1.ตามคาด “อุ๊งอิ๊ง” นั่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ประกาศพา “เพื่อไทย” กลับมายืนหนึ่งในใจ ปชช.อีกครั้ง ยัน “ตายังคงดูดาว เท้ายังคงติดดิน”!
เมื่อวันที่ 27 ต.ค. พรรคเพื่อไทยได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2566 โดยมีวาระสำคัญคือการเลือกกรรมการบริหาร (กก.บห.) ชุดใหม่ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก
โดยที่ประชุมมีมติโหวตให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ สำหรับรองหัวหน้าพรรค ได้แก่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ และ รมช.คลัง, นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษา รมว.คมนาคม, น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด, นายโอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย สส.ชัยภูมิ และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.คลัง
ขณะที่นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว ได้เป็นเลขาธิการพรรค โดยมีรองเลขาพรรค ได้แก่ นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย, ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ และน.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ
ส่วนกรรมการบริหารพรรค ได้แก่ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม, นายวรวงศ์ วรปัญญา กรรมการบริหาร, นายพชร จันทรรวงทอง, นายนิกร โสมกลาง, นายธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล, นายจเด็ศ จันทรา, นายพลนชชา จักรเพ็ชร, นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ, นางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร ขณะที่นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ เป็นเหรัญญิกพรรค, นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช ที่ปรึกษา รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เป็นนายทะเบียนพรรค และนายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ เป็นโฆษกพรรค
หลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้แสดงวิสัยทัศน์ โดยขอบคุณสมาชิกเพื่อไทยที่มอบความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าพรรค และว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงการส่งต่อภารกิจ แต่เป็นการเชื่อมความเชื่อมั่นความศรัทธาของทุกคนเข้าด้วยกันอีกครั้ง เราผ่านอะไรมามาก เป็นพรรคที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และเป็นพรรคที่ถูกกระทำมากที่สุดเช่นกัน
ตนเติบโตมาในแวดวงการเมือง ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ขอบคุณนายทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้ได้เห็นถึงความตั้งใจ และอุดมการณ์ของท่าน ได้เรียนรู้ใกล้ชิดและเป็นแรงบันดาลใจของตนในการดำรงชีวิต รู้ดีภารกิจนี้ยิ่งใหญ่และสำคัญ โดยเฉพาะบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วทุกวันนี้ มั่นใจเรามีบุคลากรที่มีความสามารถมีประสบการณ์มาตั้งแต่ไทยรักไทยจนถึงปัจจุบัน
เราจะพัฒนาพรรคอย่างไม่หยุดยั้ง จากการเลือกตั้งที่ผ่านมาเราต้องเปลี่ยนวิธีคิด กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ต้องถอดบทเรียนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทำให้ดีขึ้นเพื่อนำพรรคเพื่อไทยกลับไปยืนในใจพี่น้องประชาชนในฐานะพรรคการเมืองอันดับหนึ่งอีกครั้งอย่างยั่งยืน
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ แสดงให้เห็นว่า การตัดสินใจตั้งรัฐบาลเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด เพราะมีหลายอย่างเกิดขึ้น มีการสร้างโอกาสให้ประชาชนและประเทศอย่างมากมาย มั่นใจ 4 ปีหลังจากนี้ จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นให้ประเทศอย่างแน่นอน เพื่อไทยจะยังสานต่อภารกิจยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
เรามีวันนี้ได้เพราะผู้ใหญ่ในพรรคที่ช่วยกันรดน้ำพรวนดินให้ต้นไม้ตนนี้แข็งแรงมั่นคง ตนมองได้ชัดขึ้น ไกลขึ้น ก็เพราะผู้ใหญ่ร่วมกันสร้างไว้ จากนี้อยากให้เพื่อไทยเป็นมากกว่าพรรคที่ให้โอกาส แต่สามารถขจัดความเสี่ยงในชีวิต ให้ประชาชนปลดล็อกศักยภาพเพื่อพัฒนาประเทศ ไม่ทิ้งดีเอ็นเอ เราจะทำนโยบายที่สัญญากับประชาชนให้เป็นจริงให้ได้ จะลบทุกคำสบประมาทด้วยผลงานที่ปฏิเสธไม่ได้ ดีเอ็นเอนี้จะอยู่กับ พท.ต่อไปและพัฒนาตามยุค
มี 4 ข้อสำคัญที่ กก.บห.ชุดใหม่ต้องทำคือ หนึ่ง การเปลี่ยนผ่านข้อมูลทั้งหมดไปสู่ระบบดิจิทัล เพื่อให้พรรคมีฐานข้อมูลในการพัฒนา สร้างองค์กรแนวราบ เพิ่มการมีส่วนร่วมของบุคลากร ทำให้องค์กรพรรคเพื่อไทย เป็นองค์กรแห่งความเรียนรู้ มีศูนย์ข้อมูลศูนย์วิจัย เพื่อพัฒนานโยบายได้ทันท่วงที ฝึกอบรมสมาชิกทุกระดับ ทั้งยุวสมาชิก และสมาชิกทั่วไปเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนในทุกมิติ และสร้างเครือข่ายครอบครัวเพื่อไทยให้เข็งแรง ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อรับฟังเสียงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ...
