xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 1-7 ต.ค.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.สลด! เด็กวัย 14 ก่อเหตุกราดยิงในห้างสยามพารากอน ตาย 2 เจ็บ 5 ทั้งไทย-ต่างชาติ ตร.ตั้ง 5 ข้อหา เจ้าตัวอ้างหูแว่ว ส่งประเมินอาการทางจิตก่อน!

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดภายในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อเด็กชายวัย 14 ปี ได้ก่อเหตุกราดยิงในห้าง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย โดยมีทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยเหตุการณ์เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 15.35 น. ที่ผู้ก่อเหตุเดินเข้าห้างสยามพารากอน ทาง BTS Link ชั้น M 15.35 น. ผู้ก่อเหตุเดินบนชั้น 1 และลงกลับมาชั้น M Star Dome 15.40 น. เดินบริเวณฝั่งศูนย์การค้าชั้น M ยังสะพายกระเป๋าเป้อยู่

15.42 น. เดินเข้าห้องน้ำชั้น M ข้างร้านแบรนด์เนม (จุดเริ่มเกิดเหตุ) 16.10 น. เริ่มยิงในห้องน้ำ และหน้าห้องน้ำจีเวล ชั้น M 16.11 น. เดินออกจากห้องน้ำ เริ่มยิงบริเวณฝั่งศูนย์การค้าและฝั่งห้างสรรพสินค้า ชั้น M 16.25 น. ยิงบริเวณชั้น 2 Void North 16.28 น. เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 3 เริ่มยิงต่อ 16.50 น. เริ่มมีรถฉุกเฉินคันแรกออกไปส่งคนเจ็บ 17.10 น. ควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้บริเวณชั้น 3 ภายในร้านค้า 18.32 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวผู้ก่อเหตุขึ้นรถตู้ไปยัง สน.ปทุมวัน

สำหรับรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงดังกล่าว 2 ศพ ประกอบด้วย น.ส.จ้าว จินหนาน อายุ 34 ปี นักท่องเที่ยวชาวจีน และ น.ส.เมา เมจิน ชาวเมียนมา เสียชีวิตที่ รพ.ตำรวจ พบบาดแผลถูกยิงที่คอ 1 นัด และแผ่นหลัง 2 นัด

ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน รักษาตัวที่ รพ.จุฬาฯ 3 คน ประกอบด้วย นายวิเชียร วิจิขากี อายุ 41 ปี น.ส.เพ็ญพิวรรณ มิตรธรรมพิทักษ์ อายุ 30 ปี ถูกยิงบริเวณศีรษะสาหัส ไม่รู้สึกตัว น.ส.ลิช่า อายุ 40 ปี ชาวจีน อาการปลอดภัย นอกจากนี้มีหญิงไทย 1 คน ชื่อนางอัญภัทร ทิพย์จิระสกุล อายุราว 50 ปี ถูกยิงบริเวณไหล่ซ้าย รักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ ส่วน น.ส.คำ พูอี อายุ 28 ปี ชาว สปป.ลาว ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกยิงใต้รักแร้ 1 นัด หัวไหล่ 1 นัด และมีบาดแผลที่คอ รักษาตัวอยู่ที่ รพ.กรุงเทพคริสเตียน

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับไว้ผู้บาดเจ็บจากเหตุกราดยิงเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์

ด้านห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และขอให้ผู้บาดเจ็บทุกท่านปลอดภัย พร้อมทั้งขอบคุณตำรวจ และอาสาสมัครทุกนาย และทีมรักษาความปลอดภัยของสยามพารากอนที่ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่เข้ายุติสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มกำลัง

ทั้งนี้ ระหว่างสอบปากคำ ผู้ก่อเหตุหลังถูกจับกุม พูดเพียงแค่ว่า “พี่มันอยู่โน่น” ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพยายามพูดคุยให้ใจเย็นลงโดยระบุว่าปลอดภัยแล้ว รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ก่อเหตุอ้างว่า เกิดอาการหูแว่ว มีคนสั่งให้ทำ จึงก่อเหตุกราดยิงดังกล่าว เบื้องต้น พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ชุดสืบสวนตรวจสอบบ้านที่พักอาศัย สืบค้นประวัติย้อนหลัง โดยเฉพาะประวัติอาการทางจิต

