดีในมาตรา 112 ของศาลจะพิจารณาอย่างเที่ยงธรรม เห็นได้ว่า หากไม่มีความผิดที่ชัดเจนจริงๆ มีหลายคดีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง หรือไม่ศาลก็เมตตาให้รอลงอาญาเพราะเห็นแก่อนาคต เช่นกรณีของเบนจา อะปัญ ที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุก 3 ปี แต่ให้รอลงอาญา ดังนั้นจะกล่าวหาว่า ศาลไม่ให้ความยุติธรรมในคดีมาตรา 112 ไม่ได้เลย
พรรคก้าวไกลคงจะรู้ดีว่า คนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ถูกดำเนินคดีนั้นส่วนใหญ่ เพราะถูกปลูกฝังความเชื่อและแนวคิดมาจากฝ่ายที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น โดยเฉพาะคนสำคัญของพรรคก้าวไกลอย่างปิยบุตร แสงกนกกุล ที่แม้วันนี้จะไม่ใช่สมาชิกของพรรคก้าวไกลแต่ก็ต้องยอมรับว่าปิยบุตรที่ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ก่อนจะมาเป็นพรรคก้าวไกลเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด
การที่พรรคก้าวไกลเสนอให้มีการนิรโทษกรรมทางการเมือง แต่แอบแฝงให้มีการนิรโทษกรรมความผิดตามมาตรา 112 ด้วยนั้น ชัดเจนว่ามีความต้องการช่วยเหลือแนวร่วมมวลชนของพรรค สมาชิกของพรรค แกนนำของพรรคที่ถูกดำเนินคดีมากกว่าต้องการความปรองดองสมานฉันท์กลับคืนมาสู่สังคมไทย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะได้รับการเห็นพ้องจากทุกฝ่ายและยากมากที่จะผ่านการพิจารณาของสภาฯ
แต่พรรคก้าวไกลก็คงจะไม่ยอมถอดแนวคิดนี้ออกไป เพราะรู้ว่าจะสูญเสียความเชื่อมั่นต่อมวลชนของตัวเอง จะเป็นการไม่รับผิดชอบต่อการให้ท้ายคนที่ออกไปเคลื่อนไหวเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์บนท้องถนน เช่นกับที่หากพรรคก้าวไกลยอมถอยข้อเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกไป พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็อาจได้เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว แต่พรรคก้าวไกลก็ยอมถอยเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะเป็นจุดยืนของพรรค
ดังนั้นเมื่อความมุ่งหมายของพรรคก้าวไกลคือช่วยเหลือคนที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จึงเป็นไปไม่ได้ที่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกลจะผ่านสภาฯ ออกมาบังคับใช้ได้อย่างแน่นอน
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan