อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทวนความจำธนาธร เคยพูดหัวข้อ "วัคซีนพระราชทาน" สารตั้งต้นขบวนการด้อยค่าจนคนตายเพราะรอแต่วัคซีนเทพ มาวันนี้ถูกแฉข้อมูลแอบฉีดวัคซีนจะฟ้อง เปรียบเทียบตอนโจมตีสถาบันฯ ถามนี่หรือความเท่าเทียม
วันนี้ (12 ม.ค.) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถูกแฉข้อมูลการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่โรงพยาบาลพระสมุทรเจดีย์ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2564 ที่สังคมวิจารณ์ว่าเป็นการแย่งวัคซีนคนชรา และวัคซีนที่ฉีดเป็นวัคซีนที่ผลิตจากโรงงานสยามไบโอไซแอนซ์ ที่นายธนาธรเคยโจมตีมาก่อน ว่า "กรณีที่มีการเสนอข่าวในทางลบต่อคุณธนาธรทั้งในข่าวกระแสหลักบางสำนัก และใน social media ว่าเคยด้อยค่า Astra Zeneca แต่ตัวเองกลับได้ฉีดวัคซีนชนิดนี้ในวันแรกที่คนทั่วไปที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ ไม่ใช่ผู้สูงอายุ และไม่ใช่ผู้มีโรคประจำตัว 7 โรค ได้รับสิทธิในการฉีดวัคซีน คือในวันที่ 1 ก.ค. 64 ซึ่งผู้ที่จองคิววัคซีนได้ในช่วงนั้นมีทั้งผู้สูงอายุ และไม่สูงอายุถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดเป็นว่าเล่น และอีกประการ วัคซีน Astra Zeneca ในช่วงนั้นในหลักการ ผู้ที่จะได้รับวัคซีน Astra Zeneca จะต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเท่านั้น ผู้ที่มีอายุน้อยกว่านั้นจะได้รับวัคซีน Sinovac
น่าสังเกตว่า สื่อที่เป็นสำนักข่าวที่เป็นที่ทราบกันดีว่ายืนอยู่ฝ่ายคุณธนาธร และบรรดา ส.ส.ปากกล้าของพรรคก้าวไกล ต่างพากันเงียบกริบกันหมด ในที่สุดคุณธนาธรก็โพสต์ข้อความตอบโต้ทำนองว่า
ตัวเองไม่เคยด้อยค่าวัคซีน เพียงวิจารณ์ว่ารัฐบาลจัดหาวัคซีนแบบแทงม้าตัวเดียว ที่มีข้อผิดพลาดจนทำให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการฉีดวัคซีนให้ประชาชน และไม่เคยแซงคิวใคร
คุณธนาธรไม่ได้พูดผิดในประเด็นแรก คุณธนาธรไม่ได้ด้อยค่า Astra Zeneca ตรงๆ แต่การพูดในวันที่ 18 ม.ค. 64 ในหัวข้อ "วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย" คุณธนาธรได้ดูแคลนบริษัท Siam Bioscience ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงจัดตั้งขึ้นว่ามีผลประกอบการขาดทุนมาโดยตลอด แต่กลับได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตวัคซีน และตั้งคำถามว่า การที่รัฐบาลยังคงทำข้อตกลงกับบริษัท Astra Zeneca ซึ่งมีบริษัท Siam Bioscience เป็นผู้ผลิตภายในประเทศ เป็นการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชน (Siam Bioscience) โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนหรือไม่
หลังจากวันนั้น คุณเบญจา อะปัญ ได้ไปยืนชูป้ายที่ไอคอนสยามมีข้อความว่า
"ผูกขาดวัคซีน หาซีนให้เจ้า"
ทั้งยังร่วมกับเพนกวินนำม็อบไปประท้วงก่อกวนที่หน้าบริษัท Siam Bioscience อีกด้วย
ก่อนวันที่คุณธนาธรออกมาพูด รัฐบาลได้ตัดสินใจยังไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกใน COVAX ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีบริษัทผู้ผลิตรายใดสามารถพัฒนาวัคซีนได้สำเร็จ สาวก 3 นิ้วเข้าใจผิด คิดว่าการเข้าร่วมใน COVAX จะทำให้ได้รับวัคซีนเร็ว และราคาถูก บางคนคิดว่าจะได้วัคซีนฟรี จึงโจมตีรัฐบาลอย่างหนักในทุกช่องทาง แต่ความจริงคือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชาชนมีรายได้ปานกลาง ไม่ใช่ประเทศยากจน การเข้าร่วมใน COVAX ไม่ได้ทำให้ได้รับวัคซีนฟรี หรือในราคาถูก แต่จะต้องจ่ายเงินก้อนโตเป็นเงินลงขันล่วงหน้า อีกทั้งเมื่อถึงเวลาจะได้รับวัคซีน ยังไม่สามารถเลือกชนิดวัคซีนได้อีกด้วย ดังนั้นรัฐบาลจึงยังไม่ตัดสินใจเข้าร่วมใน COVAX ซึ่งต้องไม่ลืมว่าขณะนั้นผู้ติดเชื้อในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมาก ดังนั้นการตัดสินใจยังไม่เข้าร่วมใน COVAX และทำข้อตกลงกับ Astra Zeneca ด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นจึงน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ต่อมาผู้ติดเชื้อในประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความหละหลวม ปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐบาลจึงเร่งติดต่อกับบริษัทผู้ผลิตต่างๆ เพื่อจัดซื้อวัคซีนให้ได้เร็วขึ้น มากขึ้น บริษัทผู้ผลิตที่สามารถส่งมอบวัคซีนได้เร็วที่สุดคือ Sinovac และที่ตามมาคือ Astra Zeneca จึงเริ่มให้มีการฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ก่อน ต่อมาในต้นเดือนมิถุนายนจึงเริ่มฉีดให้ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรค
ในช่วงนั้นมีผลวิจัยที่ยังเป็นข้อถกเถียงได้ออกมาว่า วัคซีน mRNA ได้แก่ Pfizer และ Moderna มีประสิทธิผล (efficacy) สูงกว่าวัคซีนชนิดเชื้อตาย และประเภท viral vector มาก จากนั้นสำนักข่าว 3 นิ้วทั้งหลายก็ประโคมข่าวกันอย่างครึกโครมต่อเนื่อง ทำให้คนกลุ่ม 3 นิ้วด้อยค่า Astra Zeneca และ Sinovac รวมทั้งคุณธนาธรก็โพสต์ข้อความบน Twitter ว่า การตัดสินใจแทงม้าตัวเดียว ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนช้า น้อย และไม่มีประสิทธิภาพ ความหมายที่เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้คือ วัคซีนที่มีอยู่ในขณะนั้นคือ Sinovac และ Astra Zeneca เป็นวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพ
บรรดาสาวก 3 นิ้วทั้งหลายก็ขานรับ ทั้งโจมตีรัฐบาล ทั้งก่อม็อบเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาวัคซีน mRNA มาเป็นวัคซีนหลักให้ประชาชนให้ได้ ทั้งคอยจ้องจับผิดว่ามีการปล่อยให้มีการใช้อภิสิทธิ์แซงคิวฉีดวัคซีนกันหรือไม่
เมื่อเวลาผ่านไป ขณะนี้เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า ต่อให้รัฐบาลตัดสินใจเข้าร่วมใน COVAX ก็ไม่มีทางได้วัคซีน mRNA ก่อนหรือพร้อมกับสหรัฐอมริกา และขณะนี้ การอยู่หรือไม่อยู่ใน COVAX แทบไม่มีผลต่อการจัดหาวัคซีนเลยสำหรับประเทศไทย และแทบไม่มีใครพูดถึง COVAX อีกแล้ว ประเทศไทยสามารถจัดการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ตามเป้า และมีวัคซีน mRNA ให้ประชาชนได้เลือก บริษัท Siam Bioscience ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถผลิตวัคซีนได้ตามเป้าทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณธนาธรปรามาสไว้
คุณธนาธรอาจไม่ได้ด้อยค่า Astra Zeneca ตรงๆ แต่จะปฏิเสธได้หรือไม่ว่า การพูดของคุณธนาธรในวันที่ 18 ม.ค. 64 หัวข้อ "วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย" เป็นการพูดนำทาง เป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการด้อยค่า Astra Zeneca การขานรับและขยายผลของสำนักข่าว 3 นิ้ว และของบรรดาสาวก และการโพสต์ข้อความต่อๆ มาของคุณธนาธรเอง ทำให้ประชาชนจำนวนมากจะรอแต่วัคซีน mRNA เท่านั้น แม้เสียเงินก็ยอม จนไม่ทราบว่าผู้ที่ติดเชื้อแล้วเสียชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เป็นเพราะมัวแต่รอ mRNA หรือไม่
คุณธนาธรโพสต์ข้อความใน fb ด้วยว่า
"ผมพยายามอดทนอดกลั้นมาตลอด กับความพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสี ทำลายความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของผมโดยคนกลุ่มหนึ่งที่สนับสนุนเผด็จการอนุรักษนิยม คนเหล่านี้ปลุกปั้น แต่งเรื่องไม่จริง พูดซ้ำๆ ทุกวัน เพื่อให้ชื่อเสียงผมเสียหาย เพื่อให้ประชาชนเกลียดชังผม ถึงวันนี้มีคนจำนวนหนึ่งเข้าใจผมผิดเพราะการกระทำของคนกลุ่มนี้"
ในตอนท้ายของโพสต์ยังได้ขู่ว่า
"จะขอใช้สิทธิดำเนินการฟ้องคดีตามกฎหมายต่อคนกลุ่มนี้ และต่อองค์กรของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องไม่ให้รัฐนำข้อมูลที่ตนเองถืออยู่ในมือมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน ...."
คุณธนาธรเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ หากยังมีพระชนมชีพอยู่ และพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ จะต้องทรงอดทนอดกลั้นสักเพียงไหนกับการกระทำของคุณธนาธรและพวก และบรรดาม็อบล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
เมื่อมองว่าตัวเองถูกกระทำ คุณธนาธรก็ยังขอใช้สิทธิดำเนินคดีตามกฎหมายต่อผู้ที่คิดว่าเป็นผู้กระทำ แต่เมื่อตัวเองถูกดำเนินคดีตามกฎหมายจากการพูดในหัวข้อ
"วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย"
คุณธนาธรกลับบอกว่า "แค่สงสัยการทำงานเรื่องวัคซีนของรัฐบาล กลับถูกดำเนินคดี" ซึ่งใครๆ ที่ฟังการพูดสดในวันนั้นต่างก็ทราบว่า ไม่ใช่เป็นเพียงการตั้งคำถามต่อรัฐบาล แต่เป็นการตั้งคำถามเชิงกล่าวหา และการตั้งหัวข้อก็ส่อเจตนาอยู่แล้วว่า พยายามจะให้มีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ความจริงหากบริษัท Siam Bioscience จะดำเนินคดีคุณธนาธรในข้อหาหมิ่นประมาท ก็น่าจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้ทำ
คุณธนาธรยังกลับต้องการและเรียกร้องให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันจะทำให้ใครก็ได้สามารถหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ได้โดยไม่ต้องถูกดำเนินคดี
อย่างนี้หรือคือความเท่าเทียมกันในมุมมองของคุณธนาธร"
อ่านโพสต์ต้นฉบับ คลิกที่นี่