น.ส.แพทองธาร ยืนยันด้วยว่า “เราตายังคงดูดาว เท้ายังคงติดดิน ยืนหยัดอยู่ข้างประชาชนอย่างเข้มแข็งมั่นคง เพราะพรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน”
อนึ่ง วลีที่ว่า "ตาดูดาว เท้าติดดิน" ที่ น.ส.แพทองธารได้กล่าวนั้น มีความเป็นมายาวนานกว่า 20 ปี เป็นวลีประจำตัวของนายทักษิณ ชินวัตร ในยุครุ่งเรือง คือช่วงที่ขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีที่มาจากหนังสือ "ตาดูดาว เท้าติดดิน" ซึ่งเป็นประวัติของนายทักษิณ ตั้งแต่วัยเด็กจนประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจและก้าวสู่ถนนการเมือง
2.รวบ "ลูกเขยชาดา" เรียกรับสินบนผู้รับเหมาก่อสร้างประปาหมู่บ้าน 6 แสน ด้านเจ้าตัวลาออกนายกเทศมนตรีตำบลตลุกดู่แล้ว รอดนอนคุก หลังศาลให้ประกัน!
เมื่อวันที่ 24 ต.ค. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รรท.ผบก.ทล. ได้นำทีมตำรวจที่เกี่ยวข้อง และนายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. และ ปปช.นำกำลังเจ้าหน้าที่และชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมานกองปราบ” ลุยตรวจค้น 8 จุด ใน จ.อุทัยธานี เพื่อกวาดล้างจับกุมขบวนการเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับเงินสิบบนจากผู้ประกอบการทำโครงการก่อสร้างระบบประปา ในพื้นที่ ต.ตลุกดู่ อ.ทัพทัน และ ต.หาดทนง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
โดยสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ 5 ราย โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 3 รายประกอบด้วย 1.นายวีระชาติ รัศมี นายกเทศบาลตลุกดู่ 2.นายธนภัสสร์ ดุลยาธิการ ปลัดเทศบาลตลุกดู่ 3.นายกุลธัช สามัคคี ผู้ช่วยนายช่างโยธาเทศบาลตลุกดู่ ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ และ ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ส่วนผู้กระทำผิดที่ถูกจับอีก 2 ราย เป็นประชาชนทั่วไป คือ นายมานพ ติดติมานพ ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์โดยมิชอบ และสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และนายยิ่งยง คชาชาญ ตามความผิดซึ่งหน้า ในความผิดฐาน สนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์โดยมิชอบ และสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 6 แสนบาท
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายรายหนึ่ง ซึ่งประกอบกิจการรับเหมาทำบ่อน้ำประปารายหนึ่งว่า ก่อนหน้านี้ทางจังหวัดอุทัยธานีได้จัดทำโครงการก่อสร้างระบบท่อน้ำประปาในพื้นที่ ต.ตะลุกดู่ และ ต.หาดทะนง โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการต่างๆ ได้ยื่นสิทธิ์ในการประมูลผ่านรูปแบบของ e–bidding หรือวิธีประกวดราคาผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้เสียหายจึงสนใจยื่นสิทธิ์เข้าร่วมการประมูลทั้ง 2 แห่ง
ต่อมา หลังจากยื่นสิทธิ์เข้าร่วมประมูลได้ไม่นาน ได้มีบุคคลปริศนาโทรศัพท์มาข่มขู่ให้ถอนตัว อ้างว่ามีผู้ใหญ่อยากได้โครงการนี้ไปทำ พร้อมเสนอเงินหลายหมื่นบาท เป็นค่าชดเชยหรือค่าเสียเวลาให้ แต่ทางผู้เสียหายไม่สนใจ จึงตอบปฏิเสธกลับไป พร้อมกับยื่นประมูลตามเดิมจนชนะการประมูลได้รับงานทั้ง 2 โครงการถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม หลังจากชนะการประมูลได้รับงานก่อสร้างทั้ง 2 โครงการแล้วนั้น ผู้เสียหายกลับไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ เนื่องจากมีกลุ่มอิทธิพลมืดทำการล็อบบี้สั่งห้ามร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง แคมป์ปูนซีเมนต์ทุกแห่งในพื้นที่ จ.อุทัยธานี ขายปูนหรืออุปกรณ์ที่ให้กับผู้เสียหาย จนเกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในการก่อสร้าง ไม่สามารถดำเนินงานจัดสร้างได้ตามแผนที่วางไว้
กระทั่งประมาณเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา นายวีระชาติได้เรียกผู้เสียหายมาเข้าพบจำนวน 3 ครั้ง ก่อนยื่นข้อเสนอให้ผู้เสียหาย ยอมจ่ายเงินจำนวน 1 ล้านบาท เพื่อที่จะสามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการทั้ง 2 แห่งได้อย่างปกติ ก่อนจะมีการเจรจาต่อรองเหลือ 6 แสนบาท โดยนัดหมายส่งมอบเงินกันในวันนี้ ที่บริเวณด้านหน้าธนาคาร ธกส. สาขา อ.เมือง จ.อุทัย จึงวางแผนกระจายกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งเมื่อถึงเวลานัดหมาย มีนายมานพและนายยิ่งยงเป็นผู้เดินทางมารับเงิน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุม ก่อนนำกำลังขยายผลตามจับกุมตัวนายวีระชาติ และ พวกอีก 2 ราย พร้อมเข้าตรวจค้นบ้านพักของกลุ่มผู้ต้องหาได้ดังกล่าว
สำหรับนายวีระชาตินั้น เป็นลูกเขยของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยเป็นสามีของ น.ส.อัลฑริกา ไทยเศรษฐ์ บุตรสาวคนที่ 4 ของ นายชาดา
วันต่อมา (25 ต.ค. 66) นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี เผยถึงกรณีนายวีระชาติ รัศมี นายกเทศมนตรีตำบลตลุกดู่ ถูกจับกุมฐานเรียกรับสินบนโครงการก่อสร้างระบบน้ำประปาว่า เบื้องต้นนายวีระชาติได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีตลุกดู่ไปแล้ว โดยมีผลทันที เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และเพื่อให้ทางเทศบาลตำบลตลุกดู่สามารถดำเนินการบริหารจัดการงานภายในต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง และจะมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ตามกฎหมายต่อไป
วันเดียวกัน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รรท.ผบก.ทล. เผยความคืบหน้าคดีจับกุมนายวีระชาติ ลูกเขยของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมพวกว่า ได้มีการพูดคุยกับนายชาดา ซึ่งได้บอกกับตนว่า ให้ทำทุกอย่างไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และรับปากว่าจะไม่ให้ตัวผู้ก่อเหตุเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัดอย่างกระทรวงมหาดไทยว่า อยากให้รับลูกต่อจาก บก.ปปป. เพราะหลังจากที่มีการจับกุมเจ้าที่รัฐที่มีการทุจริต อยากให้มีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยขาดจากตำแหน่งเดิมจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เพื่อป้องกันไม่ให้ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานต่างๆ “ขอฝากไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองท้องถิ่นที่มีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันให้หยุดการกระทำนั้นเสีย หากวันใดที่ ตำรวจ ปปป. ไปหาท่านถึงที่ นั่นหมายความว่าเรามีหลักฐานพร้อมดำเนินคดีแล้ว”
ด้านนายชาดา กล่าวว่า “วานนี้ (24 ต.ค.) ลูกเขยผมหลังจากได้รับการประกันตัว ผมได้คุย และเขาขอโทษ ผมบอกว่าไม่ต้องพูดอะไร แต่สิ่งที่คุณต้องทำ คือ คุณต้องลาออกจากการเป็นนายกเทศมนตรี เพื่อให้จังหวัดจัดการเลือกตั้ง ถ้าไม่ทำแบบนี้ การรอพักการปฏิบัติหน้าที่จนคดีเสร็จเป็นการเอาเปรียบและปล่อยทิ้งพี่น้องประชาชน”
3. จับผู้ร่วมขบวนการพา "เสี่ยแป้ง" หลบหนี 6 คนแล้ว ด้านกรมราชทัณฑ์เพิ่มรางวัลนำจับเสี่ยแป้ง จาก 1 แสน เป็น 1 ล้าน!
เมื่อวันที่ 22 ต.ค. กรมราชทัณฑ์ เผยว่า ได้รับรายงานจากเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชว่า มีนักโทษหลบหนีการควบคุม คือ นายเชาวลิต ทองด้วง อายุ 37 ปี คดีความผิดคดีปล้นทรัพย์ ความผิดต่อเสรีภาพ พ.ร.บ.อาวุธปืน กำหนดโทษรวม 21 ปี 3 เดือน 25 วัน และจะพ้นโทษในวันที่ 6 พ.ค. 2586 ซึ่งนายเชาวลิตถูกย้ายพฤติการณ์มาจากเรือนจำกลางพัทลุงเมื่อวันที่ 7 ส.ค.66 เนื่องจากเป็นผู้มีอิทธิพล
โดยเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้ถูกส่งออกไปรักษาทางทันตกรรมที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช แต่มีอาการวูบหมดสติและขาอ่อนแรง จึงแอดมิทที่โรงพยาบาลฯ และหลังจากนั้นได้หลบหนีไปช่วงดึกวันที่ 21 ต.ค.
สำหรับประวัตินายเชาวลิต ทองด้วง อายุ 37 ปี หรือ “เสี่ยแป้ง นาโหนด” เป็นชาวตำบลท่าแค อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง มีอาชีพเปิดอู่ซ่อมรถอยู่ในพื้นที่ตำบลท่าแค ซึ่งเป็นอู่ซ่อมรถชื่อดังที่คนพัทลุงรู้จักกันดี และนับเป็นคนดังคนหนึ่ง มีประวัติทั้งลงเล่นการเมืองท้องถิ่น และในทางนักเลง
โดยนิสัยใจคอของเสี่ยแป้ง เป็นคนพูดเพราะ แม้กับลูกน้องก็พูดจาดี ไม่ก้าวร้าว แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ลูกน้องส่วนใหญ่ของเสี่ยแป้งมักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และอาวุธปืน จนมีคดีความอยู่หลายคดี
ทั้งนี้ เสี่ยแป้งเคยลงสมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง เมื่อปี 2562 แต่สอบตก และมีข้อมูลด้วยว่า เสี่ยแป้งเตรียมเงินทุนจำนวนมาก เพื่อจะลงสมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงด้วย
นอกจากนี้เมื่อย้อนดูประวัติอาชญากรรมของเสี่ยแป้ง พบว่า มีคดีความในชั้นศาลอยู่หลายคดี แต่คดีที่ทำให้เสี่ยแป้งถูกตัดสินจำคุก 20 ปี 6 เดือน คือคดีที่ร่วมกับพวกเข้าปล้นผู้ต้องหาจากตำรวจสืบสวน กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 ขณะจับกุมคดียาเสพติด และยังมีคดีเกี่ยวกับยาเสพติด คดีอาวุธปืน และคดีความรุนแรงอีก 11 คดี
โดยปี 2550 มี 2 คดี คือ เดือน ม.ค. ก่อเหตุฆ่าผู้อื่น ฆ่าตำรวจ เหตุเกิด สภ.เมืองพัทลุง และเดือน ธ.ค. คดีครอบครองอาวุธปืนไม่มีทะเบียน ปี 2551 มี 2 คดี เดือน เม.ย. คดีพยายามฆ่า เหตุเกิดพื้นที่ สภ.เมืองพัทลุง ไม่กี่วันถัดมา ก็ก่อเหตุพยายามฆ่าผู้อื่น ในพื้นที่ สภ.เมืองพัทลุงอีก ปี 2552 เดือน ก.พ. คดีพกพาอาวุธปืน กระสุนปืน วัตถุระเบิด และเดือน มี.ค. คดีบุกรุกในเวลากลางคืน เหตุเกิดพื้นที่ สภ.เมืองพัทลุง ปี 2554 เดือน ต.ค. คดี พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เหตุเกิดพื้นที่ สถ.เมืองพัทลุง ปี 2559 คดีฆ่าผู้อื่น เหตุเกิด สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ปี 2560 เดือน พ.ย. คดีฆ่าผู้อื่น เหตุเกิด สภ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ปี 2562 เดือน ก.ย. คดีพยายามฆ่าตำรวจ ภาค 8 เหตุเกิด สภ.นาขยาด จ.พัทลุง และคดีพยายามฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าตำรวจทางหลวงพัทลุง เหตุเกิด สภ.เมืองพัทลุง
นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลอีกว่า เจ้าหน้าที่ ป.ป.ง.ได้เข้าอายัดทรัพย์สินของเสี่ยแป้งที่นำไปฝากไว้กับพี่สาว ที่จังหวัดสงขลา มูลค่าสูงถึง 150 ล้านบาทด้วย