มีรายงานว่า ในโทรศัพท์ของผู้ก่อเหตุพบคลิปวิดีโอบันทึกภาพการซ้อมการเปลี่ยนแมกกาซีน บรรจุกระสุนปืนเก็บไว้ที่คลังภาพ และก่อนจะเข้ามาก่อเหตุในห้าง เจ้าตัวยังได้ส่งภาพแมกกาซีนบรรจุกระสุนไปให้เพื่อนในแชต ก่อนที่จะเข้ามาก่อเหตุในห้างดังกล่าว

เป็นที่น่าสังเกตว่า จากการสอบสวนพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ เบื้องต้นทราบว่าเจ้าตัวเป็นเด็กติดเกมลักษณะต่อสู้ใช้อาวุธปืนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ก่อนก่อเหตุ ยังพบว่า มีการไปซ้อมยิงปืนในสนามยิงปืนมาแล้วหลายครั้ง

ด้าน พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง ผบก.น.9 ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้ก่อเหตุภายในซอยเพชรเกษม 88/1 แขวงบางแคเหนือ พบปืนบีบีกันแบบ M4 กระสุนปืน M16 กระสุนปืนลูกซอง และกระสุนปืนขนาด 9 มม. เพิ่มเติมจำนวนหนึ่งในห้องนอนของผู้ก่อเหตุ จากการสอบสวนบิดา-มารดาของผู้ก่อเหตุ ยังไม่ทราบว่า ของกลางทั้งหมดบุตรชายนำมาจากที่ใด เนื่องจากตามปกติบุตรชายพักอาศัยหลับนอนอยู่ที่บ้านพักอีกแห่งหนึ่งย่านสาทร

ด้าน พลตำรวจตรี นครินทร์ สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 เผย (4 ต.ค.) ความคืบหน้ากราดยิงว่า เบื้องต้นได้ดำเนินคดีกับเยาวชนผู้ก่อเหตุทั้งหมด 5 ข้อหา ได้แก่ ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้, ก่อนพยายามฆ่า, มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และยิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นๆ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาพยานหลักฐานเพิ่มเติม รวมถึงอยู่ระหว่างสอบสวนว่าผู้ปกครองจะเข้าข่ายมีความผิด ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ด้วยหรือไม่

ทั้งนี้ วันเดียวกัน พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ได้นำผู้ก่อเหตุไปแสดงตัวต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พร้อมขอส่งตัวผู้ต้องหาไปให้แพทย์จิตเวชสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เพื่อรักษาจนกว่าผู้ต้องหาจะสามารถต่อสู้คดีได้ อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้นำแพทย์ผู้ทำความเห็นมาให้ศาลได้สอบถาม หรือไต่สวนให้ฟังได้ว่า ผู้ต้องหามีอาการป่วยทางจิตจริง จึงยังไม่ยุติว่า ผู้ต้องหามีอาการป่วยทางจิตเวช และเนื่องจากการกระทำของผู้ต้องหาอาจเป็นภัยร้ายแรงต่อผู้อื่น จึงเห็นควรส่งตัวไปควบคุมไว้ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และให้สถานพินิจฯ ดำเนินการตรวจสอบสภาพจิตใจของผู้ต้องหา

ต่อมา น.ส.ศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เผยว่า กรมพินิจฯ มีนักจิตวิทยาประเมินอาการสุขภาพจิตเบื้องต้น และด้วยความที่เคสนี้เป็นเคสที่ผู้ก่อเหตุอายุน้อย และเป็นคดีที่มีความน่าตกใจ จึงได้มีการประสานสถาบันกัลยาณ์ฯ ซึ่งทางสถาบันฯ จะมีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นเฉพาะทาง เราจึงส่งตัวให้ประเมินอีกครั้งตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 5 ต.ค. โดยตอนนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ระหว่างการประเมิน ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาแต่อย่างใด

สำหรับการดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับคนขายอาวุธปืนดัดแปลงและแม็กกาซีนให้เด็กชายวัย 14 ก่อนนำไปก่อเหตุกราดยิงที่ห้างสยามพารากอน ทราบชื่อคือ นายสุวรรณหงษ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี และ นายอัครวิชญ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี สองพ่อลูกที่ขายอาวุธปืนให้ผู้ก่อเหตุ จาก อ.เมือง จ.ยะลา รวมถึงนายปิยะบุตร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ผู้ขายและส่งกระสุนปืนให้ผู้ก่อเหตุครั้งแรก ก่อนที่ตำรวจจะคุมตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติม

ด้าน พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.น.6 เผย เตรียมเชิญครูฝึกสนามยิงปืนหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เข้าให้ปากคำ กรณีปรากฏคลิปเป็นผู้ควบคุมดูแลเยาวชนผู้ก่อเหตุ ขณะซ้อมยิงในสนาม ว่าผู้ต้องหาไปยิงปืนไปกับใคร ไปเมื่อไหร่ มีการใช้ปืนที่ให้เช่าประจำสนาม หรือนำอาวุธปืน ของใครไปยิง

เป็นที่น่าสังเกตว่า สังคมตั้งคำถามกันมากว่า เหตุใดพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กที่กราดยิง ไม่ออกมาขอโทษหรือแสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งปรากฏว่า ภายหลัง เหตุศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ กระทรวงการต่างประเทศ ได้เผยแพร่ข้อความแสดงความเสียใจของผู้ปกครองของผู้ก่อเหตุที่ติดต่อขอให้เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ต.ค. “...เราเสียใจและตกใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และน้อมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่เท่าที่เราสามารถจะกระทำได้ ทั้งขอให้คำมั่นว่า เราจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และทุกหน่วยงาน ในการดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งบรรเทาและเยียวยาผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้ดีที่สุด ผมและครอบครัว กราบขอโทษและขอขมาต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัว...”

นอกจากนี้ ช่วงค่ำวันเดียวกัน พ่อของผู้ก่อเหตุยังเดินทางไปร่วมงานศพของสาวชาวพม่าที่ถูกยิงเสียชีวิตในห้างสยามพารากอนที่วัดผาสุกมณีจักร จ.นนทบุรี ก่อนเข้าขอโทษกับนายจ้างของผู้เสียชีวิต พร้อมยื่นซองเงินเยียวยาช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต

สำหรับการเยียวยาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ทางภาครัฐและเอกชนจะมอบเงินเยียวยาให้แก่ผู้เสียชีวิต รายละ 6.2 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินเยียวยาจากภาครัฐรายละ 1.2 ล้านบาท ซึ่งมาจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยรายละ 1 ล้านบาท และจากกระทรวงยุติธรรมรายละ 2 แสนบาท และศูนย์การค้าสยามพารากอน มอบอีกรายละ 5 ล้านบาท ส่วนผู้บาดเจ็บ 5 ราย เมื่อออกจากโรงพยาบาล ภาครัฐจะเยียวยารายละ 5 หมื่นบาท และศูนย์การค้าสยามพารากอน มอบอีกรายละ 3 แสนบาท รวมเป็นรายละ 3.5 แสนบาท

2.อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ-นักวิชาการค้านแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นแบบเหวี่ยงแหครอบคลุมทุกกลุ่ม ชี้ ได้ไม่คุ้มเสีย ด้าน "เศรษฐา" พร้อมรับฟัง แต่ยืนยันไม่ทบทวน!


เมื่อวันที่ 6 ต.ค. นายวิรไท สันติประภพ และนางธาริษา วัฒนเกส สองอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมลงชื่อพร้อมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก "นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท" เนื่องจากเป็นนโยบายที่ได้ไม่คุ้มเสีย โดยมีนักวิชาการและคณาจารณ์คณะเศรษฐศาสตร์ 99 คนร่วมด้วย

พร้อมชี้แจงเหตุผลโดยสรุป คือ 1) เศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว …จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ...การกระตุ้นการบริโภคช่วงนี้ อาจทำให้เงินเฟ้อคาดการณ์สูงขึ้น นำไปสู่สภาวะขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด

2) เงินงบประมาณของรัฐมีจำกัด การใช้เงินจำนวนมากถึง 560,000 ล้านบาท อาจทำให้รัฐเสียโอกาสการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ...ค่าเสียโอกาสสำคัญ คือการใช้เงินสร้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชน

3) การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ประชาชาติ (GDP) ขยายตัว โดยรัฐแจกเงิน 560,000 ล้านบาท เข้าไปในระบบ เป็นการคาดหวังเกินจริง ...ผู้กำหนดนโยบายหวังว่า นโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเป็นสิ่งเลื่อนลอย ไม่มีใครเสกเงินได้ ไม่มีเงินงอกจากต้นไม้ ไม่มีเงินที่ลอยมาจากฟ้า ไม่ว่าจะแอบซ่อนมาในรูปใดก็ตาม สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายคืนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น หรือราคาสินค้าแพงขึ้นเพราะเงินเฟ้อ อันเนื่องจากการเพิ่มปริมาณเงิน

4) ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น เริ่มตั้งแต่ปี 2565 เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก การก่อหนี้จำนวนมาก …ล้วนแต่จะทำให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หนี้สาธารณะของรัฐ ต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นในยามที่ต้องชำระคืนหรือกู้ใหม่ จึงมีผลต่อภาระเงินงบประมาณของรัฐในแต่ละปี โดยยังไม่นับเงินค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการแจกเงินดิจิทัล คนละ 10,000 บาทนี้ด้วย

5) ในช่วงที่โลกเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลแทบทุกประเทศต่างจำเป็นต้องการขาดดุลการคลังและสร้างหนี้จำนวนมาก เพื่อใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข กระตุ้นเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจถดถอย ...นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาท ดูจะสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น ...การทำนโยบายการคลังโดยไม่รอบคอบระมัดระวัง และไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังจะส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินของทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนไทยสูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย

6) การแจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้ทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี เป็นนโยบายที่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เศรษฐีและมหาเศรษฐี ที่อายุเกิน 16 ปี ล้วนได้รับเงินช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น

7) เมื่อประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นประเทศไทย การเตรียมตัวทางด้านการคลังเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่จำนวนคนในวัยทำงานลดลง แต่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศที่มองการณ์ไกลจึงควรใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และรักษาวินัยและเสถียรภาพทางด้านการคลังอย่างเคร่งครัด

ด้วยเหตุผลทั้งหมดต่างๆ ข้างต้น นักวิชาการ และคณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท แก่ผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะประโยชน์ที่ประเทศจะได้นั้นน้อยกว่าต้นทุนที่เสียไป และสร้างบรรทัดฐานให้มีการแจกเงินเพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยระยะสั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงวินัยและเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว และควรทำแบบเฉพาะเจาะจง เช่น ผู้มีรายได้น้อย ไม่เหวี่ยงแหครอบคลุมคนทุกกลุ่ม

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตว่า ถือเป็นความคิดเห็น ซึ่งเราก็ต้องฟัง แต่เรื่องนี้เป็นนโยบายหลักของเรา เรารับฟังความคิดเห็นจากทุกท่าน แต่ก็มีเสียงจากประชาชนที่ถามว่า เมื่อไหร่จะมาเสียที ซึ่งเราก็ต้องรับฟัง

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะทบทวนไม่แจกทั้งหมด นายกฯ กล่าวสวนทันทีว่า “ไม่ครับ เป็นไปไม่ได้ครับ” เมื่อถามย้ำว่า แต่ก็มีเสียงของอดีตที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย รวมถึงผู้มีเครดิตทางเศรษฐกิจออกมาคัดค้านเรื่องดังกล่าว นายกฯ กล่าวว่า คนที่มีเครดิตทางเศรษฐกิจเห็นด้วย ก็มีเยอะ เราให้เกียรติทุกคน

3. “เฉลิม” ประกาศตัดขาด “ทักษิณ” หลังเคืองถูกด่า "กวนโอ๊ยทั้งพ่อทั้งลูก เลยไม่ให้ตำแหน่ง" พร้อมสวน "เศรษฐา" อย่ามายุ่ง เชื่ออีกไม่นานรัฐบาลจะพัง!



เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีมีรายงานข่าวว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดแบบใหญ่โตว่า ตนเป็นคนกวนโอ๊ย ทั้งพ่อทั้งลูก เลยไม่ให้ตำแหน่งว่า นายทักษิณเข้าใจผิด ตนไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับคุณ ตนมีความสุข พูดอะไรระมัดระวังบ้าง คุณใหญ่โตได้ในพรรคของคุณ นายทักษิณไล่ตนออกสิ นึกถึงแก้คดี 8 คดีให้คุณแล้ว ตนคิดว่า นายทักษิณจะเปลี่ยนนิสัย แล้วเวลาใช้คำพูดถึงตน อย่าเอ่ยมือเอ่ยเท้า เพราะไม่สุภาพ และตนก็มีมือมีเท้าที่จะเอ่ยถึงเหมือนกัน ตนจะหันหลังให้นายทักษิณตลอดชีวิต

“ที่พูดมาทั้งหมดถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต ที่ผ่านมา ผมไม่ได้สนิทกับครอบครัวนายทักษิณ ผมสนิทเพียงนายทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เท่านั้น แต่หลังจากนี้ คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก มันสายเกินไปแล้ว”


ด้านนายวัน อยู่บำรุง อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยเป็นเนื้อเพลงของวง ไมโคร ระบุว่า บอกมาเลยให้รู้กันไป ให้อยู่หรือไปก็บอกมา #บอกมาคำเดียว

ต่อมา มีผู้เข้ามาสอบถามนายวันว่า ทำไม ร.ต.อ.เฉลิม ถึงเงียบ และไม่มีบทบาทอะไรในพรรคเพื่อไทย ซึ่งนายวันได้ตอบด้วยข่าวที่รายงานว่า ร.ต.อ.เฉลิม ประกาศตัดขาดกับนายทักษิณ

ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็น สส.คนเดียวของพรรค ที่ไม่ได้มาลงคะแนนให้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความขัดแย้งระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิมกับนายทักษิณว่า ตนไม่ทราบเรื่องว่า ท่านทะเลาะอะไรกัน และไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า เป็นเรื่องคนสองคนแล้วกัน ตนไม่ทราบประวัติศาสตร์เขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่อยากพูดโดยรวมว่า ถ้ามีปัญหากัน ก็เจรจาด้วยการถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช้ภาษาที่ไม่ก้าวร้าว ตนยึดหลักนี้และพูดมาโดยตลอด ก็ขอให้เป็นในลักษณะนั้นแล้วกัน

ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายเศรษฐากล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างตนกับนายทักษิณว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายเศรษฐาเลย เป็นเรื่องระหว่างตนกันนายทักษิณเท่านั้น ถ้าผู้สื่อข่าวมาถามความเห็น นายเศรษฐาก็ควรตอบว่าไม่รู้ ไม่ใช่มากล่าวถึงที่มา ความเป็นมาของตนกับนายทักษิณแบบนี้ จะเป็นนายกฯ ก็เป็นไป แต่เชื่อว่า ถ้าเป็นแบบนี้ รัฐบาลจะพังในอีกไม่นาน ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ได้เผยแพร่เอกสารใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ลงวันที่ 21 ส.ค. โดย นพ.ฤกษ์ชัย ตุลยาภรณ์โชติ ถึงเหตุผลในการไม่ไปลงมติเลือกนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา พร้อมหนังสือแจ้งลาประชุมถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 21-24 ส.ค. โดยอ้างถึงใบรับรองแพทย์ดังกล่าว พร้อมระบุว่า “ร.ต.อ.เฉลิม รักษาอยู่ในโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เนื่องจากมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมีเส้นเลือดในสมองตีบ ได้ทำบอลลูนเส้นเลือดในสมองไปแล้ว ขณะนี้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย เครียดจากการทำงาน และจากตัวโรคเดิม จึงแนะนำว่าให้หยุดพักผ่อน ตั้งแต่วันที่ 21-25 ส.ค.ที่ผ่านมา”

4. "เสรีพิศุทธ์" ควง "ทนายอนันต์ชัย" ยื่น ป.ป.ช. เอาผิดนายกฯ-ก.ตร. รวม 10 คน อ้าง ตั้ง "บิ๊กต่อ" เป็น ผบ.ตร.ไม่ชอบ ด้าน "เศรษฐา" ยันไม่ได้ลุแก่อำนาจ!



