xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 17-23 ก.ย.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิลงสมัครเลือกตั้ง ”ช่อ พรรณิการ์“ ห้ามดำรงตำแหน่งการเมืองตลอดไป หลังฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง โพสต์ภาพ-ข้อความพาดพิง “ในหลวง ร.9-สมเด็จพระเทพฯ" ในทางไม่เหมาะสม!

เมื่อวันที่ 20 ก.ย. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องว่า น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ และโฆษกคณะก้าวหน้า โพสต์ภาพถ่ายและข้อความตามคำร้องในลักษณะเป็นการกระทำอันมิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ลงในเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ซึ่งต่อมา น.ส.พรรณิการ์ ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่ง สส. ซึ่งภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวยังคงปรากฏอยู่เฟซบุ๊กของ น.ส.พรรณิการ์ ผู้คัดค้าน ในลักษณะเป็นสาธารณะ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปดูได้อย่างต่อเนื่อง เป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ฯลฯ ขอให้พิพากษาว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กับเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน มีกําหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี ฯลฯ

ด้าน น.ส.พรรณิการ์ ได้ยื่นคำคัดค้าน โดยอ้างว่า การกระทำของตนเกิดขึ้นก่อนที่จะมีบทกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรม จึงไม่อาจใช้บังคับย้อนหลังเอากับตนได้ พร้อมชี้ว่า กฎหมายดังกล่าวมุ่งใช้บังคับกับบุคคลที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ ซึ่งในขณะที่ตนถูกร้องและดำเนินคดี ตนพ้นจาก ส.ส. แล้ว ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจไต่สวนและยื่นคำร้องต่อศาล

ทั้งนี้ ศาลฎีกาพิพากษาว่า ป.ป.ช.ผู้ร้องได้รับคำร้องของสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ฉบับลงวันที่ 11 มิ.ย.62 กล่าวหาว่า ผู้คัดค้านขณะดำรงตำแหน่ง สส. มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งขณะนั้นมีผลใช้บังคับแล้วไว้พิจารณา ซึ่งขณะนั้นผู้คัดค้านยังดำรงตำแหน่ง ส.ส. แม้ต่อมาผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งแล้ว ผู้ร้องยังคงมีอำนาจไต่สวนและยื่นคำร้องคดีนี้ได้

เมื่อพิจารณาการกระทำของผู้คัดค้านตามคำร้องซึ่งกระทำอย่างต่อเนื่องกันมาทั้ง 6 กรณี ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ผู้คัดค้านมีเจตนาพาดพิงถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 พาดพิงถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ (พระนามในขณะนั้น) อันเป็นการแสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือมิบังควรอย่างยิ่ง เป็นการไม่เคารพในหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้คัดค้านที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ก่อนดำรงตำแหน่ง สส. และเมื่อผู้คัดค้านดำรงตำแหน่ง สส. ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ที่กำหนดให้ผู้คัดค้านต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง นอกจากการกระทําโดยตรงแล้ว ยังหมายรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย เมื่อผู้คัดค้านยังคงปล่อยให้ภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์บัญชีการใช้งานเฟซบุ๊กของผู้คัดค้านในลักษณะเป็นสาธารณะ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ พฤติการณ์ของผู้คัดค้านเป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ตามรัฐธรรมนูญ และมาตรฐานทางจริยธรรมฯ

การที่ผู้คัดค้านไม่ลบหรือนำภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวทั้งหมดออกจากระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งที่สามารถกระทำได้ เพื่อไม่ให้ปรากฏอยู่และเพื่อไม่ให้บุคคลใดสามารถเข้าถึงภาพถ่ายและข้อความทั้ง 6 กรณีดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย มาตรา 235 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 87 และมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 6 ประกอบ ข้อ 27 วรรคหนึ่ง ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 235 วรรคสาม และวรรคสี่ แต่ยังฟังไม่ได้ว่า เป็นการไม่ยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 5 จึงยังไม่เห็นสมควรเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน

ทั้งนี้ วันเดียวกัน น.ส.พรรณิการ์ ได้โพสต์ภาพตนเองระหว่างทำหน้าที่ผู้ช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกลคู่กับนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ลงบนเฟซบุ๊ก รวมถึงโพสต์ภาพตนเองในวันหาเสียงในอินสตาแกรม พร้อมข้อความเดียวกันถึงกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาตัดสิทธิทางการเมืองตลอดไปว่า "ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและความเป็นห่วงจากทุกๆ ช่องทางค่ะ คำพิพากษาศาลในวันนี้ เป็นการตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง หมายความว่า ลงสมัคร สส. หรือแข่งขันการเลือกตั้งทุกระดับไม่ได้ รับตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ แต่สำหรับงานการเมืองที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่มีใครมาพรากสิทธิไปจากช่อได้ค่ะ