ทั้งนี้ ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับเสี่ยงแป้ง ฐานหลบหนีการคุมขัง นอกจากนี้ยังขอศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ต้องขังหลบหนีด้วย
ด้านกรมราชทัณฑ์ ได้สั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องการนำตัวนายเชาวลิตออกนอกเรือนจำ จนมีการก่อเหตุหลบหนี "ข้อสังเกตคือผู้รับหน้าที่ดูแลนายเชาวลิต มีอยู่ด้วยกัน 3 คน 1 คน ได้แจ้งให้อีก 2 คนไม่ต้องมาเข้าเวรในช่วงกลางวัน แต่ให้มารับเวรช่วงหลังเที่ยงคืน และในช่วงกลางวัน นางสาววิลาวัลย์ หรือไหม ผู้รับจ้างเฝ้าไข้นายเชาวลิต ยืนยันว่า มีการเปลี่ยนโซ่ข้อเท้าให้นายเชาวลิต หลังจากคืนก่อนหน้านายเชาวลิตได้พยายามตัดโซ่แล้วแต่ไม่สำเร็จ จึงมีการเรียกร้องให้เปลี่ยน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มาเปลี่ยนให้กลางวัน จนกระทั่งตกดึกมีการเปลี่ยนเวรใหม่เพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมง เหตุการณ์จึงเกิดขึ้น ประเด็นอยู่ที่ว่ามีการเปลี่ยนโซ่ด้วยสาเหตุใด เพื่อเอื้อให้มีการไขหลบหนีไปได้โดยง่ายหรือไม่ เป็นเรื่องที่กรมราชทัณฑ์จะต้องสอบละเอียด เกลือเป็นหนอนหรือไม่ ผู้คุม 2 คนในช่วงเกิดเหตุเป็นแพะรับบาปหรือไม่ เชื่อว่าสอบลึกๆ แล้วจะเจอปมบางอย่าง"
นอกจากนั้น กรรมการสอบข้อเท็จจริงของราชทัณฑ์จะต้องสอบแพทย์ และผู้เกี่ยวข้องที่ รพ.มหาราชฯ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ว่า ในวันที่ 20 เจ้าหน้าที่ได้โทรศัพท์แจ้งเลื่อนนัดไปยังเรือนจำแล้วใช่หรือไม่ และเมื่อแจ้งเลื่อนนัดแล้ว เหตุใดจึงยังพาตัวนายเชาวลิตออกมาได้อีก ใครเป็นผู้สั่งการให้นำออกมา ใครเป็นผู้ควบคุม...
ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่เร่งรัดติดตามจับกุมเสี่ยแป้ง พร้อมตั้งรางวัลนำจับ 1 แสนบาท หากผู้ใดพบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช 075-803905 หรือ 096-6411495 ล่าสุด กรมราชทัณฑ์ ได้เพิ่มรางวัลนำจับ "เสี่ยแป้ง จาก 1 แสนบาท เป็นเงิน 1 ล้านบาทแล้ว
ต่อมา 24 ต.ค. นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้มีคำสั่งให้นายณรงค์ หนูคง ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช, นายพูชนะ หิรัญรัตน์ ผอ.ส่วนควบคุมของเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และผู้คุมรับหน้าที่เฝ้าไข้ 2 นาย รวมจำนวน 4 ราย มาปฏิบัติหน้าที่ประจำกรมราชทัณฑ์ ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมอบหมายให้ ผบ.เรือนจำกลางสุราษฎร์ธานี มาปฎิบัติหน้าที่แทนเพื่อให้การบริหารงานเรือนจำมีความต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์จะเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จ โดยเร่งด่วน หากพบว่าเจ้าหน้าที่คนใดกระทำผิดจริง หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวจะดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาขั้นเด็ดขาด
สำหรับคดีนี้ช่วงแรกศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ออกหมายจับผู้ต้องหา 7 คน ประกอบด้วย นายจักรี หรือบิ๊ก, นายจีรวุฒิ หรือปอย ,น.ส.วิลาวัลย์ หรือไหม, น.ส.ยุวเรศ หรือหมวย, นายคเนศ หรือบอย อายุ 28 ปี, น.ส.วิลาวัลย์ หรือทราย, เสี่ยแป้ง