เมื่อวันที่ 2 ต.ค. นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และตำรวจอีก 8 นายที่ถูกดำเนินคดีฐานพัวพันเว็บไซต์พนันออนไลน์ เผยว่า เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โทรมาหาตน พร้อมกับบอกว่า จะถอยในเรื่องนี้ดีหรือไม่ ตนจึงบอกไปว่า จะถอยได้อย่างไร เพราะยังมีตำรวจอีก 8 นายที่ถูกกลั่นแกล้งและถูกดำเนินคดีอยู่ จะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้ ซึ่งทาง พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ก็ได้บอกว่า มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่สั่งการลงมาว่าขอให้หยุด แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร

ซึ่งตนก็ยืนยันว่า จะขอทำคดีนี้ต่อไป จะมาพักรบระหว่างศึกสงครามไม่ได้ ฝุ่นยังตลบอบอวล ความเป็นความตายเท่ากัน ด้วยความอึดอัด ตนจึงโพสต์เรื่องยิงธนูลงทางโซเชียลตามที่ปรากฏในข่าว

นายอนันต์ชัย บอกด้วยว่า หลังจากที่ตนโพสต์ไป ได้มีบุคคลปริศนาที่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับวงการตำรวจโทรมาหาตน พร้อมกับเตือนว่า ขอให้ระวังตัวไว้ ซึ่งตนก็ไม่ได้พูดจาตอบโต้อะไรไป แต่เลือกที่จะโพสต์อีกหนึ่งโพสต์ตอบโต้แทน โดยโพสต์นั้นมีใจความประมาณว่า “งานใคร งานมัน” ส่วน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์นั้น ตนได้มีโอกาสพูดคุยกันครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังสบายดี ไม่ได้มีข้อกังวลอะไร และตนก็ได้กำชับแบบเดิมว่า อย่าพูดอะไรที่กระทบต่อรูปคดี

ส่วนเรื่องบิ๊กเซอร์ไพรส์ ที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนในวันพฤหัสบดีที่ 5 ต.ค. ตนยืนยันว่า มีอยู่จริง ทำเอกสารทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว และมั่นใจว่า หลักฐานชิ้นนี้ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า “เด็ดดอกไม้ดอกเดียว สะเทือนถึงดวงดาว” เพราะเรื่องนี้จะกระทบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง และเมื่อถามว่า จะเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่หรือไม่นั้น ทนายอนันต์ชัยบอกเพียงว่า ให้รอดู

อย่างไรก็ตาม นายอนันต์ชัย กล่าวว่า บิ๊กเซอร์ไพรส์ที่ว่านั้น หากตนถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถอดถอนจากตำแหน่งทนายความที่รับผิดชอบคดี ก็จะไม่มีการเปิดเผยบิ๊กเซอร์ไพรส์ต่อสาธารณชน

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้ออกมายืนยันว่า ไมได้แต่งตั้งนายอนันต์ชัยเป็นทนายความ โดยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังร่วมประชุมมอบแนวทางการบริหารราชการ ตร. ร่วมกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.และตำรวจชั้นผู้ใหญ่เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ว่า ขณะนี้ตนไม่มีคดีความใดๆ ติดอยู่ แต่คดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นคดีของลูกน้องทั้ง 8 คน ซึ่งทั้งหมดจะต้องไปต่อสู้คดีในชั้นศาลเอง

เมื่อถามถึงกรณีทนายอนันต์ชัย เผยว่า จะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์ในวันที่ 5 ต.ค. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้มีการแต่งตั้งทนาย และยังไม่ได้มีการเซ็นตั้งทนายใดๆ จึงไม่ทราบว่า บิ๊กเซอร์ไพรส์ดังกล่าวคือเรื่องอะไร และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่บ้าง ให้ไปถามตัวทนายความเอง ซึ่งทนายอนันต์ชัย เป็นทนายที่เข้ามาแก้ต่างในคดีของลูกน้องทั้ง 8 คนไม่ใช่คดีของตน

ทั้งนี้ หลังจากที่หลายคนจับตาว่า บิ๊กเซอร์ไพรส์ วันที่ 5 ต.ค.ที่นายอนันต์ชัยอ้างคืออะไร ปรากฏว่า เมื่อถึงวันที่ 5 ต.ค. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย พร้อมด้วยทนายอนันต์ชัย ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องทุกข์กล่าวโทษนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และกรรมการ ก.ตร 9 คน ที่มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร. ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 91