"ทุกอย่างจึงยังเหมือนเดิมทุกประการ ภารกิจการเมืองของช่อในนามคณะก้าวหน้า ยังดำเนินต่อไป รวมถึงการเป็นผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราเดินทางมาไกลขนาดนี้ จะไม่หยุดเดินกลางคันจนกว่าจะถึงเส้นชัย ตัวเราอยู่ตรงไหน ตำแหน่งใด ไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งสำคัญคือประเทศไปได้ไกลแค่ไหนต่างหาก..."

2."ทักษิณ" ยังไม่กลับเข้าเรือนจำ หลังอยู่ รพ.ตำรวจครบ 30 วัน "อุ๊งอิ๊ง-แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ" อ้าง ผ่าตัด ต้องพักฟื้น แต่ไม่บอกสาเหตุผ่าตัด!


ความคืบหน้ากรณีนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาดที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี แต่ยังไม่ได้ถูกคุมขังในเรือนจำ หลังอ้างว่าป่วย และมีการย้ายตัวจาก รพ.ราชทัณฑ์ เข้ารักษาที่ รพ.ตำรวจ ตั้งแต่คืนแรกที่เดินทางกลับไทยและเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 ส.ค. โดยจะครบระยะเวลา 30 วันที่ส่งตัวออกไปรักษาพยาบาลภายนอกในวันที่ 21 ก.ย.นั้น

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ย. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวถึงอาการป่วยของนายทักษิณว่า สัปดาห์ที่แล้วมีการผ่าตัด ส่วนเรื่องรายละเอียดขอให้คุยกับแพทย์ดีกว่า เพราะตนได้สอบถามแพทย์แล้วว่าพูดได้แค่ไหน ดังนั้นขออัปเดทว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงพักฟื้น ส่วนความดันโลหิตนั้นแล้วแต่วัน ความดันบางวันก็ดี บางวันก็ไม่ดี ส่วนจะอยู่โรงพยาบาลนานเท่าไหร่ ตนไม่ทราบจริงๆ เพราะเพิ่งผ่าตัดสัปดาห์ที่แล้ว

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า นายทักษิณจะขอพักโทษนั้น น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องกฎหมายว่าทำอะไรได้บ้าง อาการป่วยอย่างไรจึงจะมีโอกาสไปพักที่บ้าน ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ และยังไม่มีการขอพักโทษ ทางครอบครัวจะดูความเหมาะสมอีกครั้ง และรู้เงื่อนไขการขอพักโทษต้องเข้าเกณฑ์รับโทษมาแล้วหนึ่งในสามหรือ 6 เดือน

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจาก น.ส.แพทองธาร ระบุว่า รายละเอียดเรื่องการผ่าตัดนายทักษิณ ให้คุยกับแพทย์นั้น ปรากฏว่า วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ได้ออกมายืนยันว่า นายทักษิณเข้ารับการผ่าตัดจริงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุที่ต้องผ่าตัด พล.ต.ท.โสภณรัชต์ ไม่ยอมเผยรายละเอียด โดยกล่าวว่า จากหลายอาการ หลายสาเหตุ ขณะนี้อาการอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยแล้ว และกำลังดีขึ้นตามลำดับ ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ผ่าตัดด้วยอาการใดเป็นพิเศษหรือไม่ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ ยังคงกล่าวเพียงว่า หลายอาการ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว

วันต่อมา (20 ก.ย.) กรมราชทัณฑ์ได้ชี้แจงประเด็นที่สื่อให้ความสนใจ กรณีนายทักษิณ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่ส่งตัวออกไปรักษาพยาบาล ณ รพ.ตำรวจ จะครบ 30 วันแล้วว่า ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 กำหนดไว้ว่า กรณีผู้ต้องขังพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่า 30 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมความเห็นของแพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วยและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยกรมราชทัณฑ์ได้รับหนังสือจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ รายงานความเห็นแพทย์ของ รพ.ตำรวจ ระบุเหตุผลความจำเป็นของนายทักษิณที่จำเป็นต้องรักษาตัวเกิน 30 วัน เนื่องจากการรักษายังไม่สิ้นสุด เพราะได้เข้ารับการผ่าตัดและยังคงต้องรักษาตัวอยู่ต่อ ณ รพ.ตำรวจ