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทยอยถูกจับอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ตำรวจจับผู้ต้องหา 2 คนแรกได้ คือ น.ส.วิลาวัลย์ หรือไหม และ น.ส.ยุวเรศ หรือหมวย 2 คนนี้ทำหน้าที่นกต่อ และออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 1 คนรวม มีผู้ต้องหา 6 คน ถัดมาอีก 2 วัน วันที่ 27 ตุลาคม ตำรวจตามจับผู้ต้องหาได้อีก 2 คน คนแรก คือนาย คเนศ หรือบอย โดยสามารถจับได้ที่อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขา ขณะพาแฟนไปดูหนังเรื่อง "สัปเหร่อ" ซึ่งนายคเนศ ทำหน้าที่ส่งกุญแจผีปลดโซ่ตรวนอาวุธปืนและซิมโทรศัพท์ ให้เสี่ยแป้งถึงเตียงคนไข้ จนเสี่ยแป้งหนีออกมาได้วันที่ 22 ตุลาคม
คนที่สองที่จับได้ในวันที่ 27 ตุลาคม คือ น.ส.วิลาวัลย์ หรือทราย เป็นภรรยาของนายจักกรีหรือ บิ๊ก คนพาเสี่ยแป้งหลบหนี โดย น.ส.ทรายมีหน้าที่ โอนเงินให้บุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการหนี ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 คน คือ นายจักรี หรือบิ๊ก และนายจีรวุฒิ หรือปอย ก็จับได้ในเวลาต่อมา ทำให้ล่าสุด เหลือเพียงเสี่ยแป้งที่ยังคงหลบหนี
ล่าสุด ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ออกหมายจับผู้จ้องหาในคดีนี้อีก 1 ราย คือ นายสุทิวัส ขุนณรงค์ อายุ 28 ปี หรือ “หนอน ทุ่งลาน” อยู่บ้านเลขที่ 112/1 หมู่ 15 ต.ตำนาน อ.เมืองพัทลุง ตำรวจได้ตรวจค้นบ้านพัก และพื้นที่ต้องสงสัย แต่ยังไม่พบตัวผู้ต้องหาแต่อย่างใด
4. อนุกรรมการฯ เตรียมชงนายกฯ 3 แนวทางเคาะหลักเกณฑ์แจกเงินดิจิทัลฯ 1 หมื่น ตัดสิทธิคนรวยหรือไม่ ด้าน ป.ป.ช.ตั้ง คกก.ศึกษา ป้องกันทุจริต ตั้ง "สุภา" เป็นประธาน!
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เผยภายหลังประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 2 ว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปกรณีรัศมีการใช้ดิจิทัล วอลเล็ต ใช้ได้ภายในอำเภอ จากเดิมกำหนดให้ใช้ในรัศมี 4 กม. เนื่องจากเป็นพื้นที่ไม่ใหญ่เกินไป มีร้านค้าเพียงพอรองรับการใช้จ่าย
และว่า ที่ประชุมยังมีความเห็นแตกต่างในเงื่อนไขอีกหลายประเด็น ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เช่น กลุ่มที่จะได้รับสิทธิ์ โดยมาตรการนี้ มีข้อเสนอเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยส่วนหนึ่งตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องการคนมาเข้าร่วมจำนวนมาก ในขณะที่อีกส่วนเสนอให้เอากลุ่มคนรวยออก เพราะคนรวยจะไม่นำเงินส่วนนี้ไปใช้ในลักษณะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จะนำเงินไปออม ดังนั้นคณะทำงานต้องหาคำจำกัดความ
ทั้งนี้ จะมีการให้คณะกรรมการตัดสินใจ 3 ทางเลือกด้วยกัน คือ 1. ให้สิทธิ์เฉพาะผู้ยากไร้ ที่มีอยู่ราว 15-16 ล้านคน โดยใช้ฐานข้อมูลจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้งบประมาณราว 1.5 แสนล้านบาท 2. ตัดกลุ่มผู้มีเงินเดือนเกิน 25,000 บาท และ/หรือ มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 แสนบาทออก เหลือผู้ได้สิทธิ์ 43 ล้านคน ใช้งบประมาณราว 4.3 แสนล้านบาท 3. ตัดกลุ่มผู้มีเงินเดือนเกิน 50,000 บาท และ/หรือ มีบัญชีเงินฝากเกิน 5 แสนบาทออก เหลือผู้ได้สิทธิ์ 49 ล้านคน ใช้งบประมาณราว 4.9 แสนล้านบาท
"เมื่อมีความเห็นต่าง เป็นหน้าที่คณะกรรมการชุดใหญ่ตัดสินใจ คณะอนุกรรมการจะไปดูแต่ละกลุ่มครอบคลุมเท่าไหร่ และเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ตัดสินใจรายละเอียด"
นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า อนุกรรมการฯ เป็นเพียงผู้รวบรวมและนำเสนอแนวทาง เพื่อนำเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาภายในสัปดาห์หน้า
สำหรับประเด็นของแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินการนั้น ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงในหลายแนวทาง ทั้งการกู้เงิน ใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือกลไกอื่น เช่น มาตรการกึ่งการคลัง
ในส่วนของการกู้เงินเพื่อมาใช้ในโครงการนั้น จะบรรจุในแนวทางที่จะเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาด้วยเช่นกัน แต่ยืนยันว่าจะเป็นทางเลือกท้าย ๆ เช่นเดียวกับการใช้มาตรการกึ่งการคลัง ผ่านมาตรา 28 พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง โดยยืนยันไม่ใช้เงินจากธนาคารออมสิน เพราะติดปัญหาด้านกฎหมาย
สำหรับการยืนยันตัวตน เป็นไปตามสิทธิ์ ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดา นิติบุคคล กองทุนหมู่บ้าน และวิสาหกิจชุมชน ใช้จ่ายได้ประเภทสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ส่วนระบบการขึ้นเงินได้ร้านค้าระบบภาษี 3 ประเภท ทั้งร้านค้าในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT เงินได้นิติบุคคล และบุคคธรรมดา
นอกจากนี้ นายจุลพันธุ์ ยังยอมรับว่า แนวโน้มการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท น่าจะดีเลย์ในระดับหนึ่ง จากเดิมกำหนดวันที่ 1 ก.พ.2567 แต่มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น ในเรื่องความปลอดภัย กระบวนการทดสอบระบบก็มากขึ้น ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่นั้นขอพิจารณาก่อน
ด้านนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เผยว่า จากการที่คณะกรรมการเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต ได้พิจารณารายงานการเฝ้าระวังการทุจริตนโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต จึงนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา และที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษา และดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ในการจัดทำมาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ โดยณะกรรมการฯ มีจำนวน 31 คน มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานกรรมการ
ด้านนายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือต่อ กกต. เมื่อวันที่ 27 ต.ค. เพื่อทวงถามการพิจารณาอนุมัติให้พรรคการเมืองสามารถนำนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่น รวมถึงเงินสวัสดิการผู้สูงอายุเดือนละ 3,000 บาท เพื่อไปหาเสียงได้ แต่ปฏิบัติจริงไม่ได้ เป็นการขัดมาตรา 57 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และรัฐธรรมนูญมาตรา 258(3) หรือไม่
ซึ่งตนจะนำเรื่องไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้พิจารณาว่าการที่พรรคการเมืองมายื่นนโยบายหาเสียง และ กกต.พิจารณาอนุญาต แต่เมื่อพรรคการเมืองทำไม่ได้ กกต.จะต้องรับผิดชอบในการวินิจฉัยอย่างไร ส่วนพรรคการเมืองจะต้องรับผิดชอบในการดูแลประชาชน และการเลือกตั้งครั้งต่อไป
5. "เบนซ์ เรซซิ่ง" ออกจากคุกแล้ว หลังศาลฎีกาพิพากษาแก้ยกฟ้องข้อหาสมคบค้ายาเสพติด ผิดแค่ข้อหาฟอกเงินฯ ติดคุกครบโทษ 3 ปี 4 เดือนแล้ว!
เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง อายุ 36 ปี อดีตสามีแพท ณปภา ตันตระกูล นักแสดงและพิธีกรสาวชื่อดัง นายสรรเสริญ รสานนท์ หรือเน็ต อายุ 41 ปี ชาว จ.นนทบุรี และ น.ส.อังสุพร อินา หรืออุ้ม อายุ 35 ปี ชาว จ.น่าน สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-3
ในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ, ฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 4, 6, 10, 14 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 ซึ่งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธโดยตลอด ส่วนจำเลยที่ 2-3 ให้การรับสารภาพผิดฐานฟอกเงินเท่านั้น
คดีนี้ โจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 พ.ค.2560 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อต้นเดือน พ.ย.2559-2 ก.พ.2560 จำเลยทั้งสามกับนายณัฐพล หรือบอย นาคคำ จำเลยคดีค้ายาเสพติดกับพวกที่หลบหนี ได้ร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำในการเป็นผู้จัดหา ครอบครอง เก็บรักษา ลำเลียงยา หาลูกค้าและเป็นเครือข่ายการรับยาเสพติด รวมทั้งจัดการด้านการเงินที่เกี่ยวข้องที่นายณัฐพล หรือบอย กับพวกเป็นผู้จัดหายาเสพติดและเป็นผู้ประสานงานในการขนถ่ายลำเลียง
ซึ่งวันที่ 26 พ.ย.59 เจ้าพนักงานได้จับกุม พร้อมของกลางยาบ้า 140,000 เม็ด และยาไอซ์ชนิดเกล็ดสีขาว น้ำหนัก 19 กก.เศษ โดยนายณัฐพล หรือบอย นาคคำ ได้โอนเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด เข้าบัญชีนายอัครกิตติ์, นายสรรเสริญ และ น.ส.อังสุพร รวม 53 ครั้ง เป็นเงิน 11,072,547 บาท ซึ่งนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ไปซื้อรถลัมโบร์กินี และรถจักรยานยนต์ราคาแพงด้วย
ต่อมา ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2561 ให้จำคุกนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 ปี ฐานร่วมกันฟอกเงิน และให้ยกฟ้องข้อหาสนับสนุนหรือช่วยเหลือหรือสมคบกันค้ายาเสพติด ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และ พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปรามยาเสพติดฯ ส่วนจำเลยที่ 2-3 มีความผิดฐานร่วมกันสนับสนุนหรือช่วยเหลือ หรือสมคบค้ายาเสพติด และฐานร่วมกันฟอกเงิน ให้จำคุกคนละ 8 ปี, ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกฐานฟอกเงินคนละ 4 ปี และฐานสมคบกันทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้จำคุกอีกคนละ 20 ปี ปรับคนละ 400,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2-3 คนละ 24 ปี ปรับคนละ 4 แสนบาท จำเลยยื่นอุทธรณ์
ด้านศาลอุทธรณ์พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาแก้ให้เพิ่มโทษนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานสนับสนุนช่วยเหลือ หรือสมคบค้ายาเสพติด และฐานฟอกเงิน จำคุกรวม 36 ปี 8 เดือน ปรับ 3,333,333.33 บาท ส่วนจำเลยที่ 2-3 ปี เหลือจำคุก คนละ 22 ปี 6 เดือน ปรับคนละ 4 แสนบาท ทั้งนี้ นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฎีกาเพียงคนเดียว
โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า คดีนี้แม้พยานโจทก์จะมีรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพิดและเจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงาน ป.ป.ง.เบิกความทำนองเดียวกันว่า นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมรู้เห็นและเป็นผู้สนับสนุนการค้ายาเสพติดของกลาง แต่จำเลยคนอื่นในคดีนี้ไม่ได้เบิกความอ้างถึงว่า นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดตามที่อัยการโจทก์ฟ้องในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ฯ นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น พิพากษายกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
รายงานแจ้งว่า นายอัครกิตติ์ หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง มีความผิดเฉพาะข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งศาลอุทธรณ์จำคุก 3 ปี 4 เดือน โดยนายอัครกิตติ์ ติดคุกมาแล้ว 4 ปีเศษ ดังนั้นจึงได้รับการปล่อยตัวที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางในวันดังกล่าว
นายอัครกิตติ์ กล่าวว่า ตลอด 6 ปีที่ต่อสู้คดีมา ตนเสียเงินและเวลา แต่อยู่ได้ด้วยความหวังว่าจะชนะคดีและได้ประกันตัว ซ้ำยังเสียเงินกับคนไม่หวังดีที่เข้ามา นอกจากนี้ ยังเสียความน่าเชื่อถือ หลังมีข่าวไปคบค้าสมาคมผู้ค้ายาเสพติด ตนไม่อาจเปลี่ยนใจใครได้ ขณะนี้ศาลยกฟ้องแล้ว ก็ขอให้เคารพคำตัดสินของศาลด้วย พร้อมกันนี้ ต้องถามว่า จะมีหน่วยงานใดมาชดใช้สิ่งที่ตนสูญเสียไป ทั้งโอกาสในการเลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียว ที่ตนไม่ได้สอนให้เรียกพ่อ สอนให้วิ่งให้เดินและปั่นจักรยาน ทั้งหมดนี้ตีมูลค่าและย้อนเวลากลับไปไม่ได้ หลังจากนี้จะปรึกษาทนายว่าจะทำเรื่องรับเงินชดเชยเยียวยาอย่างไร ส่วนจะฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐกลับหรือไม่ ยังให้คำตอบไม่ได้