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 258 ง.(4) มีหลักการให้การแต่งตั้งต้องคำนึงถึงความอาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกัน แต่นายกรัฐมนตรีกลับเสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ซึ่งเป็นรอง ผบ. ตร.ที่มีอาวุโสเป็นลำดับที่ 4 ให้ที่ประชุม ก.ตร.พิจารณา และกรรมการ ก.ตร.ทั้ง 9 ก็ให้ความเห็นชอบ จึงเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตนเป็นอดีต ผบ.ตร. จึงทนไม่ได้ต้องมาร้องต่อ ป.ป.ช. หากพบว่าเป็นการกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ป.ป.ช. จะต้องส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ดำเนินการต่อไป และถ้าผิด ก็ต้องมีการตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า "ก่อนหน้านี้เคยเตือนคุณเศรษฐาไปแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ฟัง แล้วผมจะมีไมตรีทำไม เพราะคุณเป็นคนทำลายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณเป็นคนเสนอ ถึงคุณงดออกเสียง แต่แค่คุณเสนอ ก็ผิดแล้ว เพราะเป็นต้นเหตุ ถ้าไม่เสนอ คนอื่นจะลงมติได้อย่างไร"

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันว่า การออกมายื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช. เป็นการทำเพื่อองค์กรตำรวจ ไม่ได้ทำเพื่อใคร เพราะ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.ที่อาวุโสอันดับ 1 ก็เงียบไม่ต่อสู้เพื่อตัวเอง ไม่รู้จะเป็นทำไมรอง ผบ.ตร.ไม่มีความกล้าหาญเลย ถ้าตนเป็นรอง ผบ.ตร. เบอร์ 1 ตนฟ้องแล้ว ซึ่ง พล.ต.อ.รอย ควรไปร้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และถ้าตนเป็น ผบ. ตร.จะตั้ง พล.ต.อ.รอย ให้เป็น ผบ. ตร.คนต่อไป เพราะทำแบบนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเงียบสงบ ไม่มีปัญหา แต่ที่ผ่านมา มีการเมืองมาแทรก นายกฯ ก็เข้ามายุ่งทั้งที่ไม่ควร จึงทำให้องค์กรตำรวจเกิดปัญหา

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันด้วยว่า การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคเสรีรวมไทย เพราะตนลาออกจากการเป็น สส.แล้ว และคงไม่ทำให้พรรคซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอึดอัด แม้ตนจะยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ เพราะความเป็นพรรค มีอิสระในการดำเนินการ

ด้านนายอนันต์ชัย กล่าวว่า หลังจากนี้ ตนจะไปดำเนินการในเรื่องของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยจะฟ้องข้อหามาตรา 112 กับผู้แต่งตั้ง เนื่องจากมีการเสนอแต่งตั้ง ผบ.ตร. อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

วันต่อมา (6 ต.ค.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้กล่าวถึงกรณีที่นายอนันต์ชัย และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้เอาผิดนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี และ ก.ตร.รวม 10 คน ว่าแต่งตั้ง ผบ.ตร. มิชอบว่า ตนไม่รู้เรื่อง และไม่ได้พูดคุยกับนายอนันต์ชัย ต้องไปถามเขาเอง

เมื่อถามว่า แสดงว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่เกี่ยวข้องกับการยื่นเรื่องดังกล่าวใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ กล่าวว่า “ผมไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยว”

เมื่อถามย้ำว่า เป็นเรื่องของนายอนันต์ชัย ไปดำเนินการเองใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ใช่ ส่วนที่มีการเปิดตัวบิ๊กเซอร์ไพรส์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ไปยื่น ป.ป.ช.เรื่องแต่งตั้ง ผบ.ตร.ด้วยนั้น ได้มีการพูดคุยกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่รู้เรื่อง ตนไม่ได้คุย ก็เป็นเรื่องของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไป

ถามต่อว่า จะต้องมีการชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้นายกฯ ทราบด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ ไม่ต้องชี้แจง เมื่อถามอีกว่า เรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว และจะไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีหรือเปิดข้อมูลแล้วใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ กล่าวว่า ตนก็ไม่ได้ทำอะไร