กรมราชทัณฑ์ เผยข้อมูลด้วยว่า ในปี 2566 นี้ กรมราชทัณฑ์มีสถิติผู้ต้องขังรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่า 30 วัน จากเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศกว่า 140 ราย และในเดือนนี้มีสถิติ จำนวน 14 ราย ที่เสนอมายังกรมราชทัณฑ์ (รวมกรณีนายทักษิณ) และกรมราชทัณฑ์ได้เห็นชอบตามความเห็นของแพทย์ที่ทำการรักษาเสนอมา โดยที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ดำเนินการตามความเห็นแพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วย และคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของผู้ต้องขังเป็นสำคัญ ส่วนรายละเอียดของผู้ป่วยทุกราย ตามกฎหมายไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยให้ทราบได้

ทั้งนี้ วันเดียวกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะทำหนังสือไปถึงทีมแพทย์ รพ.ตำรวจ เพื่อสอบถามถึงอาการของนายทักษิณ ว่าเป็นอย่างไร และจะสามารถนำกลับมารักษาในโรงพยาบาลของราชทัณฑ์ได้หรือไม่ว่า จริงๆ ยังไม่ได้รับรายงาน ซึ่งได้สั่งการไปแล้วในเรื่องการดูแลกรณีนี้เป็นหน้าที่ของ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบแทน ส่วนตัวมีงานเยอะ จึงยังไม่ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องของ รพ.ตำรวจกับกรมราชทัณฑ์

เมื่อถามต่อว่า จะครบ 1 เดือนที่นายทักษิณเข้ามารับการรักษาที่ รพ.ตำรวจ มีหลายฝ่ายกดดันให้มีการชี้แจงอาการป่วยให้สังคมได้รับทราบ ผบ.ตร. กล่าวว่า กรณีดังกล่าวขอหารือกับทาง พล.ต.ท.ประจวบก่อน เรื่องนี้ตนไม่ได้ลงไปในรายละเอียด และยังไม่ได้สอบถาม เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องดำเนินการ เช่น การยึดทรัพย์ การแสวงหาความร่วมมือการลงนาม (MOU) กับนิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์และทางกรมราชทัณฑ์ ทั้งนี้ รพ.ตำรวจเป็นสถานที่รักษาพยาบาลตามที่กรมราชทัณฑ์ใช้ดุลพินิจ หลังจากนี้จะไปพูดคุยกันอีกครั้ง พร้อมยอมรับว่า ช่วงนี้มีงานหลายด้านจึงยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้

3. ศาลพิพากษาจำคุก "ลุงศักดิ์ เสื้อแดง" 15 วัน ไม่รอลงอาญา หลังทำร้าย "ศรีสุวรรณ" ชี้ พฤติกรรมใช้ความรุนแรงเป็นแบบอย่างไม่ดีและเจตนาหารายได้จากการทำร้าย!



เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ศาลแขวงพระนครเหนือ ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวง 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือลุงศักดิ์ เสื้อแดง อายุ 63 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ประกอบมาตรา 296 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ต.ค.2565 ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ผู้เสียหาย ได้เดินทางไปยื่นเรื่องให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตรวจสอบการกระทำของนายอุดม แต้พานิช หรือโน้ส นักทอล์คโชว์ชื่อดังที่พูดพาดพิงรัฐบาลในทอล์กโชว์เดี่ยวไมโครโฟน 13 ว่าเข้าข่ายยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งระหว่างที่นายศรีสุวรรณให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอยู่นั้น นายวีรวิชญ์ได้เข้ามาชกต่อยนายศรีสุวรรณ 5-6 ครั้ง และเตะอีก 1 ครั้งได้รับบาดเจ็บ

ต่อมา นายศรีสุวรรณได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ให้ดำเนินคดีนายวีรวิชญ์ ซึ่งก่อนคดีนี้ จำเลยเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3042/2564 ของศาลแขวงพระนครเหนือ เป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 466/2564, คดีอาญาหมายเลขดำที่ 1219/2565 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 843/2565 ของศาลแขวงดุสิต และเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 61/2564 ของศาลแขวงปทุมวัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีดังกล่าวด้วย

คดีนี้ ระหว่างพิจารณา นายศรีสุวรรณ ผู้เสียหาย ได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,004,925 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะในส่วนอาญา แต่ไม่ให้การในคำขอส่วนแพ่ง