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และนายอนันต์ชัย ยื่นร้อง ป.ป.ช. ให้สอบนายกฯ ในฐานะประธาน ก.ตร. และ ก.ตร. รวม 10 คน โดยอ้างว่า แต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็น ผบ.ตร.มิชอบว่า ตนไม่ได้ลุอำนาจ และทำไปด้วยอำนาจและตามรัฐธรรมนูญ เมื่อถามว่า จะตั้งทีมทนายความขึ้นมาสู้คดีหรือไม่ นายเศรษฐา ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม

5. ศาลพิพากษาจำคุก "ทศพล" มือตบ "ศรีสุวรรณ" 6 เดือน ปรับ 2 หมื่น ชดใช้ค่าเสียหายอีกกว่า 5 หมื่น ให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี รอลงอาญา 1 ปี!



จากกรณีที่นายทศพล ธนานนท์โสภณกุล อาจารย์เกษียณราชการ อายุ 67 ปี ก่อเหตุบุกเข้าไปทำร้ายร่างกายนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ หน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศูนย์ราชการฯ อาคาร B หลังจากที่นายศรีสุวรรณเข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต.ประเด็นการร้องเรียนให้ตรวจสอบนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทยนั้น

เมื่อวันที่ 5 ต.ค. นายศรีสุวรรณ เผยว่า หลังจากตนได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษนายทศพลไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้อง หลังจากเกิดเหตุในวันดังกล่าว ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหานายทศพล 2 ข้อหา คือ ทำร้ายร่างกายและหมิ่นประมาท ก่อนนำตัวส่งอัยการฟ้องต่อศาลแขวงดอนเมือง ให้ลงโทษตาม ป.อาญา มาตรา 91, 295 และ 393

โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลแขวงดอนเมืองได้มีคำพิพากษาว่า นายทศพลมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 393 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายมาตรา 91 ฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก 6 เดือน ปรับเงินเข้าหลวงรวม 2 หมื่นบาท แต่นายทศพลให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง เพราะนายทศพลรู้สำนึกในการกระทำความผิด การที่ถูกจับกุมย่อมทำให้เข็ดหลาบ และไม่กล้ากระทำความผิดซ้ำอีก เห็นควรให้โอกาสในการกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี หากไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตาม ป.อาญา มาตรา 29, 30

นอกจากนั้น ศาลยังมีคำพิพากษาในส่วนแพ่งให้นายทศพลชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายศรีสุวรรณ เป็นเงิน 50,420 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี โดยให้นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า “คำพิพากษาดังกล่าว แม้ศาลจะสั่งให้นายทศพลชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของผมเป็นเงิน 50,420 บาทก็ตาม ซึ่งต้องเคารพในคำพิพากษาของศาล แต่ก็เป็นบทเรียนให้กับผู้ที่ชอบใช้กฎหมู่ อยู่เหนือกฎหมาย เพราะในการต่อสู้คดีของคนจำพวกนี้นั้น ที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นมีแนวร่วมกองเชียร์ที่เก่งแต่อยู่หน้าคอมฯ หรือนักการเมืองที่นายทศพลไปถ่ายรูปคู่ด้วย หรือไปร่วมเชียร์ในเวทีปราศรัย มาให้กำลังใจเลยแม้แต่คนเดียว หากแต่ต้องยืนโดดเดี่ยวสู้คดีอยู่คนเดียวในชั้นศาล ฉะนั้น ฝากเตือนพวกคอนด้อมสีส้มสีแดงทุกๆ คนด้วยว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมายครับ”

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ศาลแขวงพระนครเหนือได้พิพากษาจำคุกนายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือลุงศักดิ์ เสื้อแดง ฐานทำร้ายร่างกายนายศรีสุวรรณด้วยการต่อยและเตะ โดยพิพากษาจำคุก 1 เดือน แต่จำเลยสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 15 วัน ไม่รอลงอาญา พร้อมให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่นายศรีสุวรรณเป็นเงินกว่า 1 แสนบาท โดยเหตุที่ศาลไม่รอการลงโทษ เนื่องจากพฤติกรรมของจำเลยเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี อีกทั้งยังเจตนาทำร้ายเพื่อหารายได้ด้วยการรับบริจาค


กำลังโหลดความคิดเห็น