ทั้งนี้ ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 พิพากษาจำคุก 1 เดือน แต่จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 15 วัน พิเคราะห์ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจแล้วเห็นว่า ภายหลังเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้กล่าวคำขอโทษใดและไม่เคยรับผิดชอบชดใช้เยียวยาแก่ผู้เสียหายแต่อย่างใด พฤติกรรมของจำเลยแสดงถึงเจตนามาหารายได้จากการทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย อีกทั้งภายหลังเกิดเหตุแล้ว มีบุคคลอื่นก่อเหตุไปทำร้ายผู้เสียหายเช่นจำเลยเพื่อเรียกเงินบริจาค

การกระทำของจำเลยจึงเป็นแบบอย่างไม่ดีของการใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องทางสังคม ทั้งแบบประเมินความเสี่ยงพบว่า จำเลยมีความเสี่ยงในการกระทำผิดซ้ำอีก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง กรณีจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ
ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นนั้น ปรากฏว่า คดีที่โจทก์ขอให้นำโทษจำคุกคดีนี้ไปนับต่อนั้น จำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกจริง จึงไม่อาจนับต่อได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้ ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 107,525 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดคือวันที่ 18 ต.ค. 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ซึ่งต่อมา นายวีรวิชญ์ ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ด้านศาลพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยตีราคาประกัน 1.5 แสนบาท

ด้านนายภัทรพงษ์ สุภัสสร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ ทนายความของนายวีรวิชญ์ หรือลุงศักดิ์ กล่าวว่า คดีนี้ ลุงศักดิ์รับสารภาพส่วนคดีอาญา โดยไม่รับส่วนแพ่ง ส่วนที่จะยื่นอุทธรณ์ตามกฎหมาย คือจะขอให้ศาลพิพากษาลงโทษสถานเบา และรอลงอาญาไว้ เนื่องจากเห็นว่า เป็นคดีลหุโทษ ศาลน่าจะรอลงอาญาได้ พร้อมอ้างว่า คดีนี้เกี่ยวพันกับคดีการเมืองด้วย

4. "สกุลธร" น้องชาย "ธนาธร" ให้การปฏิเสธ คดีติดสินบนเจ้าพนักงาน-นายหน้า 20 ล้าน เพื่อเช่าที่ดินทรัพย์สินฯ !



เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดสอบคำให้การจำเลย คดีที่พนักงานอัยการปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้องนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์จํากัด เป็นจำเลย ซึ่งเป็นน้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้กระทำการ และประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพยสินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบ ด้วยหน้าที่ และได้กระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคล และเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล

จากกรณีนายสกุลธร มีพฤติการณ์กระทำผิดติดสินบนเจ้าพนักงานและนายหน้าเป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อเช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 แปลงใน ซ.ร่วมฤดี และย่านชิดลม

ทั้งนี้ นายสกุลธรได้ดินทางมาศาลพร้อมทนายความ หลังเสร็จสิ้นการพิจารณา นายสกุลธรได้เดินทางกลับ โดยไม่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด

ด้านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ศาลได้อ่านและอธิบายฟ้องให้นายสกุลธร จำเลยฟัง และได้สอบถามว่า จะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ปรากฏว่า นายสกุลธร แถลงให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีทุกข้อหา โดยศาลนัดคู่ความตรวจสอบพยานเบื้องต้นกับเจ้าพนักงานศาลก่อน ในวันที่ 16 พ.ย.นี้ และนัดคู่ความทั้งสองฝ่าย มาตรวจพยานหลักฐานกับศาลวันที่ 13 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

สำหรับคดีนี้ พนักงานอัยการปราบปรามการทุจริต 3 ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายสกุลธรต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา และได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี

5. ตำรวจแจ้งข้อหาหนัก "เอ็ม" พ่อโหดฆ่าโบกปูนลูก พบมีเมียมา 4 คน ฆ่าลูกแล้ว 5 ศพ เมีย 2 คนเอี่ยวด้วย!



เมื่อวันที่ 20 ก.ย. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้แถลงผลการจับกุมนายส่องศักดิ์ ส่งแสง หรือเอ็ม อายุ 46 ปี และนางสุนัน นาหัวนิล อายุ 40 ปี สองสามีภรรยา หลังก่อเหตุฆ่าโบกปูนน้องโมเดล ลูกสาว อายุ 2 ขวบ เหตุเกิดในพื้นที่ สน.บางเขน ก่อนนำร่างไปฝังโบกปูนไว้ในพื้นห้องครัวที่บ้านใน จ.กำแพงเพช ซึ่งผู้ต้องหารับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้ได้ฆ่าลูกที่เกิดกับภรรยาเก่าอีก 4 ศพ ในช่วงปี 2555 ถึง 2560

พล.ต.ท.ธิติ กล่าวว่า สน.บางเขน ได้รับแจ้งเข้าช่วยเหลือเด็กเมื่อวันที่ 10 ก.ย. นำไปสู่การดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หลังจากนั้นทราบว่า มีเด็กเสียชีวิตในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจมีเด็กเสียชีวิตมากกว่า 1 ราย เกิดเหตุในหลายท้องที่ สน.บางเขน สน.บางซื่อ สน.สายไหม จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีเบาะแสบางอย่างอาจมีความเชื่อมโยงไปสู่ 2 ศพนิรนาม ตั้งแต่ปี 2557 และ 2559 โดยทั้ง 2 ศพ สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) มีการเก็บพยานหลักฐานไว้ ฝ่ายสืบสวนสอบสวนพยายามรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ว่า ศพเด็ก 2 ศพที่พบนั้น มีความเชื่อมโยงกับคดีของ สน.บางเขน หรือไม่

ขณะที่แนวทางการสืบสวนพบว่า นายส่องศักดิ์ มีภรรยามาทั้งหมด 4 คน ลูก 10 คน อายุระหว่าง 6 เดือน ถึง 20 ปี ในจำนวนนี้พบว่า ถูกนายส่องศักดิ์ฆาตกรรมไปแล้ว 4 คน นำศพไปทิ้งในพื้นที่ สน.บางซื่อ และ สน.สายไหม ต้องมีการนำตัวไปสืบสวนขยายผล และติดตามภรรยาทั้งหมดของนายส่องศักดิ์มาสอบสวน

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว น.ส.เจษฎา อายุ 33 ปี อาชีพรับจ้างทำก๋วยเตี๋ยวขาย ซึ่งเป็นภรรยาคนหนึ่งของนายส่องศักดิ์มาสอบ และให้การยอมรับสารภาพว่า รู้จุดทิ้งศพทั้ง 4 ศพ พร้อมจะนำไปชี้จุดทิ้งศพทั้งหมด

หลังจากนั้น ชุดสืบสวนและตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ได้นำรถแบ็คโฮขุดหน้าดินบนที่ดินริมถนนพหลโยธิน หลักกิโลเมตรที่ 25 ซึ่งเป็นจุดที่ น.ส.เจษฎา นำศพทารกมาทิ้งไว้ริมศาลพระภูมิตามคำให้การ

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า จากคำให้การนายส่องศักดิ์ ผู้ต้องหา กับ น.ส.เจษฎา ภรรยาคนที่ 2 ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของตำรวจ จนสามารถนำไปสู่การตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ส่วนกระดูกที่พบ ตรงกับข้อมูลที่ได้รับมา แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหาทั้งหมด เช่น ที่อ้างว่า ลูกสาววัย 2 ขวบ เสียชีวิตที่ จ.กำแพงเพชร เพราะมีอาการป่วย แต่รายงานแพทย์แจ้งว่ากะโหลกศีรษะและซี่โครงของเด็กร้าว โดยลูกทั้งหมด 5 คนของ น.ส.เจษฎา อ้างว่าป่วยเสียชีวิต 2 คน คือที่ จ.กำแพงเพชร และทารกชายที่เสียชีวิตในปี 2559

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวอีกว่า การค้นหาก่อนหน้านี้ ตำรวจพบถุงดำ ถุงขาว และกระดูก 2 ชิ้น ซึ่งนายส่องศักดิ์เห็นแล้วจำนนต่อสิ่งที่กระทำไป ยอมรับลงมือฆ่าเด็กจริง โดยอ้างว่าไม่ชอบเด็กผู้ชายกับเสียงเด็กร้อง แต่ตำรวจต้องตรวจสอบเชิงลึกมากกว่านี้ เพราะผู้ต้องหาอาจกลับคำให้การอีกได้ โดยได้ส่งชุดสืบสวนไปสืบหาพยานที่เคยคบหากับผู้ต้องหา รวมถึงญาติพี่น้องด้วย

ขณะที่ น.ส.เจษฎา บอกว่า ตนรักนายส่องศักดิ์จริง แต่จำใจทำร้ายลูก เพราะตัวเองก็ถูกบังคับและทำร้ายร่างกายจนมีบาดแผล

ส่วนประเด็นนายส่องศักดิ์มีอาการทางจิตหรือไม่ ผลการตรวจสุขภาพจิตของนายส่องศักดิ์ แพทย์ยืนยันเบื้องต้นว่า เป็นปกติทุกประการ สามารถพูดคุยตอบโต้ได้หมด

สำหรับกระดูกที่เจ้าหน้าที่พบเพิ่มอีกจำนวน 40 ชิ้น เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้แบ่งออกเป็น 3 กอง โดยกองที่ 1 เป็นกระดูกชิ้นที่มีขนาดใหญ่ลักษณะแบน จำนวน 2 ชิ้น ต้องสงสัยว่าเป็นส่วนของกะโหลกหรือไม่ กองที่ 2 เป็นส่วนที่มีขนาดคล้ายท่อนแขนหรือขา จำนวน 4 ชิ้น และกองที่ 3 เป็นชิ้นส่วนกระดูกที่มีขนาดชิ้นเล็ก ๆ พบมากกว่า 30 ชิ้น เจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานและนำไปตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอต่อไป

ล่าสุด (23 ก.ย.) ตำรวจ สน.บางเขน ได้คุมตัว น.ส.เจษฎา ออกจากห้องควบคุม เพื่อไปขอศาลอาญาฝากขัง โดยสื่อมวลชนพยายามสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีอะไรจะพูดถึง หรือขอโทษสังคมอย่างไร แต่ น.ส.เจษฎาก้มหน้านิ่งเงียบไม่พูด ยกมือไหว้ แล้วโบกมือปฏิเสธตอบคำถาม

ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส. บช.น. เผยว่า จากการที่เมื่อคืนนี้ (22 ก.ย.) ได้นำตัว น.ส.เจษฎาไปชี้จุดที่ทิ้งศพของเด็กทารกเมื่อปี 2559 และ 2561 ปรากฏว่า น.ส.เจษฎาชี้บริเวณที่ก่อสร้าง ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันไปแล้ว หลังจากนี้ จึงต้องรอคณะกรรมการประชุมร่วมกันก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานแล้ว และสภาพแวดล้อมในจุดดังกล่าวก็มีการเปลี่ยนแปลงไป การชี้จุดของ น.ส.เจษฎา สามารถคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้น หากมีการทุบเพื่อขุดหาพยานหลักฐานแล้วปรากฏว่าไม่ใช่จุดทิ้งศพที่ถูกต้อง จะทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งนี้ ยืนยันว่า พยานหลักฐานที่พบศพเด็กทั้ง 2 ศพ ในพื้นที่ สน.บางซื่อ มีดีเอ็นเอตรงกันกับ น.ส.เจษฎานั้น เพียงพอต่อการดำเนินคดีแล้ว แต่ตำรวจต้องการทำคดีให้รัดกุมครบถ้วนมากที่สุด

ขณะที่ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. เผยหลังประชุมคณะทำงานคดีนายส่องศักดิ์ (23 ก.ย.) ว่า วันที่ 25 ก.ย.นี้ จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายส่องศักดิ์เพิ่มเติม ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมี 5 ข้อหา เช่นเดียวกับที่แจ้งต่อ น.ส.เจษฎา ประกอบด้วย ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นได้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, ลอบฝัง ซ่อนเร้นย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดการตายหรือเหตุแห่งการตายผู้ใดเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษ ทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้นเอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งหลักฐานในการกระทำความผิด และร่วมกันกระทำการใด ๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปหรือเพื่ออำพรางคดี

ส่วนคดีค้ามนุษย์ จากกรณีมีการทำร้ายร่างกายลูก ก่อนนำไปโพสต์รับบริจาคนั้น รอง ผบช.น. กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้ประสานกับเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แล้ว เบื้องต้นตัวเด็กยังไม่พร้อมที่จะพูดคุย ซึ่งในระหว่างนี้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแวดล้อม ทั้งการสอบปากคำพยานไปจนถึงหลักฐานที่ได้จากสถานพยาบาลที่เด็กคลอด ยืนยันได้แล้วว่า เด็กเกิดมาในสภาพร่างกายปกติ จึงน่าเชื่อได้ว่า การที่เด็กมีสภาพร่างกายผิดปกตินั้น เกิดจากการทำร้าย โดยจะเข้าไปสอบปากคำนางสุนัน ภรรยาคนที่ 4 ของนายส่องศักดิ์เพิ่มเติมถึงประเด็นนี้ด้วย